หลังจากเคลียร์งานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วปูเป้ก็มีเวลาว่างพอที่จะทำความสะอาดครั้งใหญ่เพื่อต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึงนี้อย่างสะอาดหมดจด รื้อของในคู้ออกมาจัด เอกสารเก่า ๆ ที่ไม่ใช้แล้วก็ทิ้งไป อันไหนชั่งกิโลขายได้ก็ขาย เสื้อผ้าเก่าที่ไม่คิดจะใส่แล้วก็แพ็คใส่กล่องไว้ไปบริจาค แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอย่างหนักมาทั้งปีก็ต้องมีการทำความสะอาดและจัดการใหม่เสียหน่อย
ในขณะที่กำลังจัดการย้ายและลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานมานานก็พอดีไปเจอไฟล์อันนึงเข้า มันคือนิทานที่ปูเป้แต่งขึ้นมาในวันปีใหม่โดยเอาประสบการณ์ของตัวเองเป็นพล็อตเรื่อง ยังไงก็ลองอ่านดูสนุก ๆ ละกันนะขอรับ
Glass Heart and The Rose of True Love
ในเมืองที่แออัดและสับสนวุ่นวาย ผู้คนมากมายต่างเฉลิมฉลองกับเทศกาลกันอย่างครื้นเครง เสียงตัวเลขที่ถูกขับขานลดจำนวนลงเรื่อย ๆ
5… 4… 3… 2… 1…
ทันทีที่ตัวเลขสุดท้ายถูกนับ ผู้คนต่างส่งเสียงโห่ร้องเซ็งแซ่ด้วยความสนุกสนานยินดี ดอกไม้เพลิงหลากสีอวดแสงวาววับทั่วท้องนภาสีดำกำมะหยี่
เด็กหนุ่มคนหนึ่งผู้ได้ทำหัวใจของตัวเองหล่นหาย เดินดั่งคนไร้วิญญาณไปตามถนนที่แออัดคับคั่งไปด้วยผู้คน เขาเดินทอดน่องไปอย่างช้า ๆ จนไปถึงยังริมแม่น้ำสายใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนในเมืองนี้
เด็กหนุ่มค่อย ๆ ทรุดตัวลงทีละนิดที่ริมฝั่งแม่น้ำ ดวงตาเหม่อลอยไปอย่างไร้จุดหมาย เขาไม่เหลืออะไรแล้ว สิ่งที่เชื่อ สิ่งที่สำคัญ สิ่งที่เคยหวัง สิ่งที่เคยฝัน เขาได้สูญเสียมันไปจนหมดสิ้น ร่างที่กำลังจะเถิบตัวออกไปหมายจะจ่มจมดิ่งสู้ห้วงกระแสน้ำสะดุ้งเฮือกเมื่อมีแสงสว่างไสวลอยขึ้นมาตรงหน้า ทันทีที่แสงสว่างเจิดจ้าเริ่มจางลง ร่างของหญิงสาวงามสง่าเปล่งรัศมีสีชมพูระเรื่อก็ปรากฏขึ้นให้เห็น
เด็กหนุ่มจ้องเธอคนนั้นอย่างไม่วางสายตา ริมฝีปากสีแดงสดของเขาเผยอขึ้นหมายจะเอ่ยคำพูดออกไป แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงอ่อนนุ่มดังกังวานในหัวของเขา เสียงนั้นใสเย็น อ่อนหวาน มีมนต์ขลังให้เขาผ่อนคลายจิตใจอันมัวหมองได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“เด็กน้อย…อย่าเศร้าใจไปเลย จงดีใจเถิดเพราะวันนี้เป็นวันที่เธอจะได้เริ่มต้นใหม่ กับหัวใจดวงใหม่ของเธอ” เมื่อเสียงนั้นหยุดลง แสงเรืองรองนับพันนับหมื่นก็ปรากฏขึ้นและโอบล้อมร่างของเด็กหนุ่มไว้ ก่อนจะพาเขาโบกโบยบินไปยังท้องฟ้า ดวงตาสีดำคู่นั้นปิดสนิทด้วยความตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ทันทีที่ลืมตาขึ้น ภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจก็ฉายให้เห็น
เขาพบว่าตัวเองอยู่บนเนินทุ่งหญ้าเตี้ย ๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ยามเที่ยงคืนอันแสนสงบ ลมหนาวที่ปลิวผ่านกายทำให้เด็กหนุ่มต้องห่อตัวเล็กน้อย เขาหย่อนกายลงนั่งบนแคร่ไม้เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบริเวณนั้น ที่นี่เป็นที่ไหนกันแน่นะ แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่ใช่โลกที่เขาเคยอยู่อย่างแน่นอน
“หลับตาเด็กน้อย แล้วอธิษฐานสิ่งที่เธอปรารถนา” นางฟ้าใจดีเอ่ยขึ้น เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนหลับตาลง สีหน้าของเขาสงบนิ่งและแน่วแน่อย่างแรงกล้าในสิ่งที่ต้องการ “ความรักแท้…” นางฟ้าพึมพัมออกมาเมื่อได้รับรู้สิ่งที่เด็กหนุ่มอธิษฐาน ” เด็กน้อยเอ๋ย… สิ่งที่เจ้าขอช่างยากยิ่งนัก ถึงข้าจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ก็มิอาจใช้มันกับความรักได้เลย” เด็กหนุ่มสลดลงทันที เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“แต่… ข้าก็มีทางที่จะช่วยเจ้าได้นะเด็กน้อย”
นางฟ้าเริ่มร่ายมนต์อย่างช้า ๆ ประกายสีทองวิบวับมารวมตัวกันจนหลายเป็นหัวใจขวดแก้วที่ภายในสีของเหลวสีชมพูเปล่งประกายสดใส ดวงใจแก้วนั้นลอยไปใกล้เด็กหนุ่มอย่างช้า ๆ ก่อนจะจมหายไปในอกซ้ายของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความสุขใจ ดวงตาที่เคยไร้แววกลับฉายวาวอย่างสดใส
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น นางฟ้าเริ่มร่ายมนต์ต่ออีกครั้ง เพียงพริบตาหนึ่งก็มีตุ๊กตาที่ทั้งหล่อเหลา และ สวยงาม เรียงรายอยู่เต็มไปหมด สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องทำคือ เลือก “ตุ๊กตา” ขึ้นมา 1 ตัว
ท่ามกลางตุ๊กตามากมายที่ซึ่งล้วนแต่งดงามแทบทั้งสิ้น แต่เด็กหนุ่มกลับเลือกตุ๊กตาที่ดูธรรมดาที่สุด ที่วางซุกอยู่ในมุมหนึ่ง
“ตุ๊กตาตัวอื่นต่างตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงและมีรูปโฉมที่งดงามทั้งนั้น ทำไมจึงเลือกตุ๊กตามอซอแสนธรรมดาตัวนี้ล่ะ?” นางฟ้าเอ่ยถาม เด็กน้อยยิ้มให้นางฟ้าก่อนจะตอบว่า “สิ่งเหล่านั้นสามารถช่วยให้เรามีรักแท้ได้งั้นหรือ?”
