วันนี้จะเป็นการรีวิว Biotherm : Skin.Ergetic – Signs of Fatigue Repairing Concentrate (50ml / 2,500 บาท)ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2011 ที่ผ่านมา (แต่ขายในยุโรปมาก่อนหน้านี้แล้วเป็นปี) ซึ่งทุกคนที่ติดตามปูเป้มาตลอดจะรู้ว่านี่เป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ปูเป้กรี๊ดมากที่สุดชิ้นหนึ่งในปีนี้เลยล่ะ

เซรั่มชิ้นนี้ถูกชูจุดขายในเรื่องของการต่อต้านความเหนื่อยล้า (Anti-Fatigue) ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้หญิงและผู้ชายหลากหลายช่วงอายุต้องประสบ เพราะสภาพแวดล้อมในเมืองและสังคมของการเรียนและการทำงานที่กดดัน ความเครียดและความล้าก็ส่งผลให้ผิวหมดพลังไปด้วยจนแสดงออกในรูปแบบผิวที่ดูหยาบกร้าน ไม่เปล่งปลั่ง สีผิวไม่สม่ำเสมอ แต่เครื่องสำอางสามารถต่อต้านความเหนื่อยและเพิ่มพลังงานให้กับผิวได้ด้วยอย่างนั้นรึ?

ในแง่ของส่วนผสมนั้นจะแบ่งสาร Active หลักออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ โดยในส่วนแรกขอสารสกัดจากหน่ออ่อนของบร็อคโคลี่ (Brassica Oleracea Italica Sprout Extract) ที่ถูกแยกเก็บเอาไว้ในแคปซูลพิเศษที่ถูกผนึกในห่ออลูมิเนียมอีกที ซึ่งหน่ออ่อนของบร็อคโคลี่มีสาร Sulforaphane อยู่ในปริมาณมาก (แต่ในทางกลับกัน บร็อคโคลี่แก่จะไม่ค่อยมี Sulforaphane เท่าไหร่) ทางแบรนด์เคลมว่าส่วนผสมตัวนี้ช่วยเพิ่มปริมาณ Manganese Superoxide Dismutase (MnSOD) และส่งสัญญาณเพื่อกระตุ้น NrF2 เพื่อต้านอนุมูลอิสระและขจัดสารพิษตกค้างในเซลล์

NrF2 นั้นเป็นเหมือนสวิตช์ที่คอยเปิดระบบคุ้มกันตัวเองของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และ Stress ต่าง ๆ ซึ่งมีการทดสอบที่ยืนยันแล้วว่า Sulforaphane สามารถเพิ่มการทำงานของ NrF2 โดยทำหน้าที่เป็น Cell-Signaling เพื่อสื่อสารระหว่างเซลล์ มีการทดสอบอีกชิ้นนึงที่ระบุว่าสามารถปรับการสังเคราะห์เซลล์เคราตินของผิวให้เป็นปกติเพื่อรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเซลล์ผิวชั้นนอกด้วย (Epidermolysis bBullosa Simplex) นอกจากนี้ Sulforaphane ยังมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ ต้านการอักเสบ และช่วยลดความเสียหายของผิวที่จะเกิดขึ้นจากรังสี UV เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็วผิวหนังได้

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ Sulforaphane คือมันไม่เสถียรเอาเสียเลยสูตรเครื่องสำอางทั่วไปที่มี “น้ำ” หรือ “ความชื้น” เป็นส่วนประกอบหลัก โดยการศึกษาพบว่า Sulforaphane จะสลายไปหมดภายใน 30 วันเมื่อผสมลงไปในตำรับครีมเบสมาตรฐาน แต่สามารถยืดอายุได้ด้วยการใส่สารแอนติออกซิแดนท์อื่น ๆ เสริมเข้าไป เพื่อให้ Sulphoraphane คงประสิทธิภาพได้นานที่สุดก็คือการแยกเก็บสารตัวนี้เอาไว้ในรูปแบบผงแห้ง และผสมเข้าในเบสเซรั่มก่อนเริ่มใช้

