การปรับรูปหน้า เสริมความงาม คืนความอ่อนเยาว์ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องศัลยกรรม ไม่ต้องพักฟื้น มันเป็นอะไรที่ช่างดูดีจนเกินกว่าจะเป็นความจริง แต่กลับเป็นจริงได้ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ ทำให้การฉีด Botox และ Filler นั้นได้รับการตอบรับอยากมวลมหาประชาชนผู้อยากสวยกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันยุคที่สื่อสังคมออนไลน์และแอพพลิเคชั่นแต่งรูปมีผลอย่างมากต่อทัศนคติที่คนมีต่อ “ความงาม” ที่นับวันจะต้องสมบูรณ์แบบจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเหนือมนุษย์ เหนือธรรมชาติกันเลยทีเดียว

 photo Facial Injextion.png
อย่างไรก็ดี เหรียญมีสองด้าน ไม่มีสิ่งใดที่มีแต่ผลดีโดยปราศจากความเสี่ยงหรอผลเสียเลยแม้แต่น้อย ในเรื่องของการฉีดอไรเข้าไปในร่างกายหรือใบหน้าก็เช่นกัน ตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราเห็นกระแสข่าวที่ที่ดาราหน้าเปลี่ยนหน้าแปลกหน้าแน่นจนดูแปลไม่สมส่วน ไปจนถึงข่าวที่น่าตกใจกับการฉีดฟิลเลอร์แล้วตาบอด!!! ยังมีกระแสของแพทย์บางส่วนที่ไม่แนะนำให้ฉีดสารเติมเต็มเข้าผิวเพราะอาจมีอันตรายและความเสี่ยงที่อาจแก้ไขไม่ได้

สรุปแล้วไอ้การจิ้มโบฉีดฟิลเลอร์นี่มันยังไงกันแน่ มันปลอดภัยหรืออันตราย? ถ้าอยากอัพหน้าให้สวยขึ้นควรจะไปจิ้มหน้าดีไหม? หรือให้หมอทุบหน้าทำศัลยกรรมไปเลยจะดีกว่า?

ก่อนที่จะคอนเฟริม ฟันธง ตัดสินใจนัดหมอจิ้มหน้าหรือหาหมอศัลยกรรม เรามาดูข้อมูลกันก่อนดีกว่า






BOTOX กับ Filler ต่างกันยังไงอ่ะ?

BOTOX คือชื่อทางการค้าของ Botulinum Toxin Type A ซึ่งผลิตโดยบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมี Botulinum Toxin Type A จากประเทศอื่น ในชื่อยี่ห้อหรือชื่อทางการค้าอื่นด้วย อย่างเช่น Dysport เอย Neuronox เอย ซึ่งแต่ละตัวมันมีคุณสมบัติที่ต่างไปเล้กน้อย บางตัวกระจายตัวดีกว่า เหมาะกับฉีดกล้ามเนื้อมัดใหญ่ บางตัวเหมาะกับการฉีดจุดเล็ก ๆ ซึ่งเป็นความเห็นจากประสบการณ์ของคุณหมอที่ทำการฉีด

การฉีด Botulinum Toxin Type A ไปทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ซึ่งช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ได้ และนำไปประยุกต์ใช้กับหลักการดึงและรั้งในทิศตรงกันข้ามของแนวกล้ามเนื้อเพื่อช่วยปรับรูปหน้าได้

ส่วนการฉีด Filler นั้นก็คือการฉีดเอาสารเข้าไปเติมเต็มข้างใต้ผิว โดยสิ่งที่ฉีดเข้าไปก็มีหลายแบบ ทั้งแบบชั่วคราว กึ่งถาวร และแบบถาวร การฉีดยังแบ่งเป็นหลายระดับชั้นอีกด้วย ตั้งแต่ชั้นผิวหนัง ชั้นกล้ามเนื้อ ชั้นไขมัน หรือแม้แต่ติดกระดูกก็ยังทำได้

สรุปง่าย ๆ คือ ว่า Botulinum Toxin Type A คือการฉีดเพื่อไปลดการทำงานของกล้ามเนื้อให้มันหด ให้มันฟีบลง ส่วนการฉีด Filler คือการฉีดเพื่อเพิ่มปริมาตร หรือเพิ่ม Volume เข้าไปข้างใน 

การฉีด Botox ที่ดีทำให้หน้าเรียวปรับรูปหน้าได้สวย ฉีดกรามแล้วกรามบานเบิกจะหายไป หน้าจะเรียว ริ้วรอยจะจางลง แต่ฉีดไม่ดี ฉีดกล้ามเนื้อผิวมัด หนังตาอาจตก มุมปากอาจห้อย หน้าแข็งแบบ บอม ธนิน ซึ่งแก้ไม่ได้จนกว่า Botox จะหมดฤิทธิ์ในราว 6 เดือน

ส่วนฉีด Filler ฉีดดีริ้วรอยก็จะหาย หน้าจะได้รูปสวย อิ่มเอิบ ฉีดไม่ดีหน้าจะดูเยอะ ดูเกิน ดูแน่น ดูบวม หรืออาจจะเป็นก้อน ไม่เป็นธรรมชาติ ฉีดแล้วไหล ถ้าแย่หน่อยก็ติดเชื้อ หรือเกิดเป็นตุ่ม เป็นก้อนไตแข็ง ๆ ใต้ผิว แย่ที่สุดคือเนื้อเยื่อตาย ตาบอด!!!

