ฮ่องกงเป็นประเทศที่ได้ไปปีละครั้งในช่วง 2 – 3 ปี ที่ผ่านมานี้ ซึ่งแต่ละครั้งก็จะพยายามมองหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ร้านอาหาร แหล่งที่ช้อป หรือแม้แต่สินค้าใหม่ ๆ ที่หาไม่ได้ในบ้านเรา
ทริปนี้ก็เป็นทริปที่ใหม่สำหรับเพราะว่าจุดประสงค์หลักคือการไปทำบุญขอพรกับสิ่งศักดิสิทธิ์ยอดฮิตของที่นี่นั่นเอง ซึ่งปกติแล้วเราเองไม่ใช่คนที่จะเข้าวัดทำบุญสักเท่าไหร่ จึงถือเป็นอากาศดีที่จะได้ทำซะบ้างเนอะ
ทริปนี้มีสมาชิกแก๊งค์ Beauty Blogger รวมทั้งหมด 6 คน (น้องทรายหมูน้อยจะตามไปสมทบทีหลัง) ไฟล์ FD 504 ออกเดินทางเวลา 15.35 ซึ่งอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ไปรอบเช้า? คือจริง ๆ ก็มีพี่ ๆ สื่อสายคมนาคมไปรอบเช้สกันก่อนแล้ว แต่แก๊งค์บิวตี้เราลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะไปรอบบ่าย เพราะตัวแตก ติดงานกันถ้วนหน้า (ส่วนอิชั้นถ้าบินรอบเช้าคงป่วยตายก่อน เพราะพึ่งบินกลับมาเมื่อตอนเย็นวันก่อน จัดของ แพ็คกระเป๋า เคลียงาน กว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว)
สำหรับอาหารบนเครื่องขาไปนี้เป็น Chicken Lasagna ซึ่งทำรสชาติออกมาได้ดีสำหรับคนที่ชอบเมนูที่มีครีมและชีส ซอสไก่สับก็มีออกเปรี้ยว เค็ม หวาน แต่แผ่นแป้งออกจะนิ่มเละไปเล็กน้อย แต่โดยรวมถือว่าโอเค เรากินจานนี้เกลี้ยงเลย
อีกเมนูคือข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งไม่มีรูปให้ดูเนื่องจากรู้สึกตัวอีกทีคือแกะกินเกือบหมดแล้ว
จากการเช็คพยากรอากาศ เราก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องเจอกับฝน เพราะเขาบอกว่าฝนตก 100% จ้าาาาา นั่งเครื่องผ่านไปได้เกินครึ่งทางเครื่องบินของเราก็ทะยานเข้าสู่ดงก้อนเมฆหนาครึ้ม
ทำให้เห็นภาพที่ตัดกันของแสงอาทิตย์และเมฆที่มืดครึ้มอย่างชัดเจน หลังจากเจอสภาพอากาศแปรปรวนเป็นระยะ ลงเครื่องมาถึงกับเวียนหัว แต่ก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยดี
ทริปนี้เราไม่ใช้บริการ Data Roaming เลย เพราะว่าช่วงนี้ต้องประหยัดตังค์อย่างรุนแรง เลยซื้อซิมการ์ดของที่ที่นี่ใส่แล้วปล่อย Wifi Hotspot แชร์กัน 3 คน โดยของที่ใช้คราวนี้คือค่าย PCCW ราคา 96HK$ ใช้งานได้ 8 วัน โทรภายในประเทศไม่จำกัด Wifi ไม่จำกัด และใช้งาน Mobile Data ได้ 5 Gb ซึ่งเหลือแหล่ สภาพสัญญาณโดยรวมถือว่าพอใช้ ความเร็วก็พอประมาณ บางจุดอาจมีอืดบ้าง แต่จุดไหนที่เร็วก็ปรู๊ดปร้าดไปเลย ถือว่าโอเคกับเงินที่จ่ายไป
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปฟาดอาหารเย็นที่ หมู่บ้านชาวประมง Lei Yue Mun เล่ยหยูมุน บริเวณอ่าววิคตอเรีย ซึ่งเป็นแหล่งของทะเลสด ๆ เป็น ๆ มากมายเรียงรายตลอดร้านสองข้างทาง แซมแทรกไปด้วยร้านอาหารที่เราสามารถเลือกซื้อของทะเลสด ๆ มาให้เขาปรุงได้
ร้านที่เราได้มาทานในวันนี้ก็คือ LUNG TANG Restaurant (龍騰海鮮酒樓)
