ปีนี้เป็นปีที่ดีจริงๆ เพราะได้เปิดหูเปิดตาไปยังที่ที่ไม่เคยไปหลายทริปแล้ว ทริปล่าสุดก็คือการไปเยือนเกาหลีเป็นครั้งที่ 6 แต่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้ไปเกาะเชจู (Jeju) ที่ได้ยินคำร่ำลือมานานว่าสวยงามและอากาศดีเว่อร์
ทริปนี้เราไปกับแบรนด์ Innisfree เครื่องสำอางที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติของเกาะเชจู พรอ้มกับชาว Blogger และ Beauty Editor คนคุ้นเคย
ทริปนี้เราบินออกในช่วงเที่ยงวันไปถึงที่เกาหลีก็เริ่มเย็นแล้ว กว่าจะเดินเข้าถึงเมืองโซลก็เป็นเวลาอาหารค่ำพอดี ร้านที่ทางทีมงาน Innisfree เกาหลีเตรียมไว้ต้อนรับเราก็คือ YongSuSan ซึ่งเป็นร้านอาหารเกาหลีสไตล์ดั้งเดิมที่มีชื่อเสียง เป็นร้านหรูที่มักนิยมไว้ใช้รับแขกหรือมีงานฉลองกัน อะไรประมาณนี้ อาหารรสชาติดีเลยล่ะ กิมจิ เครื่องเคียง ล้วนคุณภาพดี
อันนี้เป็นกุ้งทอดแนวเทมปุระ กับที่อยู่ข้างหลังเป็นรากโสมทอด ส่วนตัวเราชอบมาก มันหอมดี แต่คนไม่ชอบก็ไม่ชอบเลยล่ะ
อาหารที่จัดมาจะมีหลายอย่าง อย่างละไม่มาก มาตบท้ายด้วยข้าวห่อใบบัวที่มีธัญพืชหลายชนิด กินคู่กับกินจิแบบต่างๆ ที่เห็นแดงๆ คือกิมจิปลาหมึกดิบ อร่อยยยย
หลังจากอิ่มแล้วเราก็ไปเยี่ยมชมร้าน Innisfree สาขากังนัม ย่านสุดชิคของกรุงโซล ภายในร้านจะตกแต่งให้เหมือนกับ Green House หรือเรือนกระจกที่เอาไว้ปลูกพืชนั่นเอง
Innisfree เป็ร Natural Skincare ของเกาหลีแบรนด์แรก และได้รับความนิยมอย่างมากมาย ปัจจุบันมากว่าพันสาขาแล้วในเกาหลี นอกจากจะนำส่วนผสมจากธรรมชาติแล้ว เขายังสนับสนุนให้ลูกค้าของเขาดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย ทางแบรนด์จะมีกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและการรีไซเคิลอยู่เสมอ
เราจะเห็นว่าภายในร้านจะมีการนำขวดผลิตภัณฑ์เปล่าที่ลูกค้าได้นำมารีไซเคิล นำมาทำเป็นของประดับอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟ โคมระย้า หรือชิ้นงานศิลปะอื่น ๆ
ผลิตภัณฑ์ของ Innisfree มีครอบคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะสกินแคร์ เมคอัพ อุปกรณ์จุกจิก แปรงแต่งหน้า สำลี รวมไปถึงเทียนหอมและน้ำหอมสำหรับห้อง เรียกว่าเป็น Lifestyle brand ที่ครบมากจริง ๆ
ที่เราคิดว่าน่าสนใจมาก ก็คือสินค้า Mens Line ที่เน้นกลุ่มผู้ชายที่ต้องเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติ เขาจะมีไลน์ Military ที่มีสินค้าเฉพาะทาง อย่าง Camo Cream ที่เอาไว้เป็นสีป้ายเพื่อทำลายพรางบนหน้าและส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่ใช่สีโปสเตอร์ สีน้ำ ดินโคลนที่ไหนไม่รู้มาป้าย แต่เป็นสีที่ทำมาเฉพาะมีส่วนผสมของสารกันแดด SPF15 และบำรุงผิวด้วย!!! นอกนี้ยังมีทิชชู่สำหรับเช็ด Camo Cream แผ่นมาส์กสำหรับใช้หลังจากออกไปฝึกรบภาคสนาม เข้าเวรยาม หรือก่อนออกเวรกลับบ้าน เพื่อเสริมหล่อให้สุด ๆ ไปเลย