จะเห็นได้ว่าการฉีด Botox และ Fillerนั้นต่างมีข้อบ่งใช้ มีข้อดี มีความสามารถ และมีความเสี่ยงในตัวของมันเอง แต่ Filler ดูจะมีความเสี่ยงมากกว่าเยอะ และต้องอาศัยเทคนิค ความชำนาญ และศิลปะในการวิเคราะห์รูปหน้าเป็นอย่างมาก คือการฉีด Filler คือกาารเติม ยังไงมันก็ไม่มีน้อยลง แต่การฉีด Filler ที่ชนะ คือการฉีดเข้าไปแล้วทำให้รูปหน้าโดยรวมดูสมดุล และดูเล็กหรือดูเข้ารูปได้ แต่การฉีดที่พลาดคือแม้จะฉีดนิดเดียว ฉีดไม่มาก แต่ก็ทำความวิบัติให้รูปหน้าดูผิดสัดส่วน ดูประหลาดไปได้

Filler มีหลายแบบ? มีแบบไหนบ้างล่ะ?

สารเติมเต็มที่เราฉีดกันเข้าไปใต้ผิวนั้นแบ่งหลัก ๆ ได้ 3 แบบ

1. Temporary Filler ได้แก่ คอลลาเจน (Collagen) ไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hylaluroic Acid) และ ไขมัน (Fat) ซึ่งสมัยก่อนตัวที่นิยมใช้ก็คือคอลลาเจน แต่คอลลาเจนมีปัญหาเรื่องอาการแพ้ได้ เพราะคอลลาเจนของคนกับของสัตว์ที่กัดมาก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียวจึงมีโอกาสก่อให้เกิดอาการแพ้ได้บ้าง ราว 3-5%ของประชากร ดังนั้นก่อนฉีดจึงต้องทำการเช็คก่อนว่าแพ้คอลลาเจนชนิดที่จะทำการฉีดหรือไม่ คอลลาเจน ชนิดฉีดอยู่ได้ราว 3-4 เดือน

ไฮยาลูโรนิคแอซิด หรือ HA เป็นสิ่งที่ผิวเรามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ และโอกาสที่เราจะแพ้ HA ที่เราฉีดเข้าไปก็ยากมาก ทำให้ HA ได้รับความนิยมแทนที่คอลลาเจนอย่างรวดเร็วจนปัจจุบันไม่เหมือการฉีดคอลลาเจนแล้วก็ว่าได้ ในปัจจุบันนี้ HA จัดเป็นสารเติมเต็มชั่วคราวที่ปลอดภัยที่สุดอย่างหนึ่ง อยู่ได้ขั้นต่ำ 6-12 เดือน บางชนิดอยู่ได้นานกว่านั้นแต่ผู้ผลิตการันตีผลไว้ที่ไม่เกิน 2 ปี

ไขมันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งไขมันที่เติมเต็มก็คือไขมันของเจ้าตัว ไปดูดมาจากจุดที่มีไขมันส่วนเกินแล้วก็เอาไปเติมเต็มใส่ส่วนที่ขาดไป มักจะเห็นคนดูดไขมันจากพุง สะโพก ก้น แล้วฉีดเข้าไปที่หลังมือเมื่อทำให้มือเหี่ยว ๆ ดูตึงขึ้นได้

สรุปสั้น ๆว่า สารเติมเต็มแบบชั่วคราวนี้จะสลายไปได้เองตามธรรมชาติด้วยกระบวนการของร่างกาย (Bio-degradable) ชนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุดและปลอดภัยในปัจจุบันคือ Hylaluroic Acid

2. Semi-Permanent Filler ก็มีหลายตัวเลือก ตัวหลัก ๆที่ผ่าน UD FDA ก็จะมี Rediesse Sculptra และ AreteFill เป็นต้น พวกนี้ก็คือการเอา Hylaluroic Acid หรือ Collagen มาเป็นเบส แล้วใส่สารบางตัวเพิ่มเข้าไป อย่าง Rediesse คือ Hylaluroic Acid + Calcium Hydroxylapatite ส่วน Sculptra ก็ใช้ Hylaluroic Acid + Poly-L-Lactic Acid และ AreteFill ใช้ Collagen + Polymethylmethacrylate

หลักการทำงานก็คือตัวเบส Hylaluroic Acid หรือ Collagen นั้นจะเข้าไปเติมเต็มในทันทีโดยมีอายุอยู่ในระยะหนึ่ง แต่สารพิเศษที่เติมเข้ามามันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ากระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ซึ่งเขาเคลมว่าจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ทำให้ผลของการฉีด Semi-Permanent Filler อยู่ได้ยาวนานขึ้นตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป


สารที่เติมเข้าไปในเบสนั้นก็แบ่งเป็นทั้งแบบ Biodegradable ซึ่งถูกย่อยสลายได้ในร่างกายตามธรรมชาติ อย่าง Calcium Hydroxylapatite และ Poly-L-Lactic Acid ส่วนชนิดที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ (Non-Biodegradable) อย่าง Polymethylmethacrylate นั้นแม้จะไม่สลายแต่ว่ามีความเข้ากันกับร่างกายได้ (Biocompatible)