นางฟ้ายิ้มให้กับคำตอบนั้นอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยว่า “จุมพิตที่ตุ๊กตาที่เจ้าได้เลือกมาสิ” เด็กหนุ่มก้มหน้ารับ ก่อนจะจุมพิตอย่างแผ่วเบาบนริมฝีปากเย็นชืดของตุ๊กตาในอ้อมแขนของเขา
ทันใดนั้นเองเขารู้สึกถึงดวงใจแก้วที่สั่นไหวอย่างประหลาด แสงสว่างไสวเรืองรองออกมาจากอกของเขา แสงนั้นส่องไปยังอกซ้ายของตุ๊กตาที่นอนนิ่ง เพียงอึดใจต่อมา ตุ๊กตาที่เขาเลือกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพมาเป็นมนุษย์อย่างช้า ๆ ผิวที่เคยเป็นกระเบื้องสีขาวกลายเป็นผิวเนื้อที่อ่อนนุ่ม
“ถึงจะคล้ายมนุษย์มากนัก แต่ก็ยังเป็นเพียงตุ๊กตาเท่านั้น เพราะสิ่งนี้ยังไม่มีหัวใจเป็นของตัวเอง โดยระหว่างนี้เจ้าจะต้องคอยหล่อเลี้ยงชีวิตให้ตุ๊กตาตัวนี้ด้วยดวงใจของเจ้า” นางฟ้าบอกกับเด็กหนุ่มที่กำลังตื่นเต้นดีใจที่ตุ๊กตาที่เขาเลือกกำลังกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูง
“เด็กน้อย เจ้าเห็นแสงเรืองรองที่อยู่ปลายด้านโน้นไหม?” เด็กหนุ่มมองไปยังทิศทางที่นิ้วเรียวยาวชี้ไป แสงสีอ่อน ๆ เรืองรองปรากฏให้เห็นอยู่ที่ปลายสายตา ” นั่นเป็นแสงของกุหลาบแห่งรักแท้ เจ้าต้องพาตุ๊กตาที่เจ้าได้เลือกไปยังที่นั่น และนำดอกกุหลาบแห่งรักแท้นั้นแนบไว้ที่ดวงใจของพวกเจ้าทั้งสอง ตุ๊กตาของเจ้าก็จะกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ และพวกเจ้าจะได้ครองรักแท้ด้วยกันตลอดไป”
ในขณะที่เด็กหนุ่มผู้กำลังตื่นเต้นดีใจเตรียมจะออกเดินทางไปยังปลายทางที่หวังนั้น นางฟ้าเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเป็นกังวลและห่วงใย
“เด็กน้อย… ตุ๊กตาที่เจ้าเลือกจะพาไปหารักแท้นั้น เป็นทางเลือกที่หนักหนายิ่งนัก เจ้าจะต้องผ่านความกดดัน เจ้าจะต้องโดนดูถูกเหยียดหยาม เจ้าจะต้องฝ่าฟันท่ามกลางเสียงก่นด่าไม่ยอมรับของผู้คนมากมาย เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปสักพัก มองไปยัง ‘ชายหนุ่ม’ ที่ยังคงไร้วิญญาณอย่างพินิจ เขาก้าวไปหาตุ๊กตาของเขาอย่างช้า ๆ ก่อนจะแบกขึ้นหลังด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ถ้าผมสามารถไปถึงดอกกุหลาบนั้นได้ ความรักของผมก็เป็นของจริง และจะไม่มีใครมาดูถูกผมได้อีกแล้ว”
‘จะเชื่อนางฟ้าได้มากแค่ไหน จะเป็นไปได้หรอที่ตุ๊กตาตัวนี้จะกลายเป็นมนุษย์ได้ แล้วกุหลาบแห่งรักแท้นั่นจะมีจริงงั้นหรือ… เขาจะมีความได้สุขงั้นหรือ ?’