ตลาดเครื่องสำอางผู้ชายเกาหลีล้ำมากจริง ๆ ต้องขอบคุณวัฒนธรรมที่ผู้ชายเขาดูแลตัวเองค่อนข้างมาก โดยไม่ถูกประนามว่าเป็นตุ๊ดซซซ์
หลังจากช้อปปิ้งเสร็จเราก็มาเข้าที่พักของเราในคืนนี้ ณ โรงแรม JW Marriott Hotel ที่อยู่แถวย่านดงแดมุนแหล่งช็อปปิ้งพอดี แต่ว่าเราเหนื่อยกันมาก รีบอาบน้ำนอนเลยเพราะว่าวันรุ่งขึ้นยังมีภารกิจอีกยาวไกล
ห้องสวยมาก หรูมาก น่าเสียดายที่เราไมไ่ด้ใข้เวลากับมันเท่าไหร่เลย
บุฟเฟต์อาหารเช้าของโรงแรมคือดีงาม น้ำผลไม้คั้นสด ไม่ใช่สำเร็จรูปจากกล่อง มีอาารให้เลือกทั้งแบบต้นตำรับเกาหลี ญี่ปุ่น แบบฝรั่ง เบเกอรี่ที่นี่ก็อร่อยทีเดียว
หลังจากนั้นเราก็ออกจากโณงแรมเพื่อไปยังสำนักงานใหญ่ของแบรนด์ Innisfree ซึ่งเป็นสำนักงานที่มีการจัดพื้นที่สีเขียวและพื้นที่พักผ่อนไว้มากมายให้กับพนักงาน
สัญลักษณ์ของแบรนด์ Innisfree ประกอบไปด้วยพืชพันธุ์ที่เป้นตัวแทนของธรรมชาติจากเกาะเชจู รูขวดที่แสดงถึงการใช้บรรจุภัณพ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รูปครกบดยาแสดงให้เห็นถึงการวิจัยและพัฒนา ส่วนชามที่อยู่ด้านใต้แสดงถึงความใส่ใจของทีมงานที่อยากนำธรรมชาติที่วิเศษนี้นำสู่ผู้บริโภคทุกคน
ในห้องพักผ่อน จะมีต้นไม้เต็มไปหมด โดยพนักงานแต่ละคนจะมีต้นไม้ของตัวเอง ซึ่งเขาต้องคอยดูแลให้มันอยู่ในสภาพดีเสมอ เก๋เนอะ
หลังจากนั้นเราก็ไปกินอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นไก่ตุ๋นโสม เหมาะกับอากาศที่ยังเย็น ๆ อยู่บ้างในขณะนั้น ก่อนที่จะขึ้นรถไปต่อ เราขอแวะไปลองเมนูใหม่ของ Starbucks ที่เกาหลี เรียกว่า Yizu Iced Shaken Tea เป็นชาผสมส้มยูซุ แล้วน้ำเข้าไปอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเครื่องเขย่า ออกมาจะได้ชาส้มที่มีความซ่าแบบน้ำอัดลมน่ะ
จริง ๆ แล้วหลังจากที่กินข้าวกลางวัน เราก็หลับยาวไปอีกเกือบสองชั่วโมงเพื่อไปเยี่ยมชม Story Garden by AmorePacific ซึ่งเป็นที่บอกเล่าประวัติของบริษัท AmorePacific ผู้เป็นเจ้าของ Innisfree และเป็นผู้บุกเบิกในการฟื้นฟูธรรมชาติ การปลูกชา และพืชพันธุ์ต่างๆในเกาะเชจู
แต่ว่าตรงนี้เราเคยมาแล้ว และเคยเขียนเล่าไปในทริป Sulwhasoo ที่เคยเล่ามาแล้ว ยังไงย้อนกลับไปดูได้นะ หลังจากจบจาก Story Garden แล้วเราก็เดินทางกลับมาที่โซลเพื่อไปสนามบิน Gimpo เพื่อนั่งเครื่องไปยังเกาะเชจู จุดหมายที่แท้จริงของเราในทริปนี้
การเดินทางมาถึงเกาะเชจูนั้นใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่กว่าจะมาถึงก็ฟ้ามืดแล้ว เรายังต้องเดินทางกว่าชั่วโมงเพื่อไปยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักนัก ระหว่างทางเราก็เลยหยิบ The Leaf Pie ที่แอบซื้อมาระหว่างทางมากินดู ซึ่งมันอร่อยมว๊ากกกกกกกกก แนะนำนะจ๊ะ ร้านขนมปัง Paris Baguette มีสาขาทั่วเกาหลี