สรูปสั้น ๆ ว่าฟิลเลอร์แบบนี้อยู่ได้นานกว่า แต่สารเติมเต็มแบบ Semi-Permanent เหล่านี้ก็มีข้อควรระวังเรื่องผลข้างเคียงในระยะยาว เช่นทำให้เกิดสิ่งผิดปกติบริเวณที่ฉีดไป เกิดเป็น Granuloma จากการที่ร่างกายตอบสนองกับสารแปลกปลอม เป็นไตแข็งๆ นูนๆ อีกเสบ แดงจากใต้ผิว ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย ประมาณ 0.1%อ ของประชากร

3. Permanent Filler คือสารเติมเต็มที่อยู่ถาวร ไม่สลายหรือหายไปไหน ตัวอย่างที่เบสิคที่สุดคือซิลิโคน ซึ่งเป็นตัวที่ไม่แนะนำให้ฉีดกัน เนื่องจากมีโอกาสที่มันจะไหล ทำสัดส่วนผิดเพี้ยน รวมไปถึงการติดเชื้ออีกด้วย แม้จะมีสารเติมเต็มชนิดถาวรอื่นๆที่ไม่ใช่ซิลิโคน แต่ด้วยความที่รูปหน้าเรามันไม่ได้เหมือนเดิมตลอด ควาเสื่อมชราทำให้โครงหน้าเราเปลี่ยนไปตั้งแต่ผิวหนังชั้นนอก ไล่ไปถึงกล้ามเนื้อ ไขมัน แม้กระทั่วมวลกระดูก สิ่งที่ฉีดแล้วทำให้หน้าเราสวยในวันนี้ อาจจะไม่เหมาะกับหน้าของเราเมื่อไปเป็นสิบหรือยี่สิบปี สารเติมเต็มชนิดนี้ก็มีโอกาสเกิด Granuloma เหมือนกัน ที่สำคัญที่สุดคือการจะเอาสารเติมเต็มพวกนี้ออกมา มันไม่ง่ายมันเป็นของเหลว มันไหลไปทั่ว ไม่ใช่ซิลิโคนแท่ง ๆ ที่เอาออกมาเป็นแท่งเดิมได้ และการเอาออกให้ผิวอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนที่จะฉีดนั้นเป็นไปไม่ได้เลยก็ว่าได้

Hyaluronic Acid Filler ที่ใช้นั้นมีกี่แบบ?

ปัจจุบันมีผู้ผลิต Hyaluronic Acid ออกมาหลายยี่ห้อทีเดียว โดยที่ผ่าน อย. ของไทย และนิยมใช้กันก็จะมี Rystylane Perlane Juvederm อะไรประมาณนี้ ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีลักษณะที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของความข้น หนืด การกระจายตัว การยึดเกาะ ยังมีรุ่นผสมยาชาและไม่ผสมยาชาแยกกันอีกต่างหาก สำคัญมากที่แพทย์ผู้ทำการฉีดจะต้องเลือกชนิดที่เหมาะกับการฉีด ยกตัวอย่าง Hyaluronic Acid ชนิดที่อ่อนนุ่มนั้นจะเหมาะกับฉีดจุดเล็ก ๆ อย่างเช่นรอบดวงตา หรือร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก จะได้ดูเป็นธรรมชาติ ส่วน Hyaluronic Acid ที่มีความข้น อยู่ตัวมาก แรงยึดเกาะสูง ก็เหมาะที่จะฉีดจมูก ปั้นทรง มากกว่าจะไปฉีดรอบดวงตา เพราะมันกระจายตัวไม่ดีจะดูเป็นก้อนแทน อะไรแบบนี้เป็นต้น

การฉีด Hyaluronic Acid Filler นั้นอยู่ได้นานแค่ไหน?

อย่างที่บอกไปแล้วว่าขึ้นอยู่กับชนิดและความข้นของ Hyaluronic Acid คือเริ่ตั้งแต่ 6 เดือน -12 เดือนเป็นเบสิค บางตัวอาจอยู่ได้ถึง 2 ปี

นอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด อย่างที่บอกไปแล้วว่าสาร Hyaluronidase สามารถทำการสลาย Hyaluronic Acid ที่เราฉีดเข้าไปได้ ซึ่งร่างกายของเราก็มี Hyaluronidase อยู่แล้วตามธรรมชาติโดยอยู่ใน “เลือด” ดังนั้นถ้าเราฉีด Hyaluronic Acid ในจุดที่มีเลือดไปเลี้ยงเยอะ ๆ อย่างริมฝีปาก มันก็จะมีอายุอยู่ได้น้อยกว่าจุดที่มีเลือดไปเลี้ยงไม่เยอะมากเท่า

Hyaluronic Acid Filler ตกค้างอยู่ในผิวรึเปล่า?