อาหารเมนูแรกที่ได้กินในถิ่นฮ่องกงนี้คือ ปลาหมึกชุบแป้งทอด ซึ่งกินเปล่า ๆ โดยไม่ต้องจิ้มอะไรก็อร่อย เนื้อปลาหมึกหั่นหนาแต่ไม่เหนียว เนื้อนุ่มแต่แน่นมีรสหวานในตัว ตัวเปลือกมีความกรอบเค็มกระตุ้นน้ำลายให้สอเต็มปาก อร่อยมาก ๆ
เมนูต่อไปไม่ได้มีอะไรพิสดาร มันคือกุ้งลวกธรรมดานี่แหล่ะ แต่ด้วยความสดแบบสุด ๆ ทำให้เนื้อมันแน่น เด้ง และหวาน โบนัสคือแกะง่ายมว๊ากกกกก กินเปล่า ๆ ก็อร่อยแล้ว แต่สำหรับนักเปิปชาวไทยใครจะเอาน้ำจิ้มซีฟู๊ดไปเองก็ไม่ผิดนะจ๊ะ
อันนี้ก็เป็นหนึ่งในไฮไลท์เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้กินเป๋าฮื้อที่สดและใหญ่ขนาดนี้ ตัวนึงขนาดเกือบเท่าฝ่ามือ และถึงแม้ชิ้นจะใหญ่หนา แต่เนื้อหอยก็เฟริมแน่นและไม่เหนียว รสหวานธรรมชาติที่ตัดกับน้ำปรุงซีอิ้วที่เค็มหน่อย ๆ
อันนี้เป็นเมนูอร่อยที่สุดในมื้อ กั้งทอดกระเทียม ที่ตัวใหญ่มั่กกกกกกกก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสดและคุณภาพของเนื้อที่เด้งหวาน อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่การทอดกระเทียมที่นี่เด็ดดวงจริงแท้ กลิ่นและสัมผัสของกระเทียมเพิ่มความหอมและรสชาติให้กับตัวกั้งโดยไม่กลบรสชาติของตัววัตถุดิบ ขอกราบงาม ๆ 1 ที
เมนูปูทอดหรือคั่วกระเทียมพริกเกลือ เป็นเมนูที่กินพอเป็นพิธีเราเราไม่มีทักษะในการแกะปู รู้สึกธรรมดากับจานนี้ฮับ
เมนูลอปสเตอร์ผัดเนยอาจจะเลี่ยนไปสำหรับคนที่ไม่ชอบของทำนองนี้ แต่ส่วนตัวกินได้อย่างสบายใจเพราะชอบอยู่ ชรส นม เนย ครีมเนี่ย ก้ามลอปสเตอร์ใหญ่ม๊าก ดึงเนื้อออกมาได้หลุดเป็นชิ้นสวยงามซึ่งการันตีถึงความสดอีกเช่นกัน
อันนี้เป็นหอยเชลล์ตัวใหญ่ที่ลวกก่อน แล้วก็เอาวุ้นเส้นมาวางทับ ราดซ้ำด้วยซอสที่มีกระเทียม เครื่องเทศ ซีอิ้ว ที่ให้รสหอมออกเค็ม ๆ อร่อยใช้ได้เลยล่ะ
เมนูปลาเก๋านึ่งซีอิ้วกินแล้วน้ำตาจิไหลในความสดของเนื้อปลา มันช่างฉ่ำ จุ๊ยซี่ หวานละมุน ไร้ซึ่งกลิ่นคาว น่าเสียดายที่มาเป็นจานหลัง ๆ เพราะเริ่มจะอิ่มแล้ว กินได้ไม่เยอะเท่าไหร่
อันนี้เป็นอีกไฮไลท์กับ หอยงวงช้าง หรือที่อิชั้นเรียกชื่อเล่นติดปากว่า หอยเจี๊ยว ซึ่งสามารถทานได้ทั้งแบบสด ๆ สไตล์ซาชิมิ จิ้มกับโซยุ วาซาบิ หรือจะทานแบบลวดในน้ำซุปก็ได้
เนื้อของหอยเจี๊ยว เอ๊ย หอยงวงช้างจะแบ่งเป็นสองส่วน เนื้อส่วนที่ขาว ๆ จะเป็นส่วนงวงที่ยื่นออกมา ส่วนที่สีคล้ำ ๆจะเป็นส่วนเครื่องในที่อยู่ในเปลือก เนื้อส่วนสีขาวเหมาะจะกินแบบสด แต่ส่วนเครื่องในเอาไปลวกดีกว่า
เนื้อหอยแม้จะกินแบบสดแต่ก็ไม่คาวเท่าไหร่เลย สัมผัสกรึบ ๆ กรอบ ๆ เคี้ยวเพลิน อร่อยดี
แม้วันนี้จะกินเมนูหอยไปหลายอย่าง บางอันกินสด แต่สภาพท้องก็ยังคงคงเป็นปกติ ถือว่าความสด ความสะอาดค่อนข้างดี เพราะเราเป็นคนธาตุเบา กินหอยถ้าไม่สะอาดมากจริง ๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงรู้ผล….
