ใครที่เป็นแฟน Biotherm และเสพติดการเอาแพลงก์ตอนมหัศจรรย์ที่มีเฉพาะในผลิตภัณฑ์ของเขานั้นมาชอนไชบำรุงหนังหน้าคงต้องกรีดร้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของเขาเป็นแน่แท้ เพราะ Biotherm : Life Plankton Sensitive Emulsion (75ml / 1,900 Baht) ทำนั้นเด่นเรื่องการฟื้นฟูเยียวยาผิวและยังถูกทำมาเพื่อผิว sensitive ถึงขนาดเคลมว่าใช้กับรอบดวงตาได้เชียวนะเธอ!!!
เราจะไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรมาก ประวัติเรื่อง Life Plankton ก็จะไม่ขอเล่าซ้ำเพราะเป็นที่รู้กันในหมู่สาวกแล้วว่ามันช่างทรงประสิทธิภาพในการ soothing ปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ และการฟื้นฟู ปกป้องตัวเองตามธรรมชาติของผิว คุณสมบัตินี้เป็นของแพลงก์ตอนแบคทีเรีย Vitreoscilla Filiformis จากแหล่งน้ำแร่ร้อนในเทือกเขาพีเรนีส ซึ่งกระบวนการเพาะเลี้ยงทางชีวภาพและการนำมาใช้นั้นเป็นสิทธิบัตรของ Biotherm เท่านั้น รายละเอียดของความดีงามของ Life Plankton ย้อนกลับไปอ่านได้ที่รีวิวของ Biotherm : Life Plankton Essence
จะว่าไปแล้วการที่เรามี Life Plankton ใช้กันในเครื่องสำอางในสเกลที่วางจำหน่ายทั่วโลกนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีกระบวนการ Fermogenesis ซึ่งเป็นระบบการเพาะบ่มทางชีวภาพที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเลี้ยงเจ้า Life Plankton นี้โดยเฉพาะและปูเป้ได้มีโอกาสไปที่เมือง Tours ประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปเยี่ยมชมห้องแลป Chimex ซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งของบริษัท L’Oreal ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการผลิตส่วนผสมไบโอเทคโนโลยีสำหรับเครื่องสำอาง การไปเยี่ยมชมครั้งนี้ทำให้ได้เห็น Life Plankton ที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยตาตัวเอง และทราบถึงความซับซ้อนและกระบวนการที่ควบคุมอย่างเข้มงวดสุด ๆ เนื่องจากเจ้า Life Plankton มันเปราะบางมาก ตามธรรมชาติแล้วมันแบ่งตัวเพียงหนึ่งครั้งทุก ๆ 6 เดือน แต่กระบวนการเฉพาะที่คิดค้นขึ้นนี้ย่นระยะเวลาเหลือเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น และด้วยความเชื่องช้านี้ทำให้ระบบเพาะเลี้ยงไม่สามารถมีเชื้ออื่นปนเปื้อนเข้าไปได้เลยเพราะว่าเจ้า Life Plankton จะแบ่งตัวไม่ทันชาวบ้านเขาจนพ่ายแพ้และตายไปนั่นเอง
ที่นี่ปูเป้ได้สัมผัสกับ Life Plankton ความเข้มข้น 100% กับตัวเอง ซึ่งกลิ่นเหม็นราวกับรถขยะคว่ำ นักวิทยาศาสตร์ที่นั่นเปิดฝาแต่เรายืนห่างไปราว 3 เมตรยังได้กลิ่นโชยมาแบบจัง ๆ ในขวดที่เห็นปีสีขาวขุ่นทึบ ๆ นั้นเป็นสภาพหลังเขย่าขวดแล้วล่ะ ก่อนเขย่ามันจะมีการตกตะกอนแบ่งเป็นส่วนของน้ำใส ๆ อยู่ข้างบนและส่วนของตะกอนขาวขุ่นอยู่ด้านล่าง ได้คำตอบมาว่าส่วนที่เป็นน้ำใส ๆ สีอมเหลืองนั้นเป็นส่วนของ intracellular หรือส่วนของภายในเซลล์ ของ Life Plankton และส่วนที่เป็นตะกอนขาว ๆ ที่จมอยู่ด้านใต้ก็คือส่วนของ Cell membrane หรือผนังเซลล์นั่นเอง เหตุผลที่มันแยกกันแบบนี้เพราะว่าหลังจากกระบวนการเพาะบ่มจนได้แพลงก์ตอนเติบโตขยายพันธ์อัดแน่นแล้ว เขาต้องแยกเจ้า Life Plankton ออกจากมีเดียมเพาะเลี้ยง ซึ่งกระบวนการแยกนี้ใช้แรงเหวี่ยงซึ่งทำให้ตัวแพลงก์ตอนแตกกระจายเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ ก่อนนำไปผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อก่อนนำไปใช้ผสมในเครื่องสำอางอีกที ซึ่งไม่ว่าจะเป็นส่วนที่เป็นน้ำใสหรือส่วนที่เป็นตะกอนก็คือ Life Plankton ทั้งนั้นและก็มีประโยชน์กับผิวทั้งหมดจ้า
ดังนั้นใครที่ใช้ Life Plankton Essence อย่าขี้เกียจเขย่าขวดนะ เพราะถึงในน้ำเอสเซนส์จะมีส่วนของสิ่งที่อยู่ในเซลล์ของ Life Plankton ลอยอยู่แล้ว แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดเราต้องเขย่าให้ตะกอนขาว ๆ มาผสมรวมกันให้ครบด้วยจ้า
ส่วนประกอบที่น่าสนใจของผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีดังต่อไปนี้
– Vitreoscilla Ferment เป็นส่วนผสมที่ไม่ต้องบอกก็ต้องเดากันได้ว่ามาในความเข้มข้น 5% ตามระเบียบ เท่ากันกับเอสเซนส์และมาส์กที่ออกมาก่อนหน้า
– Niacinamide เป็นส่วนผสมที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในอีมัลชั่น Vitamin B3 นี้คาดว่าถูกใช้ในความเข้มข้นที่ 2% เนื่องจากเป็นสัดส่วนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเสริมการสร้าง Ceramide และทำให้ Skin Barrier ของเราแข็งแรงขึ้นและชุ่มชื่นมากขึ้น
– Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester เป็นเปปไทด์ที่มีใช้อยู่ในผลิตภัณฑ์ของ La Roche-Posay : Toleriane Ultra โดยเคลมว่าช่วยส่งสัญญาณเพื่อลดความรู้สึกไม่สบายผิว ทำให้ผิวที่ระคายเคืองหรือโดนกระตุ้นรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ยังไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นมาพูดถึงเรื่องประสิทธิภาพส่วนนี้มากนัก
– Squalane เป็นส่วนผสมที่คล้ายกับลิพิดที่ผิวของเราหลังออกมาตามธรรมชาติจึงเข้ากันกับผิวเป็นอย่าดีในการช่วยปกป้องผิว
– Butyrospermum Parkii (Shea) Butter เชียบัตเตอร์อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีกรดไขมันที่มีประโยชน์กับผิวอย่าง Linoleic Acid ที่ช่วยต้านการอักเสบและเสริมความแข็งแรงของผิว
(Source : Phenolic constituents of shea (Vitellaria paradoxa) kernels., Repair and Maintenance of the Epidermal Barrier in Patients Diagnosed with Atopic Dermatitis)
สิ่งที่แตกต่างจาก Life Plankton ทั้งเอสเซส์และมาสก์ที่มีก่อนหน้าคือไม่มีส่วนผสมของ Adenosine ที่ใช้เป็นตัวเสริมเคลมเรื่องริ้วรอย และ Sodium Hyaluronate ซึ่งเป็นตัวให้ความชุ่มชื่นกับผิว ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความแตกต่างและโฟกัสฟังก์ชั่นที่โดดเด่นเฉพาะทางไป