พ.ญ.ทิฆัมพร ใยบัวเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่ได้รับประกาศนียบัตร Board Certificate Dermatologist จากสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีด Filler และ BOTOX เพื่อปรับรูปหน้า มีประสบการณ์นับสิบปี ให้ข้อมูลและความมั่นใจว่า ถ้าเป็น Hyaluronic Acid แท้ นั้นตัว Hyaluronic Acid จะสามารถสลายหมดแน่นอน และถ้าฉีดแล้วไม่ชอบหรืออยากจะปรับก็สามารถฉีด Hyaluronidase เข้าไปเพื่อสลายได้ แต่ในข่าวที่ว่าฉีดฟิลเอร์แล้วเกิดพังผืดเยอะ มีตกค้างมาก อาจจะมาจากสิ่งฉีดเข้าไปไม่ใช่ Hyaluronic Acid แท้ทั้งหมดก็เป็นได้

อยางไรก็ดี คุณหมอบอกว่าการฉีด Hyaluronic Acid นั้นมันอาจมีการเกิด Fibrosis หรือพังผืดได้ แต่โอกาสเกิดก็น้อยมากเพราะว่ามันเป็นสารที่ร่างกายเรามีอยู่แล้ว



ความเสี่ยงจากการฉีด Hyaluronic Acid Filler มีหรือไม่?

มี ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์ผู้ทำการฉีดล้วน ๆ เลย อย่างกรณีที่เคยมีข่าวว่าฉีดฟิลเลอร์บริเวณใกล้ตาแล้วตาบอดนั้น เกิดขึ้นจากการที่แพทย์ผู้ฉีดแทงเข็มเข้าไปในเส้นเลือดแล้วฉีดสารเติมเต็มเข้าไป อานุภาคของสารเติมเต็มมันมีขนาดใหญ่กว่าภายในเส้นเลือดมันจึงเข้าไปอุด ทำให้เลือดไม่เลี้ยงอวัยวะ ผลก็คือเนื้อเยื่อตาย ในกรณีที่เกิดข่าวนี้คือตาบอดไปเลย

แต่เดิมนั้นการฉีด Filler จะใช้เข็มแหลม ซึ่งมีความเสี่ยงมากที่ความแหลมจะเข้าไปเจาะเส้นเลือด ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ แต่หลังจากที่เข็มปลายทื่อผ่าน อย. ของไทย มันก็ลดความเสี่ยงในการที่เข็มจะเจาะเข้าไปในเส้นเลือดได้ แต่ก็ยังมีโอกาสอยู่ดี ดังนั้นความชำนาญของแพทย์ และการสังเกตอาการหลังจากฉีดจึงสำคัญมาก เพราะความเสียหายที่รุนแรงอย่างการเกิดเนื้อเยื่อตาย ตาบอดนั้น สามารถป้องกันได้ถ้าแพทย์ที่ทำการฉีดสังเกตพบและทำการฉีดตัวสลายเพื่อทำการแก้ไขการอุดตันตั้งแต่เนิ่น ๆ

ผลเสียอื่น ๆ นอกเหนือจากการติดเชื้อ และความผิดพลาดในกระบวนการฉีดนั้น โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงระยะยาวเช่นการอักเสบจากการตอบสนองของร่างกายได้นั้นมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ๆ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าไม่มีเลย




มั่นใจได้อย่างไรว่าที่เราฉีดเข้าไปเป็น Hyaluronic Acid แท้?



อย่างแรกเลยคือราคาค่าฉีด Hyaluronic Acid Filler ขนาด 1 มิลลิลิตร 1 หลอด ราคาไม่หนีหมื่นบาทอัพ ๆ แน่นอนด้วยเรื่องของต้นทุน ไม่มีทางเลยที่จะถูกกว่านี้ ที่ไหนถูกกว่านี้ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าไม่น่าจะใช่ละ…


 และต่อให้เขาตั้งราคาแพงเป็นหมื่น ก็ไม่แน่อยู่ดีว่าของที่ฉีดให้จะมีคุณภาพหรือเป็นของแท้ คือมันมีทริกมากมายในวงการความงามนี้ที่เอาเปรียบผู้บริโภคเพื่อผลกำไรที่มากที่สุดของตัวเอง อาธิเช่น

เอา Hyaluronic Acid Filler มาผสมน้ำเกลือเพื่อให้มันบวมขึ้น แต่การทำแบบนี้จะทำให้ค่าแรงยึดเกาะและคุณสมบัติของ Hyaluronic Acid ที่เราเสียเงินเป็นหมื่นเพื่อซื้อมันมานั้นเสียไป

มีการเอา Hyaluronic Acid Filler ชนิดที่เสริมหน้าอก ที่ขายในปริมาณมากกว่า (100ml) มาแบ่งเป็นหลอดเล็กเพื่อฉีด ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนและทำให้ติดเชื้อตามมา

นอกจากนี้ยังมีการซื้อกล่องเปล่าของพวก Hyaluronic Acid Filler หรือ BOTOX เพื่อไปสวมรอยย้อมแมวหลอกคนไข้ว่านี่เราใช้ของแท้ยี่ห้อดังนะ บลา ๆ ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้วเอาของอะไรมาฉีดอะไรให้เราก้ไม่รู้


ถ้าใช้ Botox แท้ Filler แท้ ฉีดยังไงก็สวย ก็ปลอดภัยงั้นหรอ?