อาหารเย็นคราวนี้เป็นมื้อแรกที่ได้ยินเนื้อย่างกับหมูย่าง ด้วยความที่นี่เป็นเกาะ เราเลยได้กินหอยเป๋าฮื้อสดย่างเกลือ มีเมนูปูเทะเลดองเค็มด้วย พี่เอ๋ CLEO ชอบมาก
แวะเซเว่นก่อนเข้าโรงแรม ได้ไอติมโคนช็อคโกแลต Hershey’s มาอันนุง อร่อยดี ราคาราวสี่สิบกว่าบาท แต่ก็ได้ของคุณภาพตามราคา
ที่พักของเราบนเกาะก็คือ The Shilla Jeju เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่เห็นวิวทะเล ห้องพักและการตกแต่งจะออกแนวรีสอร์ทดั้งเดิม ดูเป็นที่พักตากอากาศ สบาย ๆ แซมความหรูหรา
ตื่นมากินข้าวที่โรงแรมเราก็ออกเดินทางมายังไร่ชาของ O’Sulloc ซึ่งก็เป็นของบริษัท AmorePacific อีกเช่นกัน ดดยที่ไร่ชานี้เป็นที่ตั้งของศูนย์ค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับชาเขียวโดยเฉพาะ
โดยเราได้คุณ Richard Yoo ผู้จัดการศูนย์ รวมถึงเป็นนักวิจัย มาเล่าเรื่องราวและพาเราเยี่ยมชมศูนย์วิจัยแห่งนี้
ซึ่งเขาก็จะมีรายละเอียดรวม ๆ ว่าบริษัทและศูนย์วิจัยนี้ได้พัฒนาและค้นคว้าถึงปัจจัยที่จะทำให้เพาะปลูกชาได้ดีที่สุดนั้นทำอย่างไร สภาพดินฟ้าอากาศ ปริมาณของฝน ความเข้มของแสงแดด และลักษระของดินมีผลอย่างไรกับผลผลิตของต้นชา และเขาพบว่าเกาะเชจูเป็นสถานที่ในอุดมคติในการเพาะปลูกชาที่มีคุณสูง โดยชา O’Sulloc ของ AmorePacific เคยได้รับรางวัลชาที่ดีที่สุดในโลกมาแล้ว
เขามีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับชาเขียว ทั้งในแง่ประโยชน์ของการนำมาใช้เป็นเครื่องสำอาง และการรับประทานว่ามีผลต่อสุขภาพอย่างไรมาเป็นสิบปี และได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยในวารสารทางวิทยศาสตร์และการแพทย์หลายสิบชิ้น เรียกได้ว่า AmorePacific เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีและความรู้ของชาเขียวของโลกเลยล่ะ
สิ่งที่น่าสนใจคือเขามีการพัฒนาสารสกัดจากใบชาเขียวขึ้นมาใหม่ จากเดิมสารสกัดจากใบชาเขียวนั้นจะสกัดมาจากใบชาที่ผ่านการคั่วกลิ้งจนแห้งแล้ว แต่สารสกัดจากใบชาเขียวล่าสุดของเขานั้นใช้การบีบคั้นน้ำจากใบชาเขียวสดที่ผ่านกระบนการอบไอน้ำภายในเวลา 30 นาทีหลังจากการเก็บเกี่ยว ก่อนจะนำไปผ่านกระบวนการคั้นน้ำและนำมาทำความสะอาดเพื่อให้ได้น้ำสกัดจากใบชาเขียวสดที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากการสกัดจาใบชาแห้งเดิม ๆ
นอกจากคุณวมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบแล้ว สิ่งที่น้ำสกัดจากใบชาเขียวสดนี้มีทำได้คือการเพิ่มขึ้นของโปรตีนที่เป็นสารตั้งต้นของ Natural Moisturizing Factor จึงทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ชุ่มชื้นได้มากขึ้น ซึ่งคุณสมบัติในการกระตุ้นโปรตีนที่ว่านี้เกิดขึ้นน้อยมากจากสารสกัดที่ได้จากใบชาเขียวแห้งแบบเดิม ๆ