หลังจากอิ่มฟินจนพุงแทบระเบิด เราก็มาเช็คอินที่โรงแรมที่พักในครั้งนี้ นั่นก็คือ Holiday Inn Golden Mile ซึ่งอยู่ในย่าน Tsim Sha Shui ติดกับถนน Nathan Road และห่างจากทางขึ้น MTR เพียงข้ามถนนในซอย
ที่พักที่นี่ถือว่ามาตรฐาน แม้จะเป็นโรงแรมเก่า แต่ก็ถือว่าไม่โทรม เตียงมีหมอนให้เลือกว่าต้องการหมอนนุ่ม หรือหมอนแน่น มี Wifi ให้ใช้ฟรีอีกด้วย
คืนนี้เราไม่ได้ไปเดินที่ไหนต่อ อาบน้ำ ทาครีม และมุดขึ้นเตียงนอนเพราะพรุ่งนี้ตารางอันยาวเหยียดมารอคอยเราตั้งแต่ 7 โมงเช้า
PS. กระเป๋าสะท้อนตัวตนของแต่ละคนอย่างชัดเจน
จะมีอะไรต้อนรับยามเช้าในฮ่องกงได้ดีกว่าการทานติ่มซำ? ร้านที่เราไปกินในวันนี้อยู่บริเวณ Tsim Sha Shui East ซึ่งเป็นย่านที่ถมทะเลขึ้นมา ร้านอาหารมีชื่อว่า Paramount Banquet Hall (百樂門宴會廳) ซึ่งอยู่ในชั้นใต้ดินของ South Seas Centre ถนน Mody Road
คุณภาพอาหารและสถานที่อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ฮะเก๋ากุ้งตัวใหญ่ โจ๊กหอยเป๋าฮื้อและไก่ก็รสชาติละมุนดี ปอเปี๊ยะทอดไส้เยอะและหอมฟุ้งในปาก ส่วนก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หมูแดงสอบตก เพราะว่าแป้งหนาแต่ไส้น้อยเกินไป
เมนูสุดโปรดของเราก็คือซาลาเปาไส้ไหล ที่นี่ทำไส้ได้ออกมามีรสของไข่แดงเค็ที่กำลังดี ไม่หวานจนเกินไป ถือว่าใช้ได้ ให้ผ่าน
หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ไปอิ่มบุญต่อด้วยการไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมที่ Repulse Bay ซึ่งในทริปนี้เรามีพี่โอ๋ แม่หมอคนสวย ที่ให้คำแนะนำในการขอพร การตระเตรียมของไหว้ที่เหมาะกับแต่ละคนโดยดูตามวัน เดือน ปี เวลาเกิดด้วย
จุดแรกเราต้องไปขอพรกับเทพมังกรโดยนำลูกแก้วไปถวาย ของปูเป้ต้องขอพรให้ใจเย็นลง และเก็บเงินให้อยู่
PS. ตอนก้าวข้ามธรณีประตูเข้าบริเวณศาลเจ้า ขาเข้าให้ก้าวเข้ามาด้วยเท้าซ้าย ส่วนขาออกให้ก้าวออกด้วยเท้าขวา
หลังจากนั้นก็ไปขอพรกับเจ้าแม่กวนอิม แล้วก็นำสร้อยมุกจำนวน 9 เส้นไปถวาย โดยจุดที่ถวายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของปูเป้ให้วางถวายที่บาทซ้ายของเจ้าแม่กวนอิม
ใกล้ ๆ กันนั้นก็มีให้ขอพรกับเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยให้นำแบงค์ที่มีเลขท้ายลงด้วยเลข 89 และไม่มีเลข 4 ไปลูบจากบนจรดล่าง นำแบงค์พับเก็บใส่กระเป๋าเพื่อขอให้การเงินไหลมาเทมาเข้ากระเป๋าเยอะ ๆ
ps. มีรูปปั้นเทพที่มีเด็กห้อมล้อม เอาไว้ขอพรเรื่องลูกนะฮะ