ต่อให้เราได้ทั้ง Botox แท้ Filler คุณภาพตามที่ต้องการเป๊ะ ไม่มีย้อมแมว แต่สุดท้ายคนที่จะเสกสิ่งเหล่านี้ให้เกิดเป็นความงามบนใบหน้าเราได้ ล้วนขึ้นอยู่กับผู้ที่ฉีดให้ ในกรณีนี้ขอย้ำว่า ต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับรองจากแพทย์สภา และทำในสถานที่เหมาะสมเท่านั้น หมอกระเป๋าที่หอบไปฉีดกันในรถ ในห้อง หรือผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้เชี่ยวชาญฉีดกันเอง นอกจากจะผิดกฏหมายแล้ว ยังอันตรายมากอีกด้วย เพราะต่อให้เป็นคุณหมอจริงๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณหมอทุกคนจะมีทักษาและความเชี่ยวชาญในการฉีดที่เหมาะสม รวมไปถึงการวิเคราะห์รูปหน้าอย่างถูกต้องอีกด้วย

การฉีด Filler และ Botox นั้นอาศัยความชำนาญมาก เพราะว่าเวลาที่จิ้มเข็มลงไป เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นว่าเข็มมันจิ้มไปลึกที่ชั้นไหนข้างใต้ผิว หรือจิ่มโดนกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการรึเปล่า การจะฉีด Botox หรือ Filler ก็ต้องมีการเข้าฝึกอบรมด้วย โดยการฝึกอบรมก็จะมีใบกระกาศ หรือ Certificate ให้ แต่รู้ไหมว่า Certificate กับการอบรบก็มีหลายระดับ 

บางการอบรมนั้นแค่มีแพทย์ผู้สอนมาทำการฉีดสาธิตให้ดู แล้วมีแพทย์ที่สมัครมาเข้ารับการอบรม มาสังเกต มาดู หรือดูผ่านกล้อง ผ่านมอนิเตอร์ พอจบปึ๊ปก็ได้ใบประกาศ ได้ Certificate of participation แล้ว ซึ่งไม่ได้การันตีได้เต็มที่ว่าคนที่เข้าอบรมมาจะฉีดได้ ฉีดเป็นจริง ๆ ระดับของการอบรมที่เข้มงวดขึ้น ก็คือผู้สอนมีการจับมือผู้เข้าอบรมให้ลองทำเลย พวกนี้พอผ่านการอบรมจะได้เป็น Certificate แบบ Hands on

ปัญหาเรื่องเอาใบประกาศไม่มีคุณภาพมาหลอกให้เชื่อใจเดี๋ยวนี้เราเจอในหลายวงการที่แค่บินไปดูเดินชมสถานที่ ไปนั่งฟังอบรมเพื่อชุบตัว แล้วกลับมาเอาใบประกาศมาอวดอ้างว่าไปอบรมต่างประเทศมาบ้างอะไรบ้าง เพราะคนนอกวงการ หรือคนส่วนใหญ่จะไม่รู้เรื่องพวกนี้กัน อยากให้ระวังให้มาก แค่มีใบประกาศไม่ได้แปลว่าเก่ง ต้องดูระดับของใบประกาศ วิธีในการอบรบเพื่อให้ได้ใบประกาศ ความเข้มงวดในการให้ใบประกาศด้วย และที่ขาดไม่ได้ คือขอดูผลงานของคุณหมอที่ผ่านมาด้วย

Golden Ratio สัดส่วนแห่งความงามในอุดมคติของธรรมชาติ

แต่ถึงแม้คุณหมอจะเก่งมากในการกะความลึกและจุดที่จะฉีดเข้าไป มีความชำนาญในการฉีดมากจนมั่นใจได้ แต่อีกสิ่งที่ยังต้องคำนึงถึงคือ คุณหมอที่ให้บริการเรานั้น มีสายตา มีสิลปะในการวิเคราะห์รูปหน้าที่เหมาะสมและสวยงามกับเราหรือไม่

ความรู้เรื่องเทคนิคในการปรับรูปหน้าแบบ Total Facial Approach ที่สร้างความสมดุลตามสัดส่วนที่ลงตัวนี้ เป็นความรู้ใหม่ที่ปูเป้ได้ไปฟังบรรยายจาก พ.ญ.ทิฆัมพร ใยบัวเทศ หรือคุณหมอเอ๋ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีด Filler และ BOTOX เพื่อปรับรูปหน้า มีประสบการณ์นับสิบปี และเป็นผู้สอนให้แพทย์ไทยตามคลีนิคหรือโรงพยาบาลทั่วประเทศในการฉีด Filler และ BOTOX อีกด้วย คือเรียกได้ว่าถ้าคุณจะหาหนึ่งในผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการฉีดเพื่อปรับรูปหน้าที่สุดของประเทศ พ.ญ.ทิฆัมพร คือหนึ่งในคนที่คุณวางใจได้ที่สุดก็ว่าได้

ในการบรรยาย พ.ญ.ทิฆัมพร ได้แสดงให้เราเห็นตัวอย่างของการฉีดปรับรูปหน้าที่แก้ไขปัญหาที่คนไข้ต้องการได้จริง แต่กลับทำให้โครงหน้าและสัดส่วนโดยรวมดูผิดไป อย่างเช่นอยากลดเลือนร่องแก้ม แต่การเติมร่องแก้มกลับทำให้หน้าดูบวมใหญ่ดูอ้วนขึ้น รูสึกว่าคางสั้นไปก็เลยเติมคาง แต่กลับทำให้สัดส่วนแนวตั้งของใบหน้าผิดไป

ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะว่าการฉีดเติมเพื่อแก้ปัญหาจุดหนึ่ง อาจจะไปเพิ่มปัญหาที่จุดอื่นหรือทำให้จุดอื่นดูไม่สมส่วนขึ้นมาแทนได้ หากไม่ได้คำนึงถึงเรื่องของ “สัดส่วนทองคำ” หรือ “Golden Ratio” ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นค่าเฉลี่ยของรูปแบบความงามตามธรรมชาติ

 photo Florence Colgate.png
ด้าบบนนี้คือตัวอย่างของผู้หญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อว่า Florence Colgate สาวอายุ 18 ปี ในขณะนั้นซึ่งได้รับการเลือกจากผู้เข้าร่วมกว่า 8,000 คน ที่มีใบหน้าธรรมชาติ ไร้เมคอัพ ไม่เคยผ่านการศัลยกรรมเสริม เติมหรือฉีดอะไรใด ๆ ว่าเป็นหญิงผู้มีใบหน้าสวยเพอเฟคตามอุดมคติที่สุดการจากโหวตของชาวอังกฤษเมื่อปี 2012

 

 

Florence Colgate อาจจะไม่ได้ดูสวยที่สุดในสายตาของทุกคน เพราะนิยามและทัศนคติที่ทุกคนมีต่อความงามล้วนต่างกันและต่างไปในยุคสมัย แต่มันมีเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้รับการโหวตจากประชาชนทั่วไปของอังกฤษว่าเป็นผู้ชนะ


เมื่อนำมาวิเคราะห์แล้ว พบว่า Florence Colgate เป็นคนที่มีรูปหน้าที่ได้สัดส่วนตามหลักของสัดส่วนทองคำเลยตามที่เห็นในวีดีโอนี้ ถ้าใบหน้าเราไม่ได้สัดส่วน เรามาปรับให้ได้สัดส่วน หน้าเราจะดูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าเราไปเติมให้มันเกิด หรือกระมบให้ส่วนอื่นมันเสียสัดส่วนไป หน้าเราจะดูแปลกทันที

 photo Florence Colgate 02.png
แต่ถึงแม้ Florence Colgate จะเป็นคนที่มีรูปห้นาได้สัดส่วนเป๊ะ แต่ว่าหน้าของเธอก็ยังคงไม่สมมาตรกันระหว่างฝังซ้ายและฝั่งขวา การปรับรูปหน้าจะสามารถทำให้รูปหน้าทั้งสฝฝั่งมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอยากจะให้ปรับข้างไหนให้เหมือนกับข้างไหนล่ะ? ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วยว่าเราชอบรูปหน้าข้างไหนของเรามากกว่า อยากจะให้มันออกมาเป็นอารมณ์แบบไหน

และถึงแม้ปัจจุบันความสวยจากมุมมองด้านหน้าจะถูกเนรมิตหรือหลอกตาได้ด้วยการแต่งหน้า การคอนทัวร์เพื่อให้แสงเงาในการปรับรูปหน้าเมื่อมองจากด้านตรง การใช้ทรงผม หนวด เคราะ ในการสร้างกรอบหน้า แต่วิธีเหล่านี้ไม่สามารถช่วยหลอกหรืออำพรางรุปหน้าที่แท้จริงเมื่อมองจากด้านข้างได้ ดังนั้นการปรับรูปหน้าให้สวยในทุกมิติจะต้องคำนึงถึงความสมส่วนของรูปหน้าจากด้านข้างด้วยอีกเหมือนกัน

 photo Facial Profile.png
โปรไฟล์หน้าด้านข้างของคนเราแบ่งออกเป็น 3 แบบหลัก ๆ นั่นก็คือแบบแนวตรง Orthognathic ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นรูปหน้าที่สวยที่สุด Concave คือโปรไฟลืหน้าจะยุบเข้าไป ซึ่งเป็นปัญหาส่วนใหญ่ของคนเอเชีย และสุดท้ายคือ Concave หรือโปรไฟล์หน้าที่ยื่นออกมา

คนเราสามารถมีโปรไฟลืห้าที่ผสมกันได้ อย่างปุเป้เองจะมีลักษณะของ Concave และ Convec ผสมกัน

ประสบการณ์ตรงกับการฉีด Filler และ Botox



ปุเป้เคยฉีด BOTOX มาแล้ว 5 ครั้งเพื่อลดกล้ามเนื้อกรามให้หน้าไม่บานเกินไป แต่ว่าการฉีด Filler นั้นปุเป้เคยทำครั้งแรกเมื่อปี 2011 และไม่ทำอีกเลยแม้จะมีใครชวนไปทำอีกก็ตาม อย่างแรกเลยคือเรายังหาคนที่เรามั่นใจมาก ๆ ไม่ได้ คือ Botox ฉีดผิดนิดหน่อยรอไปอีกครึ่งปีมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไง แต่ถ้า Filler ฉีดแล้วผิดขึ้นมานี่เรื่องใหญ่เลย คือเราเป็นคนกลัวเข็มมาก เราเคยมีประวัติกลัวจนเป็นลมในขณะฉีด Filler ที่จมูกมาแล้ว มันยากมากที่เราจะก้าวผ่านความกลัวของเราเองและมีความมั่นใจในตัวคุณหมอสักคนที่จะมาจิ้มฉีด Filler ให้เรา

