ใครอยากได้ไวท์เทนนิ่งที่ดีมากแต่ราคาเบาสบายกระเป๋า ขอให้ไปสอยตัวนี้มาได้เลย เราขอออกตัวแรงว่านี่คือไวท์เทนนิ่งที่ดีที่สุดของตลาดแมส ณ ปัจจุบันนี้เท่าที่เราได้ลองมา มันเลิศมาก แต่ถ้าใครมีเวลาและอยากรู้ว่าเพราะอะไรมันถึงแจ่ม ทำไมเราถึงยอมออกตัวอวยแรงขนาดนี้ ก็เชิญอ่านรีวิวด้านล่างต่อเลยนะจ๊ะ

 photo Garnier White Speed Essence 01.png
ก่อนอื่นต้องบอกตามตรงว่านอกจากกันแดด UV Complete ของแบรนด์นี้แล้ว เราไม่อินกับสกินแคร์ตัวอื่นของ Garnier เลย เราจึงค่อนข้างแปลกใจ ประหลาดใจ และก็ดีใจมากที่เราเห็น Garnier Light Complete White Speed Super Essence (30ml / 299 THB and 10ml /109 THB) ที่วางขายเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทางแบรนด์เคลมแรงว่าลดเลือนจุดด่างดำได้ใน 6 วัน และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

สิ่งที่เราว้าวมากคือมันเป็นไวท์เทนนิ่งที่ทำงานในวงจรของการเกิดจุดด่างดำที่เรียกได้ว่าครอบคลุมมาก และสารออกฤทธิ์หลักก็น่าสนใจสุด ๆ

ที่ต้องหยิบมาพูดถึงตัวแรกเลยคือ Phenylethyl Resorcinol เพราะว่าสารตัวนี้พึ่งถูกนำมาใช้ในกลุ่มไวท์เทนนิ่งตัวแพงของแบรนด์แม่ใหญ่อย่าง Lancôme เมื่อราวสองปีที่ผ่านมานี่เอง และ Vichy พึ่งได้ส่วนผสมตัวนี้มาใช้กับไวท์เทนนิ่งที่พึ่งเปิดตัวเมื่อช่วงกลางปีนี้เอง และตอนนี้ Garnier ได้เอามาใช้แล้ว

Phenylethyl Resorcinol หรือ SymWhite® 377 ผลิตโดย Symrise ทำงานโดยขัดขวางการทำงานของ Tyrosinase ไม่ให้พัฒนาไปเป็น L-DOPA ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการผลิตเม็ดสี สารตัวนี้ยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่สูง และยังลดการอักเสบจากการขัดขวาง IL-1-a และ TNF-a ด้วย ซึ่งการลดการอักเสบ (Inflammation) นี้จะไปลดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผลิตเม็ดสี (Melanocyte) ตั้งแต่แรกด้วย พูดง่าย ๆ คือเราเป็นสิวมีการอักเสบมันก็จะหายอักเสบไวขึ้น (แต่ไมไ่ด้ช่วยลดการติดเชื้อ) และทำให้โอกาสที่จะเกิดรอยดำหลังจากการอักเสบหายไปก็น้อยลงด้วยนั่นเอง

มีการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารตัวนี้อยู่บ้าง แต่มีจุดบอดตรงตำรับที่ทำการทดสอบมันไม่ได้มีแต่ Phenylethyl Resorcinol อย่างเดียว แต่ผสมสารไวท์เทนนิ่งหรือสารอื่น ๆ มาด้วย ทำให้เรายังสรุปไม่ได้ว่าลำพังตัวมันเดี่ยว ๆ มันจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน แต่อย่างไรก็ดีในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็ใส่สารไวท์เทนนิ่งอื่น ๆ มาเสริมหลายตัว และโดยส่วนตัวเราใช้สารตัวนี้แล้วเห็นผลดีทีเดียวล่ะ

(Source : Clinical and instrumental evaluation of the efficacy of a new depigmenting agent containing a combination of a retinoid, a phenolic agent and an antioxidant for the treatment of solar lentigines, Efficacy of a novel hydroquinone-free skin-brightening cream in patients with melasma., Efficacy of hydroquinone-free skin-lightening cream for photoaging.)