(Sources : Sulforaphane mobilizes cellular defenses that protect skin against damage by UV radiation, Induction of the phase 2 response in mouse and human skin by sulforaphane-containing broccoli sprout extracts., Differential Modulation of Keratin Expression by Sulforaphane Occurs via Nrf2-dependent and -independent Pathways in Skin Epithelia, Reprogramming of keratin biosynthesis by sulforaphane restores skin integrity in epidermolysis bullosa simplex, Stability of Sulforaphane in Topical Formulations, The Nrf2 system and cell protection)

การผสมก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ถอดหลอดหยดออก แกะแคปซูลที่บรรจุผง Sulforaphane ไปแทนที่และกดหนึ่งครั้งเพื่อให้ผงสารสกัดตกลงไปในในขวด นำหลอดหยดกลับมาใส่แทนและเขย่าขวดแรง ๆ สักพักก็สามารถใช้ได้เลย (หรือทิ้งไว้ข้ามคืนและเขย่าอีกครั้งเพื่อให้สารสกัดละลายและกระจายทั่วถึง) อย่าลืมเขียนวันเดือนปีที่เริ่มผสมลงไปที่หลังขวดด้วย เพราะเราต้องใช้ให้หมดใน 3 เดือน เพราะหลังจากนั้นมันก็สลายหมดแล้วล่ะ

สาร Active ส่วนที่สองคือสารสกัดจากเซลล์แอปเปิ้ลและถั่วเหลือง ซึ่งโฆษณาว่าช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ แต่ยังไม่มีหลักฐานใด ๆที่สามารถยืนยันได้ว่าเมื่อทาสารสกัดเหล่านี้ลงไปบนผิวแล้วจะสามารถเสริมการผลิต ATP หรือ Adenosine Triphosphate ได้ แต่แอปเปิ้ลกับถั่วเหลืองก็เป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ดีเมื่อทาลงบนผิว (ส่วนเรื่องสเต็มเซลล์แอปเปิ้ลจะมาช่วยทำให้สเต็มเซลล์ของคนเราแข็งแรงได้รึเปล่า ขอบอกว่าไม่มีหลักฐานอะไรที่มาสนับสนุนได้ และ Stem Cell ไม่สามารถมีชีวิตรอดในเครื่องสำอางได้หรอก)

ส่วนสุดท้ายคือสารสกัดจากมะนาวและอ้อยที่เขาว่าช่วยผลัดเซลล์ผิว แม้ว่ากรด AHAs สามารถสกัดมาได้จากผลไม้เหล่านี้ แต่การนำสารสกัดปริมาณเล็กน้อยมาใส่นั้นไมได้ให้ผลในการผลัดเซลล์ได้เหมือนกับกรด AHAs ดังนั้นผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผลัดเซลล์ผิวให้เราไม่ได้หรอก (และค่า pH ก็อยู่ที่ประมาณ 4.5 ด้วย)

ส่วนผสมของเบสเซรั่มนั้นมีส่วนผสมของน้ำมันมะกอกที่เป็นแอนติออกซิแดนท์กับผิว และวิตามินอีในรูป Tocopherol ที่ผิวสามารถนำไปใช้ได้ทันที ไม่มีส่วนผสมของซิลิโคนและสารกันเสียในรูปของ Paraben รวมถึง Phenoxyethanol แต่ใช้ Salicylic Acid และ Sodium Benzoate เป็นสารกันเสียแทน

Serum Base Ingredients : Aqua, Glycerin, Olea Europaea Oil, Alcohol, Dicaprylyl Carbonate, Sucrose Sterate, Tocopherol, Sclerotium Gum, Caprylyl Glycol, Stearic Acid, Xanthan Gum, Palmitic Acid, Salicylic Acid, Potassium Sorbate, Vaccinium Myrtillus Extract, Sodium Hydroxide, Caffeine, p-Anisic Acid, Saccharum Officinarum Extract, Vitreoscilla Ferment, Limonene, Citrus Aurantium Dulcis Extract, Citrus Medica Limonum Peel Extract, Geraniol, Acer Saccharinum Extract, Malus Domestica Fruit Cell Culture, Hydrolyzed Soy Protein, Citral, Parfum, Sodium Benzoate.

Active Powder Ingredients : Sorbitol, Brassica Oleracea Italica Sprout Extract, Dextrin, Dicaprylyl Carbonate.