เด็กหนุ่มกอดตัวเองร้องไห้อยู่สักพัก ก่อนเหลือบสายตามองไปยังตุ๊กตาของเขา เขาลุกขึ้นไปขุกเข่าลงต่อหน้าตุ๊กตาตัวนั้น
“พูดอะไรบ้างสิ ให้กำลังใจฉันหน่อย …” เด็กหนุ่มพูดพร้อมเขย่าตุ๊กตาไปมา เขาหยิบมือของตุ๊กตามาแนบแก้มตัวเองเอาไว้ “ปลอบโยนฉันบ้างสิ ได้โปรด…” แต่ทันทีปล่อยมือ มือใหญ่หนาของตุ๊กตาก็ร่วงตกลงพื้น เด็กหนุ่มมองไปยังดวงตาเลื่อนลอยคู่นั้นของ ‘ชายหนุ่ม’ คงป่วยการเปล่าที่เขาจะพูดอะไรไปกับตุ๊กตาที่ไร้วิญญาณ ไร้ชีวิต ไร้จิตใจแบบนี้… ไม่ไหวแล้ว…เหนื่อยเหลือเกิน… เด็กหนุ่มหลับใหลสู่ห้วงนิทราด้วยความอ่อนล้า
เมื่อเขาลืมตาขึ้น แสงของรุ่งอรุณก็สาดกระทบมาจนเด็กต้องเอามือบังแสงไว้ เขาค่อย ๆ มองรอบตัวเองอย่างช้า ๆ ก่อนจะฉงนเล็กน้อยเมื่อพบว่าเขากำลังนอนอยู่บนตักของตุ๊กตาของเขา และมือของตุ๊กตาก็มาประคองแนบอยู่ที่แก้มของเขาราวกับมันกำลังปลอบโยนเขาด้วยความรักอย่างเต็มเปี่ยม
เขาลุกขึ้นมองจ้องไปยังตุ๊กตาของเขา ถึงแม้ว่ามันเป็นแค่ฝัน… หรือว่ามันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ… แต่เด็กหนุ่มก็ยิ้มด้วยความดีใจ น้ำตาหยาดใสปริ่มขึ้นมาด้วยความปิติ เขาสวมกอดตุ๊กตาของเขาไว้แน่นก่อนจะแบกอุ้มตุ๊กตาของเขาออกเดินทางต่ออีกครั้ง
หลายครั้งที่หกล้ม หลายครั้งที่ร้องไห้ หลายครั้งที่สงสัย หลายครั้งที่ท้อแท้ แต่ด้วยความหวังที่แรงกล้า ความมั่นใจที่แน่วแน่ และความฝันสวยงามที่รออยู่ปลายทาง เป็นพลังขับดันให้เด็กหนุ่มยังคงเดินต่อไป แบกเอาตุ๊กตาที่หล่อเลี้ยงด้วยดวงใจของเขาไปตลอด เพียงหวังว่าสักวันเขาจะได้พบความสุขที่ใฝ่หา
เบื้องหน้าเด็กหนุ่มเป็นดงหนามกว้างใหญ่ กำแพงเถาไม้แหลมตั้งขวางเรียงเป็นตับอยู่เบื้องหน้า ข้าง ๆ ทางนั้นเต็มไปด้วยตุ๊กตาของคนก่อน ๆ ที่ถูกวางทิ้งไว้ให้ผุพังไปอย่างน่าสงสาร
‘จะพอแค่นี้งั้นหรือ? จะถอยหลังกลับดีมั๊ย? แต่…เราก็มาตั้งขนาดนี้แล้วถอยกลับไปไม่ได้แล้วล่ะ…’ เขามองจ้องที่ตุ๊กตาของเขา “ไปกันเถอะ” แต่เมื่อเขาพยายามที่จะแบกตุ๊กตาขึ้น มันกลับหนักกว่าที่เคยผ่านมา ทันทีที่ก้าวข้ามไปยังดงหนาม น้ำหนักที่มากมายก็กดให้คมแหลมทิ่มทะลุผ่านรองเท้าบาง ๆ น้ำตาหยาดเล็กเริ่มไหลรินเพราะความเจ็บปวด
‘หากว่าความรักคือการอดทนฟันฝ่าอุปสรรค ถ้าเรื่องแค่นี้ไม่สามารถผ่านไปได้ ก็ไม่สมควรที่จะได้ครอบครองรักแท้นั้นหรอก’ เขาพยายามเดินฝ่าปีนข้ามดงหนามอย่างทุกข์ทรมาน ยิ่งปีนข้ามไปก็ยิ่งพบซากตุ๊กตามากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเหลือบมองหน้าของตุ๊กตาที่ซุกแนบไหล่ของเขา
“ฉันไม่มีทางทิ้งคนที่ฉันรักให้อยู่ในดงหนามน่ากลัวแบบนี้หรอก”