ทำให้การสกัดน้ำจากใบชาเขียวสดนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ของส่วนผสมเครื่องสำอาง ที่ช่วยเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้น แข็งแรง และช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ อันเป็นสิ่งที่ผิวทุกประเภททุกวัยต้องพบเจอ
น้ำสกัดจากใบชาเขียวสดนี้ถูกนำเสนอต่อวงการเครื่องสำอางเป็นครั้งแรกกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Green Tea ของแบรนด์ Innisfree โดยผลิตภัณฑ์ตัวหลักก็คือ The Green Tea Seed Serum ที่เป็นสินค้าขายดีอันดับหนึ่งของเขาล่ะ
เห็นนักวิจัยเก่งๆแล้วก็อดปลื้มไม่ได้ ต้องขอถ่ายรูปเป็นที่ระทึกสักหน่อย
ด้านนอกของศูนย์วิจัยชาเขียว มีต้นคาเมเลียด้วยนะ นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นดอกคาเมเลียของจริงล่ะ
อันนี้เสริมนิดนึง ต้นคาเมลเลีย ดอกสีแดง ๆ มีชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Camellia Japonica ส่วนใบชาที่เรากิน มาจากต้นชาที่มีชื่อว่า Camellia Sinensis ใบของพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังอย่าง EGCG เหมือนกัน ด้วยนะ
ไร่ชากว้างใหญ่ อากาศเย็นสบายและบริสุทธิ์ ชีวิตดี๊ดี
เดินข้ามไปไม่ไกลของไร่ชา ก้เป็นที่ตั้งของ Innisfree Jeju House ซึ่งเป็นเหมือน Experience Center เพื่อให้คนเข้ามาสัมผัสกับความเป็นมาและเรื่องราวของแบรนด์ ซึ่งบอกเลยว่าทำได้ดีมาก เกาหลีช่างน่ากลัว เขาคิดมาดี คิดมาครอบคลุม มันเก๋มาก คะแนนเต็ม 100 เราให้ 150 เลยอ่ะ
ภายในจะมีหลายส่วน มีทั้งส่วนของร้านค้าขายของ ซึ่งเขาจะมีสินค้า Innisfree ที่ Exclusive มีขายเฉพาะที่นี่เท่านั้น และยังมีคาเฟ่ โซนกิจกรรม และโซนจัดแสดง
ในส่วนของการจัดแสดงนั้นเราจะได้เห็นข้อมูลและความเป็นมาของเกาะนี้ กับความอุมสมบูรณ์ ความร่ำรวยทางด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ความสวยงาม จนได้รับการยกย่องจาก UNESCO มห้เป็นมรดกโลก และทาง Innisfree ได้นำส่วนผสมที่ได้จากธรรมชาติอันงดงามบนเกาะแห่งนี้ไม่ว่าจะบนพื้นดินและใต้ทะเล มารังสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ความงามที่มีคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ มีให้เราได้เข้าถึงกลิ่นของส่วนผสมต่าง ๆ ที่ทางแบรนด์ใช้และได้มาจากเกาะแห่งนี้ด้วย
กิจกรรมที่เราว่าเก๋มาก และทุกคนควรมาลองทำดู คือการทำสบู่แบบ DIY ซึ่งจะมีถุงให้เราเลือกสามแบบว่าอยากได้สบู่แบบไหน มีสารสกัดจากชาเขียว ส้ม แล้วก็ผงหินภูเขาไฟ ส่วนตัวเราเลือกผงหินภูเขาไฟล่ะ ข้างในถุงจะมีอุปกรณ์แบบนี้
วิธีเล่นก็ง่ายมาก เอาก้อนสบู่แข็ง ๆ ออกจากซอง มานวดนิดหน่อยมันก็จะนิ่มขึ้นเหมือนดินน้ำมันที่ปั้นได้