 photo Niacinamide Old.png
ตัวต่อไปก็คือ Niacinamide ที่อาจจะดูโหลเพราะใช้กันเยอะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีประโยชน์ที่หลากหลายกับผิวในหลายด้าน อาธิเช่น

ในแง่ของการเป็นไวท์เทนนิ่งนั้นข้อมูลเดิมเราจะรู้กันว่ามันเป็นตัวที่ลดการส่งผ่านของถุง Melanosome ไม่ให้เข้าสู่เซลล์ผิว ทำให้เม็ดสีเมลานินที่ถูกผลิตแล้วไม่ได้เข้าไปสู่เซลล์ผิวและเข้าสู่กระบวนการสลายตัว แต่ข้อมูลใหม่ ๆ เราพบว่าสารตัวนี้ยังไปลดการแสดงออกของยีนที่ผลิตโปรตีนซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานินอย่าง TRP1 กับ TRP2 (TRP = Tyrosinase Realted Protein) และเอนไซม์ Tyrosinase นอกจากนี้ยังรวมถึงโปรตีน PMEL17 ที่มีผลต่อการเติบโตของถุงเมลาโนโซมอีกด้วย

 photo Niacinamide New.png
นอกจากการเป็นไวท์เทนนิ่งแล้ว Niacinamide ยังทำให้ Skin Barrier แข็งแรงขึ้นด้วยการเสริมการผลิตโปรตีนที่สำคัญของผิวชั้นนอก เสริมการสร้างเซราไมด์และกรดไขมันในชั้นผิวเพื่อลดการสูญเสียความชุ่มชื่น มีการศึกษาด้วยว่า Niacinmide สามารถเสริมความยืดหยุ่นและยังลดโทนเหลืองของผิวที่ทำให้ผิวดูหมองคล้ำได้ด้วย แต่การศึกษาที่ว่านั้นใช้ Nicainamide ที่ 5% ซึ่งปูเป้คิดว่าในผิตภัณฑ์ตัวนี้มีไม่น่าจะถึง (คิดว่ามีสูงสุดก็ไม่น่าจะเกิน 3%) ก็เลยไม่ฟันธงว่าในความเข้มข้นที่น้อยกว่าจะให้ผลได้รึเปล่าแต่บอกเป็นข้อมูลไว้นะฮะ

(Source : Niacinamide: A Topical Vitamin with Wide-Ranging Skin Appearance Benefits.)

3-0-Ethyl Ascorbic Acid เป็นวิตามินซีเสถียรที่ดีมากอีกหนึ่งตัว ความคงตัวสูงและการดูดซึมก็ดี ให้คุณสมบัติของวิตามินซีในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ เสริมการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเป็นไวท์เทนนิ่งด้วยการเข้าไปจับกับธาตุทองแดงเพื่อลดการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase และไปช่วยทำให้เม็ดสีที่ออกซิไดซ์จนดำเข้มแล้วมีสีที่อ่อนลง

Adenosine เป็นสารตั้งต้นที่สำคัญต่อการสร้างพลังงานของเซลล์ ส่งผลให้สารตัวนี้ช่วนเสิมการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยนและไม่ระคายเคือง

(Source : Effects of adenosine 5′-monophosphate on epidermal turnover., Quasi-Drugs Developed in Japan for the Prevention or Treatment of Hyperpigmentary Disorders

Acetyl Trifluoromethylphenyl Valylglycine อันนี้หาข้อมูลยากมากเพราะว่าไม่มีข้อมูลอะไรโผล่ขึ้นมาเลยเวลาหา Google จนสุดท้ายได้เบาะแสว่าเป็นส่วนผสมที่ L’Oreal พัฒนาขึ้นเอง แล้วก็พยายามงมต่อจนเจอสิทธิบัตรที่เขาจดไว้จนได้ สรุปว่าไอ้นี่เป็นสาร Actives ตัวนึงที่ช่วยลด Micro-Stress จากรังสี UV และจากสิ่งรอบตัวรวมไปถึงการระคายเคืองจากเครื่องสำอางได้ แล้วก็ยังลดเอนไซม์ Elatase ที่เป็นตัวทำลายเส้นใยอีลาสตินด้วย จึงน่าจะใส่มาเพื่อลดการระคายเคืองให้กับผิวมากกว่า ทำได้จริงไม่จริงอันนี้ไม่รู้เพราะว่าเป็นแค่ข้อมูลการจดสิทธิบัตร ไม่ใช่งานวิจัยที่ตีพิมพ์