ส่วนตัว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเวลาได้รับคำปรึกษา จะมีแต่ให้ฉีดเสริมจมูก รวมถึงเสริมคางเพื่อให้รูปหน้าดูเรียวขึ้นด้วย แต่ พ.ญ.ทิฆัมพร วิเคราะห์ว่า การปรับรูปหน้าของเราถ้าฉีดเสริมคางหน้าจะดูประหลาด สัดส่วนของหน้าตามความยาวมันจะเพี้ยน สิ่งที่เราต้องแก้คือการปรับกรอบหน้าให้ดูเรียวและช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดร่องแก้มไปด้วยในตัว ด้วยการฉีดตรงขมับ กับส่วนหลังกระดูกโหนกแก้มจุดที่ติดกับจอนผม

 photo PP Before After Front.png
เราก็เหวอเลยครับ การฉีดฟิลเลอร์ที่ขมับกับตรงจอนผมมันเกี่ยวอะไรกับหน้าเรียวหรือร่องแก้ม? แต่ พ.ญ.ทิฆัมพร ใยบัวเทศ อธิบายว่าการเติมจุดเหล่านั้นจะจะไปช่วยปรับโครงหน้าเราให้สมดุล แล้วก็ไปช่วยยกผิวที่หย่อนลงตามวัย ผลเลยทำให้ร่องแก้มถูกยกขึ้น ดูจางลง แล้วกรอบหน้าบริเวณแนวกรามเราก็ดูเรียวขึ้นไปด้วย และก็ฉีดเติมเพื่อยกบริเวณมุมปากที่ห้อยลงเล็กน้อยให้มุมปากดูต็มและยกสูงขึ้น นอกจากทำให้หน้าปกติเราดูบึ้งน้อยลงแล้ว องศาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของมุมปากจะทำให้คางเราดูยาวขึ้นได้ ทั้งหมดนี้โดยที่ไม่ต้องฉีดเติมอะไรที่คางเลย

คือฟังทั้งหมดนี้แล้วแบบ เฮ้ยยยย!!! มันช่างล้ำลึกอ่ะแก!!! จัดการปัญหาร่องแก้มและคางโดยไม่แตะต้องร่องแก้มและคางเลยแม้แต่นิดเดียว

 photo PP Before After Side.png
นอกจากนี้ปุเป้มีปัญหาเหมือนกับคนเอเชียทั่วไป คือโปรไฟล์ของหน้าด้านข้าง ช่วงบริเวณกลางใบหน้า (Mid-face) จะจมลงไปและบริเวณปากจะยื่นออกมา ซึ่งคุณหมอบอกว่าการจัดฟันจะช่วยทำให้ช่วงปากที่ยืนแบบนกแก้วนั้นยุบลงไปได้ แต่ถ้าไม่ขัดฟันก็มีวิธีแก้ด้วยการฉีดดีดโปรไฟล์กลางหน้าให้มันขึ้นมา ปรับรูปจมูกให้คมขึ้น เติมหยดน้ำ และฐานจมูก ทำให้เมื่อมองโดยรวมแล้วโปรไฟล์หน้าเราจะสมส่วนมากขึ้นและทำให้ตรงปากเราดูยื่นน้อยลงทั้งที่มันก็ยังอยู่ที่เดิม นอกจากนี้ยังทำให้มิติของหน้าตรงส่วนกลางที่มันจมแบนนี้ดูมนขึ้น ทำให้โครงหน้าเราจะดูอ่อนเยาว์ด้วย

โดยรวม

ทั้งหมดปูเป้ฉีดไป 6 หลอดซึ่งเป็นปริมาณที่เยอะมาก แต่ผลที่ออกมาดูไม่เยอะ ดูเป็นธรรมชาติ ดูเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้ดูแปลก การเปลี่ยนแปลงโดยรวมด้านหน้าจะเห็นจากรูปจะดูไม่ชัดนัก แต่ถ้ามองจากรูปด้านข้างจะเห็นว่าโปรไฟล์หน้ามันเปลี่ยนไป 

ตอนนี้คือแฮปปี้กับผลที่ได้มาก มันดูเป็นธรรมชาติ โครงหน้าด้านข้างได้รูปขึ้น และดูอ่อนเยาว์ลง ร่องแก้มเล็ก ๆที่เริ่มมาตามวัย 33 ขวบ มันจางลงด้วย


หลังจากฉีดมาจะมีเรื่องแดงและบวมในจุดฉีดบ้าง ฟิลเลอร์บางจุดที่เราไม่คุ้นเคยอย่างตรงฐานใต้จมูก มุมปาก จะรู้สึกเป็นก้อนในวันแรก ๆ แต่พอผ่านไปครบเดือนมันรู้สึกกลมกลืนไปกับผิวแล้ว สามารถล้างหน้า นวดหน้าได้ โดยไม่รู้สึกมีอะไรแปลกปลอมอยู่ตรงนั้น

คือคุณหมอยังมีเทคนิคอีกมากมายกับการเล่นกับกล้ามเนื้อของใบหน้า หลายอย่างคือนึกไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่ามันทำได้ด้วยรึ แต่หมอบอกว่ามันทำได้ ใครที่สนใจหรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถนัดเวลาเพื่อเข้าไปรับคำปรึกษากับคุณหมอเอ๋ พ.ญ.ทิฆัมพร ใยบัวเทศ ที่ Meko Clinic ได้เลยตามสะดวก

อยากรู้ว่า Botox / Filler กับ ศัลยกรรม อันไหนเจ๋งกว่ากัน?