หลังจากนั้นเราก็เอาผงสารสกัดมาใส่ แล้วก็นวดผสมให้เข้ากันดี ผสมมากเป็นเนื้อเดียวกันก็ได้ หรือจะผสมแค่พอเข้ากันให้เป็นลายหินอ่อนก็สวยดี
ทำเป็นรูปทรงตามต้องการ แล้วก็ตกแต่งด้วยตัวปั้มตามความสร้างสรรค์ในหัวที่มี ห่อด้วยกระดาษไขสีสวย แปะทับด้วยสติกเกอร์ให้เรียบร้อย เก็บเอาไว้ 10 วันให้เนื้อสบู่แข็งตัวขึ้น เราก็จะได้สบู่นี้ที่ชั้นผสมและปั้นเองกับมือเลยนะพี่ชายยยย
ข่าวดี ใครที่สนใจอยากลองทำบ้าง ไม่ต้องไปไกลถึงเชจู เพราะที่ Innisfree สาขา The Center Point of Siam Square ก็มีให้ทำจ้าาาาาาา
หลังจากเล่นสบู่อย่างเพลิดเพลินเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็ก 5 ขวบ เราก็มากินข้าวที่คาเฟ่ภายในร้านนี่แหล่ะ
เมนูอาหารของเขาจะใช้วัตถุดิบจากในเกาะเชจูมารังสรรค์เป็นอาหารเครื่องดื่มและขนมสุดอร่อย
ที่สั่งนี้คือฮอทดอกที่ดูไม่มีอะไร แต่ว่าไส้กรอกนี้ทำจากหมูดำที่ขึ้นชื่อในเรื่องคุรภาพของเกาะเชจู ขนมปังก็มีส่วนผสมของผิวส้มจากเกาะเชจู ที่ให้รสชาติเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ อร่อยมาก ขนมปังนุ่ม หอม ไส้กรอกจุ๊ยซี่ฉ่ำสุด ๆ
ของหวานที่เราเล็งเอาไว้ก็คือบิงซูราดด้วยซอสส้มฮัลลาบง Hallabong ซึ่งเป็นส้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะเชจูอีกเช่นเคย ถ้าไ้ด้กินส้ม Hallabong สด ๆ แล้วจะติดใจ เพราะว่ามันเป็นส้มที่ไม่มีเมล็ด รสชาติหวานอมเปรี้ยวสดชื่นมาก อร่อยยยยยยยยยยย
หลังจากนั้นเราก็ได้ไปชมวิธีการทำชาเขียวแบบดั้งเดิมซึ่งพิเศษมาก จริงๆแล้วกิจกรรมสาธิตจะโชว์ในวันรุ่นขึ้น แต่เขามาทำให้เราดูก่อนวันจริงหนึ่งวันเพื่อพวกเราโดยเฉพาะ เลิศศศศศศ
การทำชาเขียวนั้นจะเอาใบชาเขียวสดมาจี่ มาคั่วบนกระทะร้อน ๆ แบบนี้ล่ะ ความร้อนจะช่วยทำให้ใบชามันสลดแล้วก็อ่อนนุ่มขึ้น กระบวนการเหล่านี้จะช่วยทำให้สีใบยังคงสีเขียวอยู่ได้ด้วย
หลังจากคั่วใบชาได้สักพักก็จะเอาใบชามากลิ้ง ๆ บนแผ่นไม้สานไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาความชื้นออกและทำให้ใบชาม่วนเป็นเส้นเข็ม โดยกระบวนการกลิ้งใบชาจะต้องทำโดยชายหนุ่มเกาหลี สูง ขาว ตี๋ หุ่นดี และยังบริสุทธิ์เท่านั้น (อันนี้โกหกนะ รู้ใช่ป่ะ 555)
กระบวนคั่วและกลิ้งใบชาจะทำซ้ำราว 9 รอบ ก่อนจะนำไปตากแห้ง จึงจะได้ใบชาเขียวที่พร้อมเอามาชงจ้า
ที่อยู่ถัดไปข้างๆ ก็คือ O’Sulloc Tea Meseum ที่เขาทำขึ้นมาเพื่อให้ความรู้และฟื้นฟูวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวเกาหลีที่หายสาบสุญไปตามกาลเวลา
จริง ๆแล้วก่อนที่ AmorePacific จะเข้ามาพัฒนาพื้นที่เกาะเชจูนี้ เกาหลีต้องสั่งชานำเข้าจากต่างประเทศ แต่ด้วยวิศัยทัศน์และความตั้งใจที่แรงกล้า ทำให้เกาเชจูสามารถผลิตชาคุณภาพและฟื้นฟูวัฒนธรรมการดื่มชาของเกาหลีขึ้นมาได้อีกครั้ง