คงเป็นเพราะเขาเจ็บปวดมากไป หรือไม่ก็เพราะสติของเขาเริ่มลางเลือนจนเพ้อไปรึเปล่า ที่เขารู้สึกราวกับว่าตุ๊กตาบนหลังพยายามจะโอบกอดเขาให้แน่นกระชับขึ้นอีก ดวงใจแก้วของเขาวาวโรจน์ขึ้น ความอบอุ่นแผ่ไปทั่วร่าง บรรเทาความเจ็บปวดเหนื่อยล้าที่มีมา พลังที่เคยหดหายกลับมาอีกครั้ง
เด็กหนุ่มฝ่าฟันขวากหนามนั้นมาได้สำเร็จ เขาหมดสติลงทันทีที่เหยียบถึงพื้นที่เขียวชอุ่มด้านหลังดงไม้แหลม
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ความรัก ความห่วงใย ความผูกพันที่เด็กหนุ่มมีให้กับตุ๊กตาของเขาอย่างมากมายนั้น ทำให้ตุ๊กตาของเด็กหนุ่มนับวันยิ่งเหมือนมนุษย์มากขึ้นทุกที แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มเจ็บปวดและทุกข์ทนยิ่งขึ้นเหมือนกัน ในเมื่อบางครั้งตุ๊กตาก็เหมือนจะรักเด็กหนุ่มมาก แต่ในเมื่อบางครั้งก็เหมือนจะไม่แคร์และไม่ใส่ใจเด็กหนุ่มเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่?
เมื่อใดที่เด็กหนุ่มต้องการให้ตุ๊กตาของเขาพูดให้กำลังใจบ้างสักครั้ง ตุ๊กตาของเขาก็ยังคงเงียบกริบเช่นเคย
เมื่อใดที่เด็กหนุ่มร้องไห้เสียใจ ตุ๊กตาก็ได้แต่มองเขาเฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ
และยิ่งเด็กหนุ่มรักตุ๊กตาของเขามากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นทุกที
เด็กหนุ่มเฝ้าถามความแคลงใจกับทุกอย่างที่จะถามได้ ถามก้อนหินก็นิ่งเงียบไม่ไหวติง ถามนกที่บินอยู่บนฟ้าก็เมินผ่านไปไม่ยอมช่วยอะไร ถามต้นหญ้าที่ขึ้นข้างทางก็ได้แต่ส่ายลำต้นไปเหมือนจะบอกว่าไม่รู้ จนกระทั่งได้พบกับกระรอกน้อยตัวหนึ่งที่บอกกับเด็กหนุ่มว่า “ลองไปถามต้นไม้มารดาดูสิ ท่านอยู่คู่โลกใบนี้มานานมากแล้ว ท่านอาจจะรู้ก็ได้นะ”
เด็กหนุ่มเดินทางไปพบต้นไม้มารดาเพื่อหวังจะได้คำตอบ แต่สิ่งที่ได้กลับยิ่งเป็นปริศนาที่เขายากจะเข้าใจ
“ความรักแท้นั้นหาใช่ไกลปานสุดสายตาไม่ แต่กลับอยู่ใกล้แค่ปลายขนตาตัวเอง”
ต้นไม้มารดาตอบเด็กหนุ่มมาเพียงเท่านี้ และแม้ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามถามต่ออีกเท่าไหร่ ก็ไม่มีคำตอบใดกลับมาอีกเลย
เด็กหนุ่มเดินเคียงคู่กับตุ๊กตาของเขาเรื่อยมา แต่และแล้วก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น… ตุ๊กตาของเขาเปลี่ยนไป บางทีที่เขาตื่นมาก็พบว่าเขาอยู่ตัวคนเดียว ตุ๊กตาของเขาหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ เด็กหนุ่มเฝ้าตามหาอยู่นานจนเจอในที่สุด เขาบอกกับตุ๊กตาของเขาว่า “ได้โปรดอย่าไปไหนนะ ถ้ารักฉันก็อย่าทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวเลย” ตุ๊กตาก็นิ่งไม่พูดอะไรและกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ แต่ทว่าวันต่อมาตุ๊กตาก็ยังหายตัวไปอีก