ตรงอ่าวเยื้อง ๆ กับเจ้าแม่กวนอิม จะมีสะพานต่ออายุ ใกล้กับศาลเจ้า 8 เหลี่ยม วิธีในการขอพรที่สะพานต่ออายุ ให้เดินข้ามสะพาน 3 รอบ โดยในรอบแรกให้ขอพรเรื่องครอบครัว สุขภาพ เดินข้ามรอบสองให้ขอเรื่องการงาน การเงิน และรอบสุดท้ายขอให้พรทั้งหมดที่ขอไปสมปรารถนา
ส่วนศาลเจ้า 8 เหลี่ยมขะเป็นการขอให้เทพแห่งท้องทะเลนำสิ่งไม่ดีออกไปจากตัวเรา
หลังจากที่ขอพรเสร็จแล้ว ก่อนจะเดินออกไป ควรชำระหนี้สงฆ์โดยการบริจาคหรือทำบุญ เพราะถือว่าเรามาขอพรจากสถานที่แห่งนั้นไปแล้ว เราก็ควรจะชำระหนี้ด้วย
หลังจากนั้นก็มาต่อกันที่ วัดกังหัน Che Kung Temple หรือที่คนไทยเรียงกันว่า วัดแชกง เพื่อมาขอพรให้การงานรุ่งเรือง ซึ่งที่นี่จะมีชุดธูปให้เราเลือกซื้อ เริ่มต้นที่ 38HK$ ไปจนถึง 4,000HK$ กันเลยทีเดียว
ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล พาไปไหว้ฟ้าดิน นำบทสวดให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเข้าไปขอพรในศาลเจ้าด้านใน
+พอเข้ามาในศาลเจ้าก็จะมาขอพรกับท่าน แซกงหมิว องค์ใหญ่ ที่ด้านซ้ายและขวาของท่านจะมีกังหันทองเหลืองอยู่ วิธีการขอพรคือให้ใช้มือขวาปั่นกังหันหมุนตามเข็มนาฬิกา 3 ครั้ง ส่วนใครที่ปีชงพอดีให้ใช้มือซ้ายหมุนกังหันย้อนเข็มนาฬิกา 3 รอบ ก่อนจะใช้มือขวาหมุนกังหันตามเข็มนาฬิกาตามปกติ อีก 3 รอบ หลังจากหมุนกังหันเสร็จก็ตีกลอง 3 ครั้งเป็นอันเสร็จ
ที่นี่ยังมีเทพประจำปีเกิดอีกด้วย ลองเอาปีเกิดตัวเองเดินหาดูได้เลย ส่วนปูเป้เกิดปี 1982 ก็คือเทพองนี้นี่แล
พักทานข้าวกลางวันที่ไหนสักแห่ง เป็นร้านข้างทางแบบที่คนฮ่องกงเขามากินกัน เมนูที่สั่งมาทุกอย่างอยู่ในระดับธรรมดา (ถึงได้ลืมว่ามันคือที่ไหน…)
หลังจากนั้นเราก็เดินทางมาต่อที่วัดอันเป็นที่ขึ้ชื่อของคนไทย วัดพ่อหวังต้าเซียน Wong Tai Sin Temple ซึ่งที่นี่จะมีการกำหนดการจุดธูปไม่เกิน 9 ดอก เนื่องจากบริเวณรอบวัดเต็มไปด้วยตึกสูง ถ้าจุดกันเยอะ ควันเยอะ มลพิษเยอะ รบกวนพื้นที่รอบข้างนะจ๊ะ ที่วัดแห่งนี้จะมีรูปปั้นของ 12 นักษัตรให้เรามาถ่ายรูปคู่กันด้วย
เจ้าพ่อหวังต้าเซียนเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการขอพรเรื่องสุขภาพ เพราะว่าเจ้าพ่อเป็นเทพที่รู้เรื่องสมุนไพรเป็นอย่างดี อะไรประมาณนี้
นอกจากจะมาขอพรเรื่องสุขภาพแล้ว ที่นี่ยังสามารถมาขอพรเรื่องการเดินทางกับพระถังวัมจั๋ง ขอพรเรื่องการเรียนกับเทพเจ้าขงจื้อ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักเรียนชาวฮ่องกงในช่วงใกล้สอบ ขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมพันมือที่ทำจากทองคำแท้ หรือขอพรเรื่องความรักกับเทพหยุคโหลว