ทั้งสองล้วนมีข้อดี ข้อเสีย และขีดจำกัดที่ต่างกัน แน่นอนว่าการฉีด Botox / Filler ไม่สามารถไปตัดกรามให้เล็กลงได้ ไม่ให้ผลถาวรหรือยาวนานเท่าการศัลยกรรม ราคาในการทำหลายครั้งก็แพงกว่าเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่ แต่การศัลยกรรมก็ไม่สามารถทำในรายละเอียดจุดเล็ก ๆ หรือเพิ่มวอลลุ่มในแบบที่การฉีด Filler ทำได้ ผลของการศัลยกรรมในบางครั้งไม่สามารถปรับไปตามความเปลี่ยนแปลงของโครงหน้าตามเวลาที่มากขึ้น หรือตามเทรนด์ของความงามที่เปลี่ยนได้จนทำให้เราต้องไปผ่าตัดแก้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

 photo Filler or Surgery.png
สุดท้ายแล้วมันไม่ได้มีอะไรที่เจ๋งกว่าหรือดีกว่า แต่มันอยู่ที่ความเหมาะสมในการใช้งาน หลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดก็ต้องทำทั้งศัลยกรรม และการฉีดปรับรูปหน้าคู่กันไป การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ อาจจะใช้ศัลยกรรม แล้วมาปรับรายละเอียดปลีกย่อยเล้ก ๆ ด้วยการใช้ Botox / Filler

ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด ก็ต้องหาข้อมูลให้เราแน่ใจในมาตรฐานในคุณภาพของการรักษาและบริการก่อที่เราจะตัดสินใจเสียเงินไปทำสิ่งเหล่านี้ เพราะปัญหาถ้ามันเกิดขึ้น ก็ต้องเสียเงินมากกว่าเดิมเพื่อแก้ปัญหา และในบางครั้งก้ไม่สามารถแกไขให้กลับมาเหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิมได้

เรื่องที่เขาบอกว่าอย่าฉีดนะเดี๋ยวหน้าเน่า เดี๋ยวติดเชื้อ แต่เอาจริง ๆ คือถ้าไปศัลยกรรมกับคลีนิคที่ไม่ได้มาตรฐาน คุณหมอที่ไม่ชำนาญ ไม่รับผิดชอบ ก็ติดเชื้อเน่าได้เหมือนกันอยู่ดี ทั้งนี้อันตรายจากการเสริมความงามทุกวิธีนั้นเกิดขึ้นได้ แต่คุณลดความเสี่ยงได้ด้วยการเลือกเฟ้นหาแพทย์ที่เก่งและเชื่อใจได้ (ซึ่งไม่มีถูกหรอกนะ)

แนะนำหน่อยได้ไหมว่าต้องฉีดปริมาณเท่าไหร่ ราคาประมาณไหน?

หน้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปัญหาไม่เหมือนกัน แพทย์จะเป็นคนประเมินเองว่าต้องใช้ปริมารเท่าไหร่ ซึ่งปริมาณของสารที่ใช้ก็จะไปเพิ่มราคาที่เราต้องจ่าย เราอาจจะกำหนดงบไปคร่าว ๆ ได้อย่างเช่นเรามีงบ 20,000 คุณหมอก็จะปรับการฉีดหรือเน้นจุดที่ควรแก้ไขจุดหลัก ๆ ก่อนอะไรประมาณนี้

สรุปคือ อย่าถามเรา เราตอบให้ไมไ่ด้ ไปหาหมอแล้วปรึกษาหมอนะจ๊ะ แต่เอาเป็นว่าจะเติมฟิลเลอร์กำเงินหมื่นอัพๆ ไปเลย ส่วน Botox นี่ก็หลักพันปลายยันหมื่นได้จ้า

ส่งท้าย




ปูเป้ก็หวังว่า บทความนี้จะทำให้ทุกคนได้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง Botox กับ Filler มากขึ้น รวมถึงเข้าใจว่าการฉีดสิ่งเหล้านี้นั้นมีความเสี่ยงอย่างไร มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงอะไรได้บ้าง และการเลือกคุณหมอผู้เชี่ยวชาญกับสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้มีผลอย่างไรกับผลลัพธ์ที่ได้และกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น 

อยากให้ทุกคนหาข้อมูลให้ดี อย่าเห็นแก่ของถูก บางอย่างเราจ่ายแพงกว่าเพื่อคุณภาพและความสบายใจ ควรเลือกที่จะเข้าสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่เรามั่นใจในคุณภาพได้

สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณ พ.ญ.ทิฆัมพร ใยบัวเทศ ที่ให้ความรู้ คำแนะนำ คำเตือน และต้องขอบคุณ Meko Clinic ที่ให้โอกาสปูเป้ได้เข้ารับฟังบรรยา คำปรึกษา และรับการปรับรูปหน้ากับ พ.ญ.ทิฆัมพร ใยบัวเทศ ด้วยครับ

Reference

Semipermanent and permanent injectable fillers.

Soft Tissue Fillers (Dermal Fillers)

Delayed Immune Mediated Adverse Effects to Hyaluronic Acid Fillers: Report of Five Cases and Review of the Literature

Adverse effects when injecting facial fillers.

Facial Granulomas Secondary to Injection of Semi-Permanent Cosmetic Dermal Filler Containing Acrylic Hydrogel Particles

Facial Golden Ratio