ทุก ๆ ครั้งที่ตุ๊กตาหายไป เด็กหนุ่มก็จะใช้เวลานานขึ้นเรื่อย ๆ กว่าจะหาตุ๊กตาของเขาเจอ และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะร้องไห้อ้อนวอนแค่ไหน เจ็บช้ำเท่าไหร่ ตุ๊กตาของเขาก็ยังคงหายตัวไปอยู่ดี
คงจะถึงที่หมายแล้ว แสงเรืองรองนั้นใกล้เข้ามาทุกที เด็กหนุ่มพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ตุ๊กตาของเขาร่วมเดินทางไปยัง ‘ดอกกุหลาบแห่งรักแท้’ ด้วยกัน แต่ยิ่งใกล้ถึงเท่าไหร่ ตุ๊กตาของเขายิ่งรวนเรและหนีหายไปบ่อยมากขึ้นทุกที
‘แต่… เราจะลงไปยังไงล่ะ… ถ้ากระโดดลงไปเราอาจจะต้องตายและตุ๊กตาอาจจะแหลกเหลวเป็นชิ้นก็ได้ ทำยังไงดีนะ… ‘
ในขณะที่กำลังคิดหาและมองหนทางอยู่นั่นเอง แม่มดก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพลพรรคตุ๊กตาจำนวนมากมายที่อยู่ด้านหลังของเธอ เสียงขอแม่มดเอ่ยขึ้นพร้อมกวักมือเรียกหาตุ๊กตาของเด็กหนุ่ม
“เจ้าตุ๊กตาเอ๋ย มาทางนี้เถอะ ตรงนี้ต่างหากที่เธอควรอยู่ ทางนี้ต่างหากที่เป็นครอบครัวของเธอ ทางนี้ต่างหากที่เธอจะไม่แปลกแยก ทางนี้ต่างหาก…”
ตุ๊กตาของเด็กหนุ่มหันมองไปทางแม่มด แต่เด็กหนุ่มรั้งใบหน้าตุ๊กตาของเขาเอาไว้ ดวงตาสีดำของเด็กหนุ่มจ้องมองตุ๊กตาของเขาอย่างไม่วางตา
“แต่ฉันรักเธอนะ!” เด็กหนุ่มพูดอย่างเต็มเสียง “ฉันยินดีทำทุกสิ่ง ทำเพื่อเธอทุกอย่าง แม้กระทั่งหัวใจของตัวเองก็ยอมให้ได้” ดวงใจแก้วส่องแสงเรืองรองขึ้นจากในร่างของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มมองหาทางที่จะหนีแม่มดเพื่อลงไปยังดอกกุหลาบแห่งรักแท้เบื้องล่าง และเขาก็พบทางสายเล็ก ๆ ริมหน้าผาที่ลัดเลาะลงไปเรื่อย ๆ
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มพยายามฉุดให้ตุ๊กตาของเขาเดินตามเขาไป แต่ตุ๊กตาก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่อย่างนั้น
“เชื่อฉันเถอะ มากับฉันเถอะนะ” เด็กหนุ่มอ้อนวอนขอในขณะที่แม่มดยังคงพูดชักจูงตุ๊กตาของเขาอยู่เรื่อย ๆ
“ได้โปรดเถอะ ที่ผ่านมาเธอไม่เคยรักฉันเลยงั้นหรือ? แล้วที่ผ่านมามันคืออะไร? สิ่งที่เธอทำหมายความว่ายังไง? ไม่ได้หมายความว่ารักฉันงั้นหรอ? ได้โปรดเถอะมากับฉันเถอนะ…” เด็กหนุ่มพยายามที่จะพูดพลางกอดตุ๊กตาของเขาเอาไว้แน่น หวังจะให้ความรู้สึกของเขาส่งผ่านไปยังตุ๊กตาได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตุ๊กตาเริ่มขยับตัวอีกครั้ง มือใหญ่หนานั้นดึงรั้งตัวเด็กหนุ่มมากอดเอาไว้แน่น ก่อนประคองวงหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นมา สายตาของทั้งคู่ได้จดจ้องกัน ริมฝีปากของตุ๊กตาประทับจุมพิตแสนหวานให้กับเด็กหนุ่ม