ปิดท้ายวันแรกด้วยการมาขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมที่ Kwun Yam Temple ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง มีขนาดเล็ก แต่อัดแน่นไปด้วยควันธูป ดังนั้นจึงได้แค่ขอพรแบบเร่งด่วน และรีบออกมารอด้านนอกเพราะว่าเราแพ้ควันธูปน่ะ…
เรารีบทำเวลากันอย่างดีตลอดทริปเพื่อให้มีเวลาว่าง 1 ชั่วโมง 30 นาทีก่อนเวลาอาหารเย็น จุดหมายของเราในวันนี้คือ Habour City กับร้านมาการองขั้นเทพระกับตำนาน
Pierre Hermé เป็นเชฟชาวฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่ารังสรรค์ Macaron ขั้นเทพด้วยรสชาติที่แปลกแหวกแนว
Macaron เป็นขนมที่ทำจากไข่ขาว + น้ำตาล และอัลมอนด์ป่นละเอียด ประกบด้วยไส้ตรงกลาง แต่เดิมนั้นไส้ของขนมมีไว้เพื่อยึดให้เปลือก Macaron ติดกัน แต่ Pierre Hermé มีแนวคิดที่ว่า ในเมื่อตัวเปลือกนั้นไม่ได้มีรสชาติอะไรนอกจากสัมผัส ความหวาน และสีสัน แต่รสชาติที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไส้ขนมมากกว่า ทำไมเราไม่ใส่ไส้ไปเยอะ ๆ ล่ะ?
และแล้ว Macaron ของ Pierre Hermé ก็ถือกำเนิดและได้รับความนิยมขึ้นมาด้วยไส้ขนมหลากรสและปริมาณที่ล้นสะใจ ปัจจุบันร้าน Pierre Hermé มีสาขาในหลายประเทศ อย่างในอังกฤษ อาหรับอิมิเรต กาต้า ฮ่องกง และญี่ปุ่น
Macaron ของที่นี่บางรสจะมีไส้หลายชั้นที่มีรสต่างกัน ทำให้ได้รสและกลิ่นเป็นชั้นเป็นขั้นเหมือนกับดมกลิ่นน้ำหอมทีจะ Top – Middle – Base
ส่วนรสชาติที่ปูเป้เลือกก็คือ Salted Caramel ซึ่งต้องบอกว่าหอมฟุ้ง อร่อยมากสำหรับคนที่ชอบคาราเมลเข้าสายเลือด
ส่วนค่าเสียหายสนนราคาอยู่ที่ชิ้นละเกือบ 130 จ้า
เดินผ่านร้านช็อคโกแลต Godiva ก็พบเห็ป้ายเมนูใหม่ Godiva Chocolate Soft Serve กับซอฟท์ครีมรสช็อคโกแลตอันเลื่องชื่อของเขา
เนื้อซอทฟ์ครีมเนียนละมุน รสช้อคโกแลตเต็มแน่น ออกหวาน ๆ ขม ๆ เหมาะสำหหรับคนที่รักช็อคโกแลตและซอฟท์ครีมของเราอย่างยิ่ง
ผู้ที่รักขนมหวานอย่างเราฟิน แต่ตูนนี่ที่ไม่อินกับขนมหวานเท่าไหร่บอกว่าหวานไปฮับ
อาหารเย็นในวันนี้พูดถึงแล้วยังขนลุกไม่หาย เพราะ AirAsia จัดหนักให้เรามาฟินแตกกับร้าน Budaoweng Hotpot Cuisine บนชั้น 23 ของอาคาร iSquare Tower ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมเรานั่นเอง
เป็นร้านชาบูแบบประยุกต์นิดหน่อย นำจิ้มมีให้เลือกหลากหลาย แต่ด้วยคุณภาพของเนื้อลายหินอ่อนชิ้นหนาแต่ลวกมาแล้วนุ่มนวล แค่จิ้มซีอิ้วผสมกระเทียมก็ฟินแล้ว งานนี้ซัดแหลกชนิดเจ้าแม่กวนอิมเห็นแล้วต้องหลั่งน้ำตา…
สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อวัว ก็ไม่ต้องเสียใจ เนื้อหมูที่นี่เทพไม่แพ้กัน!!!