เนื้อสัมผัสเป็นเซรั่มน้ำนมเนื้อบางเบาที่สามารถแห้งเนียนสนิทไปกับผิวโดยไม่ทิ้งความมันวาวใด ๆ มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นอันดับที่ 4 แต่ก็มี Glycerin และน้ำมันมะกอกมาไว้ก่อนหน้าจึงไม่ทำให้ผิวแห้งตึง ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ถูกกำหนดให้เป็น Pre-Serum คือใช้หลังจากเช็ดโทนเนอร์แต่ก่อนเซรั่มบำรุงผิวอื่น ๆ ที่มีอยู่

Serum ตัวนี้มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอกด้วย ดังนั้นใครที่กังวลเรื่องของการอุดตันก็ควรทดสอบก่อน ส่วนตัวปูเป้ใช้พวก BHA และยา Differin คู่ไปด้วยเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการอุดตันอยู่แล้ว ใช้ตัวนี้ก็ไม่เกิดสิวครับ 🙂

นอกจากสัมผัสจะดีแล้วกลิ่นก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ปูเป้ชอบมาก ๆ เพราะเป็นกลิ่นแนวฟรุตตี้ของลูกแพร์ ส้ม แอปเปิ้ล พีช ที่ถูกโฉลกกับตัวเองเป็นที่สุด เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมาก ๆ เลยล่ะ แต่ถึงแม้กลิ่นหอมที่ใช้จะมาจากธรรมชาติทั้งหมด 100% แต่น้ำหอมก็คือน้ำหอม มีโอกาสก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ทั้งนั้น ใครที่ไม่มั่นใจปูเป้แนะนำให้ขอ Sample มาทำ Patch Test เพื่อทดสอบอาการแพ้ก่อนซื้อครับ

โดยสรุปแล้วปูเป้มองว่านี่เป็น Serum ที่เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย ทุกปัญหาผิว และเกือบทุกสภาพผิว (เว้นผิว Sensitive เอาไว้หน่อยเพราะมีน้ำหอม) สิ่งที่คาดหวังได้คือคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและมั่นใจได้ว่ามีความสดใหม่ รวมถึงกระตุ้นกลไกการปกป้องตัวเองของผิวจาก Stress ภายนอกเพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงและชะลอการเกิดริ้วรอย ผิวจะรู้สึกนิ่มและดูสดใสขึ้นด้วยครับ

ปัญหาที่ปูเป้พบระหว่างใช้คือเรื่องความไม่เข้ากันกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้ร่วมด้วยบางชิ้น อาจทำให้เกิดการ Ball-Up หรือลอกเป็นขุยเป็นคราบได้บ้าง ซึ่งตรงนี้ทุกคนต้องไปทดสอบกันเอาเองครับว่าตัวนี้จะมีปัญหากับผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่รึเปล่า ก็หวังว่ารีวิวนี้จะตอบข้อสงสัยคาใจและเป็นข้อมูลให้กับหลายคนที่กำลังสนใจ Biotherm : Skin.Ergetic – Signs of Fatigue Repairing Concentrate กันอยู่นะครับ

ข้อดี

– สาร Sulforaphane มีคุณสมบัติที่ดีกับผิวหลายอย่าง
– บรรจุภัณฑ์และการแยกเก็บสาร Active ช่วยให้สารบำรุงมีความเสถียร
– เนื้อสัมผัสบางเบา ใช้ได้กับทุกสภาพผิว ทุกเพศ ทุกวัย
– ไม่มีซิลิโคน เหมาะสำหรับคนที่ไม่ถูกกับส่วนผสมเหล่านี้
– ปริมาณ 50 ml

ข้อเสีย

– มีส่วนผสมของน้ำหอม (ถึงมันจะหอมก็เถอะ แต่มันก็มีโอกาสระคายเคืองและก่ออาการแพ้ได้)
– มีส่วนผสมของ Fragrance Component
– ไม่ได้ผลัดเซลล์ผิวได้ตามโฆษณา
– คุณสมบัติในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ด้วยสารสกัดจากถั่วเหลืองยังไม่ได้ทดสอบโดยการ “ทา” (Topical)