ดวงตาดำขลับของเด็กหนุ่มสุกสกาวด้วยความดีใจ ความฝันของเขาเป็นจริงแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดของเขา อีกไม่นานเขาก็จะได้ลงไปหากุหลาบแห่งรักแท้กับตุ๊กตาที่จะกลายเป็นคนรักของเขาตลอดกาล
อุ้งมือใหญ่ของตุ๊กตาวางแนบที่อกซ้ายของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มมองตามการกระทำนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าของตุ๊กตาที่เขารักยิ่งหมดใจด้วยรอยยิ้ม แสงสว่างไสวจากดวงใจแก้วในตัวเขาช่างอบอุ่นเหลือเกิน
“ขอโทษนะ…”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มมึนตึง ทุกสรรพสิ่งรอบตัวเขาราวกับหยุดนิ่ง… มันเป็นคำพูดแรก คำพูดเดียว และคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินจากตุ๊กตาแสนรักของเขา
ดวงตาคู่นั้นของเด็กหนุ่มเปิกโพลง น้ำใส ๆ ค่อย ๆ ปริ่มออกมาอย่างช้า ๆ
“ไม่จริง…ใช่ไหม….”
แสงวูบวาบสว่างไสวในอกค่อย ๆ ริบหรี่ลง พร้อมกับแรงผลักไสจากอุ้งมือ ‘ยอดดวงใจ’ ของเด็กหนุ่ม ร่างของเขาถลาเซใกล้ล้มลงที่ริมหน้าผาเต็มที
“ไม่นะ… ได้โปรด…”
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปหาตุ๊กตาของเขา อ้อนวอนด้วยใบหน้านองน้ำตา แต่ตุ๊กตาของเขาก็หันหลังกลับและเดินจากไป… ไปหาแม่มด ไปหาบรรดาพรรคพวกที่เป็นตุ๊กตาเหมือนกัน
“ไม่!!!” ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มเซปลิวหล่นลงไปในหุบเหว เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวดพร้อมกับดวงใจแก้วที่แตกสลาย เศษเสี้ยวที่แหลกกระจายของหัวใจแก้วกรีดผ่านภายในร่างของเด็กหนุ่มให้เกิดความทรมานเกินจะบรรยาย และแล้วทุกอย่างก็มืดมิดลง…
ดอกกุหลาบที่ใสราวกับแก้วส่องประกายแสงรัศมีสีสวยอ่อนโยนไปทั่วทุกทิศ แสงนั้นสว่างไสวแต่ไม่แสบตา มันเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เด็กหนุ่มค่อย ๆ ประคองกิ่งกุหลาบที่ลอยอยู่เหนือแอ่งน้ำเล็ก ๆ ขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
เด็กหนุ่มมองสิ่งที่ครอบครองเหมือนตกอยู่ในภวังค์ก่อนร่างที่ทรุดโทรมด้วยบาดแผลทั้งภายนอกและภายในนั้นจะพยายามลุกขึ้น… ก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า
สิ่งสุดท้ายที่ร่างกายอันใกล้แตกดับนี้คิดถึง คือการนำดอกกุหลาบนี้กลับไปให้ตุ๊กตาของตนอีกครั้ง
พยายามที่จะเดินกลับขึ้นไปหาตุ๊กตาของเขา… แต่… มันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว… เด็กหนุ่มล้มตัวลงกับพื้นหญ้ามอสอ่อนนุ่มพร้อมกับลมหายใจที่แผ่วลงทีละน้อย… ทีละน้อย… ดอกกุหลาบแห่งรักแท้ที่หลุดจากมือเรียวบางนั้นค่อย ๆ ลอยตกลงมาอย่างช้า ๆ สายตาที่พร่ามัวจดจ้องไปที่ดอกกุหลาบนั้น