ปกติเราจะไม่อินกับเนื้อหมูเวลาทานชาบู โดยเฉพาะกับร้านที่มีเนือวัวดี ๆ แต่หมูร้านนี้อิชั้นยอมเสียพื้นที่ในกระเพาะให้ เพราะมันอร่อยจริง ๆ ลวกกับน้ำซุปข้น เนื้อหมูเด้งนุ่ม แทรกมันแบบพอดี ไม่เหนียวเลยแม้แต่น้อย อร่อย!!!!
ซาชิมิที่นี่ก็สดแจ่ม ปลาแซลมอนลายสวยงาม ชิ้นหนา หวาน อร่อย ฟินนนนน กรี๊ดดดดด!!!!
ที่นี่ก็มีหอยงวงช้างด้วย บอกเลยว่าอร่อยกว่าร้านแรกที่ได้ไปทาน ที่นี่สไลด์ได้บางกำลังดี เนื้อหอยกรอบกรึบ ไม่คาว หวานรสชาติแท้ ๆ ของหอยสด ๆ
ปิดท้ายด้วยขนมจาก Maxim Cafa กับเมนู Mont Blanc ที่ประทับใจทีเดียว ครีมเกาลัดของที่นี่จากที่กินน่าจะใช้เกาลัดมาต้มครีมหรือนมแล้วบด มากกว่าจะใช้เกาลัดกระป๋องหวาน ๆ แบบฝรั่งเศสที่หวานแสบไส้และไม่อร่อยเอาเสียเลยในความรู้สึกของเรา
ในแต่ละคำเราจะได้ทั้งครีมเกาลัดที่ปั่นจนละเอียดและเบา กับวิปครีมที่ฟูนุ่มดุจปุยเมฆ กับเกาลัดเม็ดที่ให้สัมผัสเวลาเคี้ยว และเค้กสปันจ์หอม ๆ ปิดท้ายด้วยสตอรว์เบอรี่ล้างปากเนื้อหวานฉ่ำ
คืนนี้เราตรงดิ่งฝ่าสายฝนกลับเข้าโรงแรม เพราะฝนตกหนักาจนเดินช้อปปิ้งไม่ไหว แถมพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าด้วยแหล่ะ
ตื่นเช้ากับอากาศที่สดใสหลังจากที่ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน อาหารเช้าในวันนี้เป็นติ่มซำ แต่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ คือธรรมดาเกินไปสำหรับมาตรฐานติ่มซำฮ่องกงนะจ๊ะ
แต่เราก็ยังมีเวลาที่ได้เก็บรูปสวย ๆ แบบนี้อยู่นะ
ตารางในวันนี้เราต้องไปที่วัดโปลิน บนเกาะลันเตา เพื่อไปไหว้พระใหญ่ โดยสมัยก่อนจะต้องนั่งรถบัสขึ้นไปใช้เวลาเกือบชั่วโมงบนทางคดเคี้ยวชวนเวียนหัว แต่ปัจจุบันมี Cable Car ซึ่งย่นระยะเวลาเหลือประมาณ 20 นาที แถมได้วิวอันสวยงามจากมุมสูงอีกด้วย
อากาศในช่วงเช้าของวันนี้เย็นสบาย และเมื่อกระเช้าเดินทางสูงขึ้นไปเพื่อข้ามยอดเขา ก็เห็นทะเลหมอกลอยผ่านยอดเขาไป สวยงามมาก เมือนกับเรากำลังนั่งกระเช้าลอยเข้าไปบนสวรรค์เลย
ข้อดีของการมากับแก๊งค์บิวตี้คือเราจะมีภาพหมู่เยอะมากนะครัช
หลังจากลงกระเช้า เดินมาต่ออีก 10 นาทีก็จะถึงบริเวณวัดแล้ว จะเห็นได้ว่าหมอกลงหนามากจริง ๆ ช่วงที่ลงจัด ๆ เราไม่สามารถเห็นสิ่งอยู่ไกลเกิน 50 เมตรได้เลย
ก่อนจะไปถึงองค์พระบนยอดเขาได้ เราก็ต้องเดินขึ้นบันไดนี่ไปก่อน โดยการเดินขึ้นไปให้เราทำสมาธิ ก้าวเท้าซ้ายท่องพุทธ ก้าวเท้าขวาท่องโท ไปเรื่อย ๆ จนถึงยอดเขา