ปัจจุบันนี้มีส่วนผสมของ Fragrance Component ทั้งหมด 26 ชนิดที่ทาง EU ระบุว่าถ้าผลิตภัณฑ์ตัวใดมีสารประกอบของสารทั้ง 26 ชนิดนี้อยู่ในสารสกัดหรือในน้ำหอมที่ใส่มาเกิน 0.001% ในผลิตภัณฑ์ที่ทาทิ้งไว้ หรือ 0.01%สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทาแล้วล้างออก จะต้องทำการแยกสารประกอบเหล่านี้ระบุเอาไว้ในส่วนประกอบข้างกล่องด้วย ดังนั้นเครื่องสำอางที่ขายในยุโรปทุกตัวจะต้องทำตามกฏหมายอันนี้
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีความพยายามในการผลักดันให้เพิ่มสารประกอบกว่าอีกร้อยชนิดเข้าไปใส่รายชื่อของ Fragrance Allergen เหล่านี้ตั้งแต่ปี 2011 ที่ผ่านมาแต่ก็ยังไม่มีการสรุปชัดและยังไม่ถูกนำมาบังคับใช้ในปัจจุบันขณะที่เขียนบทความนี้ (มีนาคม 2017) อย่างไรก็ดีในบทความของทาง EU บอกว่าคนส่วนใหญ่สามารถที่จะใช้ส่วนผสมเหล่านี้ในระดับที่ใช้ในเครื่องสำอางได้แหล่ะ แต่ในรายที่ผิว Sensitive มากถึงจะต้องมากังวลกันตรงนี้ และอย่างน้อยผลิตภัณฑ์ที่จะเคลมมาว่าเพื่อผิว Sensitive ก็ไม่ควรจะมีส่วนผสม Fragrance Component 26 ชนิดนี้ในผลิตภัณฑ์ล่ะ
แต่เครื่องสำอางจากประเทศอื่นจากเอเชียเอย อเมริกาเอย หรือประเทศนอกกลุ่ม EU ก็ไม่อยู่ภายใต้กฏหมายนี้ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าวถึงแม้จะมีสารประกอบของน้ำหอมทั้ง 26 ชนิดนี้ก็ตามก็ไม่ได้ระบุมาในส่วนประกอบ แต่ไม่ได้แปลว่าน้ำหอมตัวนั้นจะไม่มี Fragrance Component ที่เป็น Common Allergen เหล่านี้ ทว่าจากที่เราสังเกตดูนั้นเครื่องสำอางในเครือ L’Oreal ทุกยี่ห้อ ทุกชนิด จะระบุฉลากแบบ EU ด้วยนะ คือต่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่มีขายใน EU หรือผลิตในจีน ในอินโด ในญี่ปุ่น แต่เขาก็จะระบุสารประกอบของน้ำหอม (ถ้ามี) มาให้ตลอดเลย เป็นเรื่องที่ดีต่อผู้บริโภคเหมือนกัน
(Source : Perfume Allergies, The EU Fragrance Allergens)
Ingredients: Aqua/Water, Glycerin, Squalane, Propanediol, Butylene Glycol, Butyrospermum Parkii (Shea) Butter, Pentylene Glycol, Niacinamide, Dimethicone, Polymethylsilsesquioxane, Polysorbate 20, Ammonium Polyacryloyldimethyl Taurate, Aluminum Starch Octenylsuccinate, Phenoxyethanol, Caprylyl Glycol, Vitreoscilla Ferment, Dimethiconol, Disodium EDTA, Glyceryl Acrylate/Acrylic Acid Copolymer, Citric Acid, Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester, T-Butyl Alcohol, Toluene Sulfonic Acid, Parfum. (F.I.L. C191690/1)
เนื้ออิมีลชั่นมีความข้นเล็กน้อย เกลี่ยได้ง่ายและสัมผัสได้ว่าเนื้อมันละเอียดะเมียดกับผิวมาก ๆ กระจายคลุมผิวบางๆ ดูไม่เหนอะหนะ แต่สัมผัสได้ว่ามีอะไรเคลือบผิวอยู่บาง ๆ กลิ่นน้ำหอมไม่ฉุนและก็ยังกลบกลิ่นตุ่ย ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ Life Plankton ไม่มิดอยู่ดี แต่เราชอบที่กลิ่นไม่เวียนหัวและก็จางไปในเวลาไม่นานหลังจากที่ทาลงไปบนผิว