“ฉัน…แค่…อยากมี…รักแท้…เท่านั้นเอง…” เสียงแหบพร่าเปล่งผ่านลำคอแห้งผาก
แต่ทันทีที่ดอกกุหลาบลอยมาตกลงที่ดวงใจแหลกสลายของเขา เด็กหนุ่มก็เข้าใจแล้วว่าที่ต้นไม้มารดาพูดถึงคืออะไร…
‘ความรักแท้ใช่ว่าจะหาได้จากใครอื่น แต่อยู่ที่ตัวเราเอง… การที่เรารักตัวเอง นั่นแหล่ะคือรักแท้’ ดวงตาดำขลับปริ่มน้ำพรั่งพรูออกมา ก่อนจะปิดสนิทพร้อมลมหายใจที่หยุดนิ่ง
ขณะที่เขากำลังรวบรวมความคิด รวบรวมสติอยู่นั้นเอง แสงสว่างเรืองรองก็เริ่มปรากฏให้เห็น ดวงอาทิตย์ยามเช้าอันสดใสของวันแรกปีช่างอบอุ่นนัก เขามองภาพที่ตนเห็นอย่างเงียบๆ ก่อนลุกขึ้นยืนช้า ๆ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าบางสิ่งตกลงจากตัวเขา เมื่อมองลงไปก็พบว่ามีดอกกุหลาบสีชมพูตกอยู่ที่พื้น เขาก้มลงหยิบและมองดูมันอย่างพินิจ ก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อด้านซ้ายของเขาอย่างทะนุถนอม…
ฉันได้มาแล้ว… ‘ดอกกุหลาบแห่งรักแท้’
เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักหรืออยู่กับเราได้ และเราก็ไปกำหนดหรือทำอะไรมากไม่ได้หรอก…
ถ้าใจเขาจะอยู่กับเรา ต่อให้เราแย่ เราเลว เรามีข้อเสียมากแค่ไหน ยังไงเขาก็จะอยู่กับเรา…
กลับกัน…
ถ้าใจเขาไปจากเรา หรือตัดสินใจที่จะจากไปแล้ว ต่อให้เราแสนดีเป็นนางฟ้าเทวดาที่ไหน เราก็รั้งให้เขาอยู่กับเราไว้ไม่ได้หรอก…
“รักกัน… แต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้” เมื่อตอนนั้นกระผมไม่เข้าใจหรอก คิดแต่ว่าถ้ารักแล้วทำไมต้องจากไปด้วยล่ะ? ทำไมไม่เลือกเราล่ะ? จนพาลคิดไปว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นเป็นแค่การหลอกลวง… แต่ในตอนนี้กระผมเข้าใจแล้ว ว่าแม้จะคบกันต่อไปไม่ได้ ก็ไมได้หมายความว่าเขาไม่ได้รักเรา… และเราก็ต้องเข้าใจว่าความจริงของโลกนี้มันเป็นยังไง…
“เพราะรัก…ถึงต้องตัดใจ ต้องยอมให้ไป…” เมื่อก่อนกระผมไม่เข้าใจหรอก แต่ตอนนี้กระผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยล่ะ…
เวลาผ่านไป ใจเราก็ได้รู้และเข้าใจอะไรมากขึ้น ในวันนี้กระผมไม่นึกเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมาอีกแล้ว ทุกสิ่งที่สวยงามก็เป็นน้ำเลี้ยงที่คอยทำให้หัวใจชื่นฉ่ำ ทุกสิ่งที่เจ็บช้ำก็สอนสั่งให้เราแข็งแกร่งขึ้น ไม่มีอะไรสูญเปล่าหรือไร้ประโยชน์ในเรื่องของความรัก… ไม่ว่ามันจะจบลงด้วยดีหรือไม่ก็ตาม…
เพ้อมานานละ.. หวังว่าปีที่จะถึงนี้จะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน หรือจะมีเรื่อง love love ครั้งใหม่บ้างก็ดีเนอะ
PS. Happy Ney Year & Happy New Love