หลังจากเหงื่อไหล่โทรมกายเราก็มาถึงองค์พระใหญ่เทียนถัน (Tian Tan Buddha) พี่โอ๋ให้ปูเป้สวดชินบัญชร 1 บท ตามด้วยคาถาเงินล้านเพื่อเป็นการขอพรกับพระใหญ่แห่งนี้
ขากลับอากาศเริ่มโปร่งขึ้น และหมอกจางลง ทำให้เราได้เห็นวิวขององค์พระบนยอดเขาท่ามกลางป่าไม้สีเขียว กับทะเลและท้องฟ้ากว้างเป็นพื้นหลัง เลถ่ายรูปมาฝาก
อิ่มบุญแล้ว ต่อไปเราจะไปอิ่มท้องกันต่อ
อาหารมื้อสุดท้ายที่ฮ่องกงนี้ถือเป็นการปิดทริปแบบฟินนาเล่ ดีงาม อลังการอย่างถึงที่สุด กับร้าน Lei Garden อันขึ้นชื่อและมีหลายสาขาในฮ่องกง สาขาที่มากินอยู่ในห้าง Elements ไฮโซ ๆ บนสถานี Kawloon พอดีเป๊ะ
เมนูแรกที่ได้ทานทำให้น้ำตาและน้ำลายไหลพรากกับหมูแดงขั้นเทพ!!!
ขอซูมให้เห็นความเทพชัด ๆ กับเนื้อหมูแดงที่ติดมันพองาม เนื้อหมูนุ่มและฉ่ำไม่แห้ง ด้านนอกที่ถูกย่างเกรียมกำลังดีนอกจากจะมีกลิ่นที่หอม รสหวานเค็มกลมกล่มแล้ว ยังมีสัมผัสของเครื่องหมักที่ถูกย่างจนเป็นคาราเมลหนึบๆ เล็กน้อย แค่นึกถึงก็น้ำลายไหล ขนลุก
หมูกรอบที่นี่ช่างเด็ดดวง กับหนังที่กรอบกรุบ ไม่แข็งกระด้าง ไม่เหนียว เคี้ยวง่าย ชั้นไขมันที่ละลายในปาก กับชั้นของเนื้อที่นุ่ม อร่อยมากจริง ๆ
ถือเป็นหนึ่งในหมูแดงและหมูกรอบที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา
เห็นน้ำซุปมาเสริฟเปล่า ๆ ต่อหน้าอย่านึกว่าธรรมดา ลองซดแล้วดวงตาจะเบิกกว้าง กับรสล้ำลึกที่บรรยายไม่ถูก มันกลมกล่อม คล่องคอ ชวนให้เจริญอาหารอย่างบอกไม่ถูก น้ำซุปนี้ทำมาจากขาไก่ เนื้อปลา ตุ๋นกับพุทราและเครื่องยาจีนอีกหลายชนิด
เป็ดปักกิ่งที่นี่ก็อร่อยดี พนักงานจะทำการแล่และห่อแป้งปาดน้ำจิ้มมาให้เรียบร้อย โดยจะมีการเสริฟสองแบบคือแบบหนังติดเนื้อ และหนังกรอบๆ อย่างเดียว ซึ่งอร่อยทั้งสองแบบ น้ำจิ้มออกหวานแทรกเค็มอ่อน ๆ เป็นรสแบบที่เราคุ้นเคย
เมนูปูทอดกระเทียมของร้านนี้ทำมาได้ดีเลย เนื้อปูอร่อยมาก เสียดายที่แกะปูไม่เป็นเลยกินอย่างทุลักทุเล
มื้อนี้จัดเต็มจริง ๆ จนกินกันไม่ไหว เมนูอีกอันนึงที่แนะนำแต่ไม่มีรูปให้ดูเพราะกินหมดอย่างรวดเร็วจนลืมคือข้าวผัด ข้าวผัดที่นี่ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ข้าวยังคงเป็นเม็ดสวย มีความหนึบซึ่งให้สัมผัสที่พอดี ไม่เลี่ยนน้ำมัน หอมกลิ่นกระทะผัด ควรสั่งถ้าได้มาลองทานที่นี่