(Source :

Novel compounds of the n-acylamino-amide family, compositions comprising same, and uses)

Oxothiazolidinecarboxylic Acid หรือในชื่อทางการค้าว่า Pro-Cysteine ทาง L’Oréal ได้จดสิทธิบัตรว่าสารตัวนี้สามารถใช้เป็นไวท์เทนนิ่งและช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวได้อีกด้วย แต่ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาจากแหล่งอื่นมาสนับสนุน

(Source : L-2-oxothiazolidine-4-carboxylic acid derivatives and use thereof for skincare, Method of depigmenting or bleaching mammalian skin using L-2-oxothiazolidine-4-carboxylic acid)

จะเห็นได้ว่าส่วนของสารไวท์เทนนิ่งนั้นทำงานได้ในหลายจุดมาก เริ่มตั้งแต่การลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระเพื่อลดการสัญญาณที่ไปกระตุ้น Melanocyte ที่เป็นเซลล์ผลิตเม็ดสี เข้าไปลดโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวของถุงเม็ดสี Melanosome รวมไปถึงลดการทำงานของยีนที่ผลิตโปรตีนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดเม็ดสีเมลานิน ขั้นต่อไปก็จะมีวิตามินซีไปจับกับธาติทองแดงเพื่อลดการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase และการต้านอนุมูลอิสระจะไปช่วยทำให้เม็ดสีที่เข้มอ่อนลงได้ เม็ดสีที่เจริญเติบโตเต็มที่จะถูกกันไม่ให้ลำเพียงไปยังสู่เซลล์ผิว และยังมีส่วนผสมที่เร่งการผลัดเปลี่ยนผิวเพื่อเอาเซลล์เก่าที่หมองคล้ำออกไป คือทำงานเกือบครบจริง ๆ (ส่วนที่ยังจัดการได้ก็อย่างเช่น ลดการยืดของแขนเซลล์ Melanocyte รวมไปถึงขัดขวางการดูดกลืนเข้าสู่เซลล์ผิว อะไรประมาณนี้)

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งกลิ่นไม่ได้แย่ (แต่ถ้าไม่มีเลยก็จะดีกว่า) ส่วนผสมอื่นๆ ก็จะมีตัวให้ความชุ่มชื่นกับผิว ซึ่งโดยรวมมีมากพอที่จะลดผลกระทบจาก Alcohol Denat. ที่ใส่มาจนไม่ทำให้ผิวรู้สึกแห้ง

 สำหรับสารสกัดจากเลมอนบริสุทธิ์ใส่มาเหมือนเป็นจุดขายเป็นคนเซปต์ของแบรนด์มากกว่าเพราะประโยชน์หลัก ๆ ที่ได้มาจากส่วนผสมที่กล่าวถึงไปเบื้องต้น

Ingredients : Water, Alcohol, Dipropylene Glycol, Butylene Glycol, PEG/PPG/Polybutylene Glycol-8/5/3 Glycerin, Niacinamide, Hydroxyethylpiperazine Ethan Sulfonic Acid, Bis-PEG-18 Methyl Ether Dimethyl Silane, 3-0-Ethyl Ascorbic Acid, Isononyl Isononanoate, Tocopherol Acetate, Hydrogenated Lecithin, Sodium Citrate, Sodium Hyaluronate, Phenoxyethanol, Phenylethyl Resorcinol, Adenosine, Acetyl Trifluoromethylphenyl Valylglycine, Salicylic Acid, Ammonium Polyacryldimethyltauramide/ Ammonium Polyacryloyldimethyl Taurate, Limonene, Xanthin Gum, Linalool, Benzyl Salicylate, Benzyl Alcohol, Oxothiazolidinecarboxylic Acid, Parfum/Fragrance, Geraniol, Disodium EDTA, Citric Acid, Citrus Limon (Lemon) Fruit Extract.