ที่นี่ยังมี Tea Stone ซึ่งเป็นห้องที่เอาไว้สาธิตพิธีดื่มชาแบบเกาหลี แก่ผู้ที่สนใจ (และต้องจองด้วย) โดยเราจะได้เรียนรู้วิธีการชงชา ว่าจะต้องมีการปรับอุณหภูมิอย่างไร การเทชาให้ได้ความเข้มข้นเท่ากัน การเลือกระดับความร้อนในการต้มชาแต่ละแบบที่เหมาะสม
ซึ่งทั้งหมดนี้ ลืมไปแล้ว 555
จำได้แค่ว่าชาเขียวน้ำร้อนราว 70 องศามั้ง ส่วนชาผสม ชาสมุนไพรให้ใช้ 90 องศา ประมาณนี้
ต้องบอกว่าเขาลงทุนและปราณีตมากในการทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา อย่างที่บอกนะ คือเดิมสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่บนเกาะนี้เลย ทุกอย่างถูกสร้างมาใหม่หมด แต่สร้างด้วยรายละเอียดและความใส่ใจอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกเรื่องราว คอนเซปต์ถูกวางแผนมาอย่างดี
เกาหลีเป็นตัวอย่างที่ดีมากในการสร้างและขายวัฒนธรรม สร้างและขายอย่างตั้งใจด้วย ไม่ใช่ฉาบฉวย ไร้คุณภาพ ดูถูกนักท่องเที่ยว
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปที่ไร่ส้ม ซึ่งเราต้องเดินลงจากรถขึ้เนินเขาไปอีกไม่ไกลนัก แต่วิวมันช่างสวยและอากาศช่างดี คามเย็นที่มากระทบผิวตัดกับความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามเย็น อินอ่ะ 555
ส้มจากต้นจริง ๆ พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกอีกแล้ว 555
ชีวิตเด็กในเมืองไม่เคยสัมผัสอะไรพวกนี้ก็แบบนี้แหล่ะ
แต่พอดีมันยังไม่ถึงหน้าที่ส้มจะสุกจนหวานน่ะ เราเลยได้แค่ลองเก็บเป็นพิธี แต่ส้มยังเปรี้ยวอยู่ เขาบอกว่าเรามาเร็วไปนิดซ์
หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่โรงแรม ทางทีมงานได้จัดอาหารเย็นสไตล์แคมป์ปิ้ง ปิ้งย่าง บาร์บีคิวให้เรา ถึงอาหารจะมาช้าไปนิด แต่อากาเย็นๆ และวิวดีๆ ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากอยู่อีกนาน ๆ ที่นี่มันวิเศษมากจริงๆ อยากอยู่ตลอดไป (แบบไม่ต้องทำงาน นั่งๆ นอน ๆ กินเที่ยวอย่างเดียว)
ถึงเวลาต้องกลับแล้ว จริงๆแล้วเกาะเชจูมีสถานที่ให้แวะอีกมากมาย มีวิวของลำธาร น้ำตกที่น่าสนใจ แต่เราไม่มีเวลา ชายทะเลของเกาะเจจูที่เห็นมีแต่หิน แต่เป็นหินภูเขาไฟสีดำ ๆ และแหลมคม แต่มันก็ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีดินอันอุดมต่อการเพาะปลูกเช่นกัน
ลาก่อนเกาะเชจู เกาะสวรรค์ที่เราพึ่งเคยได้รู้จัก ขอบคุณ Innisfree ที่บอกโอกาสและประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน ความใส่ใจในรายละเอียด และความประทับใจที่จะอยู่ไปอีกนานแสนนาน เสียดายที่มีเวลาน้อยไป ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับมาอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ไปเรื่อย ๆ
VIDEO สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูวีดีโอเห่อของงช็อปปิ้งจากทริปนี้รวมถึงเม้ามอยแบบถึงพริกถึงขิง ก็กดชมได้เลยจ้า (คำเตือน 40 นาทีเชียวนะ แต่รับรองว่าเพลิน 555)