เมนูอื่นๆ ก็อร่อย แต่เริ่มอิ่มแล้วจึงกินได้ไม่มากเท่าไหร่
ปิดท้ายด้วยซาลาเปาไส้ไหล ที่นี่ทำรสได้เหมาะกับคนที่ไม่ชอบรสหวาน ไส้จะมีความข้นกว่าร้านอื่น ๆ ที่ทานมา และการทานก็แนะนำให้ทานตอนร้อน ๆ จะได้ไส้ที่ไหลอย่างชัดเจน ถ้าปล่อยให้เย็นหน่อยไส้จะเริ่มข้นขึ้นไม่ค่อยเยิ้มมากแล้วจ้า
ก่อนที่จะไปสนามบิน เรามีเวลา 1 ชั่วโมงนิด ๆ ในการช็อปปิ้งเล็กน้อยแถว Habour City โดยเป้าหมายของเราคือการไปซื้อขนมญี่ปุ่นสุดที่รักใน City Super ซึ่งวันก่อนไม่สามารถซื้อได้เพราะคนต่อคิวยาวเหยียด
โดรายากิไส้หลากรสของ Tenkei อันนี้ได้ลองเมื่อคราวก่อนที่มาฮ่องกง และติดใจกับควาอร่อยของไส้ครีมเมเปิ้ลที่หอมมาก ไส้คัสตาร์ดก็ดี ไส้ช้อคโกแลตก็ใช้ได้ รอบนี้จึงมากวาดหมดเท่าที่มีวางอยู่บนชั้น ตกถุงละร้อยกว่าบาท
อีกอันที่ลองซื้อมากินคือ Calnee Vegips เป็นผักกรอบ ไม่ว่าจะเป็นมันเทศ ฟักทอง หัวหอม อร่อยมาก ๆ แตกต่างจากมันทอด ฟักทองทอดบ้านเราตรงที่เขาหันหนา กินแล้วได้สัมผัส ได้รสเน้น ๆ คราวหน้าถ้าไปฮ่องกงแม่จะเหมาเกลี้ยงหมดชั้น
ในที่สุดก็ถึงเวลากลับบ้าน โดยบินไฟลท์ FD505 ช่วงหัวค่ำ มีการดีเลย์เล็กน้อยเพราะว่าการจราจรหนาแน่นมาก ไฟลท์สารการบินที่อยู่เกทข้างๆ เราดีเลย์หลายชั่วโมงเลย แต่ว่ากัปตันก็เร่งเครื่องเต็มที่ทำให้เวลาถึงไทยไม่ได้เลทกว่าตารางที่กำหนดเท่าไหร่
อาหารบนเครื่องขากลับนี้ได้ลองกินข้าวมันไก่ย่าง ซึ่งอันนี้เฉย ๆ เพราะว่าเรากินข้าวมันไก่ไม่กินน้ำจิ้ม ดังนั้นข้าวมันไก่ที่อร่อยสำหรับเราต้องอร่อยที่ตัข้าวและไก่จริง ๆ ซึ่งก็ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ
อันนี้เป็นเมนูไก่อบ ซึ่งส่วนตัวชอบมาก น้ำซอสรสเข้มข้น เป็นรสแบบที่ชอบ แอบมีเผ็ดจาง ๆ แต่ก็ไม่มาก คนไม่ทานเผ็ดอย่างเราทานได้สบาย เมนูนี้ซัดหมดเกลี้ยงจ้า
ทริปนี้เป็นทริปที่แม้จะตารางแน่น แต่ก็ได้ไปทำบุญตามที่ตั้งใจจะไป และอาหารส่วนใหญ่ก็อร่อยมาก ประทับใจ พี่นานาไกด์ของเราก็บริการดี ยิ้มแย้มตลอด และทีมของ AirAsia ก็น่ารักเป็นกันเองกับพวกเรา และที่สำคัญคือเพื่อน ๆ ก๊วนบิวตี้ที่ทำให้ทริปนี้เอนจอยแบบสุด ๆ
ต้องขอบคุณ AirAsia ที่พาไปร่วมทริปที่แสนสนุกกับเพื่อน ๆ ด้วยนะฮะ
PS. รูปของกินและวิวมาจากกล้องของปูเป้ รูปรวมมาจากกล้องของน้องทราย ตูนนี่ และพี่มดฮับ