ตัวผลิตภัณฑ์ถูกออกแบบมาให้ใช้เป็นขั้นตอนหลังเซรั่ม (Post-Serum) ก่อนที่จะลงมอยซ์เจอไรเซอร์ (Pre-Moisturizer) แต่เราจะบอกว่าด้วยสภาพอากาศในบ้านเรานั้น ในตอนกลางวันถ้าผิวคุณไม่ได้แห้งม้ากกกกกก หรือมีมอยซืเจอไรเซอรืฉ่ำน้ำเบาสบายผิวที่จะมาใช้ต่อนั้น Biotherm : Life Plankton Sensitive Emulsion ก็สามารถใช้เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ไปในตัวได้เลยแหล่ะ เอาเป็นว่าตรงนี้ต้องไปปรับเอาตามแต่ขั้นตอนและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ตัวเองใช้อยู่ละกันนะ
ประสบการณ์ในการใช้คือ “ชอบ” บอกได้แค่นี้ คือมันเป็นสิ่งที่เราคิดว่านี่แหล่ะคือสิ่งที่ Life Plankton โดดเด่นที่สุดและเป็นจุดแข็งแกร่งของมันเลยนั่นคือการปลอบประโลมผิวและช่วยเยียวยาผิวที่ระคายเคือง อักเสบ ผิวอ่อนแอ หรือกังวลเรื่องผิว Sensitive แพ้ง่าย ซึ่งในผลิตภัณฑ์ก่อนหน้าอย่างเอสเซนส์หรือมาสก์ยังมีเรื่องของน้ำหอมที่ทำให้เรายังไม่กล้าแนะนำให้คนที่มีปัญหาเหล่านี้ให้ใช้เท่าไหร่ แต่กับ Biotherm : Life Plankton Sensitive Emulsion จะเป็นตัวที่เราสะดวกและสบายใจที่จะแนะนำให้ใช้ได้ง่ายขึ้น
ช่วงที่ลองใช้ผิวหน้าเราไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก แต่ก็รู้สึกว่าผิวแข็งแรงดี แต่เวลามีอาการคันขึ้นที่คอ ที่เอว ที่แขน ซึ่งเรามีปัญหานี้เป็นระยะอยู่แล้วเอามาทาก็รู้สึกดีขึ้นเลยล่ะ
โดยสรุปแล้ว Biotherm : Life Plankton Sensitive Emulsion สำหรับเรามันคือพลังที่แท้จริงของส่วนผสมเอกสิทธิ์เฉพาะของ Biotherm กับจุดเด่นในการเยียวยาและบำรุงผิวที่มีปัญหาระคายเคือง ผิวอักเสบ ผิวอ่อนแอ หรือแม้แต่ผิว Atopic เองก็ใช้ได้หากอิงจากการวิจัยที่ตีพิมพ์เอาไว้แล้ว สำหรับคนทั่วไปก็ใช้ได้เพราะมันก็เสริมการคุ้มกันตัวเองจากอนุมูลอิสระตามธรรมชาติด้วย และการที่ผิวแข็งแรงขึ้นก็ยิ่งทำให้ผิวเรามีคุณภาพที่ดีและสวยยิ่งขึ้น สำหรับสายสกินแคร์ Hardcore ที่ชอบใช้ทรีตเมนต์วิตามินซีเข้มข้น Retinol เข้มข้น หรือมีพวกผลัดเซลล์ผิว ตัวนี้จะมาช่วยให้ผิวเราทนกับทรีตเมนตืเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้นด้วยการข่วยลดการระคายเคืองเสริมเรื่องความแข็งแรงของผิวนั่นเอง
ดีอ่ะ ไม่รู้จะติอะไร คงมีแต่ความเห็นของเราที่คิดว่าถ้าไม่เน้นเรื่องคำว่า Sensitive แล้ว ทาง Biotherm จะสามารถทำเนื้อสัมผัสให้เบากว่านี้ได้อีกเพราะไม่จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมของบัตเตอร์และ Squalane ในสูตรเพื่อช่วยเรื่อง Barrier ในการคลุมผิว (แต่มันก็จะขาดจุดขายที่ชัดเจนไปเหมือนกัน) แต่โดยรวมก็ถือว่าทำออกมาได้ดั่งใจเราทีเดียวฺ
สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง
***Sponsored Item***
- Biotherm : Life Plankton Sensitive Emulsion
- เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Life Plankton ที่เหมาะกับผิว Sensitive ที่สุดแล้ว
- ส่วนผสมหลักทั้งหมดช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดการระคายเคือง การอักเสบ ปัญหาผิวได้จริง
- สารพัดประโยชน์ ใช้ได้กับใบหน้า รอบดวงตา และทุกส่วนของร่างกาย
- ส่วนผสมของเปปไทด์ยังมีข้อมูลสนับสนุนอยู่น้อย