 photo Garnier White Speed Essence 03.png

เนื้อเอสเซนส์สีขาวโปร่งแสงมีความขุ่นเล็กน้อย ซึมกลืนเข้ากับผิวได้ง่าย ให้ความชุ่มชื่นกับผิว รู้สึกถึงการเคลือบผิวบ้างแต่ไม่เหนอะหนะ จากการทดลองใช้ราว 3 สัปดาห์ร่มกับกับเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ไม่พบว่าทำให้เกิดการ Ball-up หรือลอกเป็นขุยซึ่งเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว

 photo Garnier White Speed Essence Before.png
สำหรับผลที่ได้จากการใช้ขอบอกว่าเราประทับใจมากกกกกกกกกกกกก โดยในครั้งนี้มีการถ่ายรูปก่อนและหลังเอาไว้ โดยถ่ายในสภาพแสงเดิม เซ็ทกล้องแบบ Manual โดยตั้งค่า F2.8 ระยะเลนส์ 24mm ISO800 Shutter Speed 50’ และค่า White Balance เดียวกัน โดยถ่ายแบบ RAW ที่ไม่มีการปรับแต่งใด ๆ ผลที่ได้ก็ตามนี้ฮะ

รูป Before ก่อนที่จะเริ่มใช้ ถ่ายเอาไว้วันที่ 7 ตุลาคมตอนกลางคืน จะเห็นร่องรอยของสิวอักเสบที่เรากดหัวสิวออกและทิ้งแผล รอยอักเสบเอาไว้

 photo Garnier White Speed Essence Middle.png
ทีนี้ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี เราไปสิงคโปร์กลับมาวันที่ 9 ตุลาและพบว่าไอ้สิวที่เรากดไปหัวสิวมันออกไม่หมดและปูดอักเสบกลับขึ้นมาน่ากลัวมาก รูปข้างบนนี้แคปมาจากวีดีโอที่ถ่ายลง Youtube เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม จะเห็นว่ามีจุดสีน้ำตาลเข้มจากรอยสิวที่อักเสบและแผลที่ตกสะเก็ดใหญ่มากจนเห็นชัดจากในวีดีโอ

 photo Garnier White Speed Essence After 26.png
หลังจากนั้นอีก 15 วัน ในวันที่ 26 ตุลาคม เรากลับมาถ่าย After อีกที ปรากฏว่ารอยที่เหลือจากการอักเสบซ้ำสองนั้นจางกว่ารอยที่ถ่าย After ไว้อีก นอกจากนี้เราเห็นว่าโทนผิวของเราโดยสวมดูสว่างขึ้นด้วย

 photo Garnier White Speed Essence Compare.png
ซูมให้ดูใกล้ ๆ อีกนิด

คือนอกจากสูตรจะดีแล้ว ผลที่ได้จากการใช้ก็น่าประทับใจมาก นี่เป็นไวท์เทนนิ่งแบรนด์ Mass ที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยใช้มา ดีกว่าแบรนด์ Masstige ที่ราคาแพงกว่านี้ และเห็นผลดีกว่าไวท์เทนนิ่งเคาน์เตอร์แบรนด์หลายๆตัวเสียอีก คือ Garnier นางทำได้อ่ะ!!!

 photo Garnier White Speed Essence 02.png
สรุปสั้น ๆว่า Garnier Light Complete White Speed Super Essence มันดีมากคุณ ใครเป็นสิวแล้วชอบทิ้งรอยให้ใช้ซะเพราะจะทำให้หลังที่สิวหายอักแสบแล้วจะทิ้งรอยแดงและรอยดำไว้น้อยลงกว่าปกติมาก และจุดด่างดำที่มีก็จางลงได้ (แต่สำหรับเราไม่ได้เห็นผลใน 6 วันนะ) คือควรไปซื้อมาลองซะ แนะนำรัว ๆ 99 ทีกับไวท์เทนนิ่งที่โคตรเลิศแต่ราคาไม่ถึง 300 บาท


 และใช้ไวท์เทนนิ่งแล้วก็ต้องอย่าลืมใช้กันแดดเป็นประจำด้วยล่ะ

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

ข้อดี

– สารไวท์เทนนิ่งทำงานสอดประสาทกันในหลายขั้นตอน
– เนื้อสัมผัสดี
– บรรจุภัณฑ์แบบขวดปั้มสุญญากาศ
– ราคาไม่แพง
– เห็นผลดี คุ้มค่าเกินราคา

ข้อเสีย

– มีส่วนผสมของน้ำหอม

***Sponsored Item***

– Garnier Light Complete White Speed Super Essence