ในยุคที่ปัจจุบันสินค้ากลุ่มให้ความชุ่มชื่นมีมากขึ้นและมีการแข่งขันอันดุเดือดเนื่องจากผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นว่าพื้นฐานของสุขภาพผิวที่ดีคือความชุ่มชื่น และไม่ใช่มอยซ์เจอไรเซอร์อะไรก็จะให้ความชุ่มชื่นได้ดีเท่ากัน แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อนในปี 2012 การมาของ Neutrogena : Hydro Boost เป็นสิ่งที่ก้าวหน้ามากสำหรับวงการสกินแคร์บ้านเราเพราะเป็นแบรนด์ใหญ่รายแรก ๆ ของสกินแคร์ระดับแมสถึงแมสทีจที่บุกกลุ่ม Hydration อย่างจริงจัง และในตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาจะมีแบรนด์น้อยใหญ่เปิดตัวกลุ่มสินค้า Hydration ที่ปังบ้าง แป๊กบ้าง ม้วนเสื่อเจ็บหนักกลับไปมาก แต่กลุ่ม Hydro Boost ของ Neutrogena ยังอยู่ยั่งยืนยงแถมยังงอกผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมอีกด้วย และในปี 2017 นี้เขาก็มีการปรับภาพลักษณ์ใหม่ สูตรใหม่ และผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาหลายตัวทีเดียว

เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้โดยตรงเท่าไหร่และแบรนด์ก็ไม่บอกคนนอกวงการก็ไม่มีวันรู้ แต่พอดีไปได้รู้มาตอนไปนั่งฟัง Marketing Seminar ในงาน In-Cosmetics เมื่อปี 2015 มาว่าผลิตภัณฑ์  Hydro Boost เป็นหนึ่งในผู้นำเทรนด์อย่างหนึ่งในวงการเครื่องสำอางของโลกที่เรียกว่า Asianification นั่นคือการย้อนกลับจากการที่เทรนด์ความงามหรือผลิตภัณฑ์ความงามที่เดิมจะถูกพัฒนาขึ้นจากโลกตะวันตกแล้วนำเข้ามาในโลกตะวันออกอย่างในเอเชีย แต่ Hydro Boost เป็นผลิตภัณฑ์อันแรกของ Neutrogena และเป็นอันแรก ๆ ของวงการเครื่องสำอางที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่จากซีกโลกตะวันตกได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาในเอเชียก่อนและได้รับการตอบรับดีมากจนนำไปขายในฟากตะวันตกและทั่วโลกเป็นลำดับต่อมา และเทรนด์ของ Asianification นี้ยังคงมาแรงและน่าจะแรงต่อไปอีกหลายปีเพราะแบรนด์เอเชียเองก็แห่ไปถล่มโลกตะวันตกกันแบบไม่เกรงใจเจ้าบ้าน และในขณะเดียวกันเองแบรนด์ตะวันตกที่เข้ามาในเอเชียก็มีการ Localization พัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเพื่อเอเชียโดยเฉพาะมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ในแบรนด์ที่มีขนาดใหญ่จนสามารถตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนารวมไปถึงการผลิตในภูมิภาคเท่านั้น ซึ่ง Neutrogena ที่อยู่ภายใต้เครือ Johnson & Johnson อันยิ่งใหญ่ก็อยู่ในข่ายนี้แหล่ะ

อ่ะ นอกเรื่องกันพอหอมปากหอมคอแต่ก็เป็นเกร็ดความรู้ที่ข้อสอบไม่มีออกทว่าเอาบอกไปเล่าเราจะดูฉลาดแลดูมีความรู้รอบตัวกันแล้ว เรามาถึงรายละเอียดของกลุ่ม Hydro Boost ในปี 2017 นี้กันดีกว่าว่าจะต่างจากที่เคยมีมาอย่างไรบ้าง

 

กลุ่มผลิตภัณฑ์ Neutrogena Hydro Boost ในการอัพเกรดของปี 2017 นี้สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดคือราคาค่าตัวที่น่ารักและเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าเรามากขึ้น มากกว่าตอนเปิดตัวเมื่อปี 2012 ซะอีก ตอนนี้กลุ่มมอยซ์เจอไรเซอร์กระปุก ๆ ที่ขายในห้างก็จะเริ่มต้นที่ 499 – 599 บาท เท่านั้น ซึ่งต่างจากราคาเก่าเมื่อปี 2012 ที่ราคากระปุกละ 820 บาทอยู่มากโขเลยทีเดียว และตอนนี้ก็มีกระปุกขนาดเล็กไซส์มินิน่ารักในราคา 149 บาทซึ่งเหมาะที่จะซื้อมาทดลองใช้ดูก่อนซื้อกระปุกขนาดปกติ ดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่ Neutrogena ทำมากับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอื่นด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นด้วยอย่างมากในการที่ทำให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ในแง่ของส่วนประกอบเรามองเห็นการวางแผนของผลิตภัณฑ์ที่ทำให้แต่ละชิ้นมีหน้าที่เฉพาะตัวมากขึ้น เช่น Neutrogena : Hydro Boost Water Gel (15g /149 Baht, 50g / 499 Baht) ที่เขาวางโพซิชั่นให้ใช้เป็นตอนกลางวันก็จะมีส่วนผสมที่เน้นเสริมความแข็งแรงของปราการปกป้องผิวเพื่อเคลมในส่วนของการเสริมการปกป้องจากผลกระทบของมลภาวะซึ่งเป็นเทรนด์ฮอตฮิตของวงการเครื่องสำอางในช่วงนี้ Neutrogena : Hydro Boost Nourishing Gel Cream (50g / 599 Baht) เป็นสูตรที่ทำขึ้นมาเพื่อผิว Sensitive ที่ไม่ได้เล่นง่ายแค่เอาสูตรปกติตัดน้ำหอมออกแต่เป็นการสร้างสูตรใหม่ที่ไม่มีน้ำหอมและเพิ่มส่วนผสมที่ชดเชยกรดไขมันสำคัญให้กับผิวซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบอบบางระคายเคืองง่าย และ Neutrogena : Hydro Boost 3D Sleeping Mask (50g / 599 Baht) สำหรับตอนกลางคืนที่ถึงจะไม่มีส่วนผสมเน้นเสริมความแข็งแรงของผิวแบบสูตรกลางวันแต่อัดส่วนผสมเพิ่มความชุ่มชื่นที่หลากหลายและเข้มข้นมามากกว่า อะไรแบบนี้เป็นต้น

โดยรวมในแง่ของการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เขาค่อนข้างกระจายคุณสมบัติเพื่อกระตุ้นการใช้ผลิตภัณฑ์ให้ครบขั้นตอนได้ดีกว่าเดิม แต่ถ้าถามว่าเขาสามารถใส่สาร actives ทั้งหมดนั้นลงในผลิตภัณ์หนึ่งตัวได้ไหม?  ได้สิ!!! แต่ปกติเขาก็ไม่ทำกันหรอก แม้แต่เราเองในฐานะที่ก็มีอีกหัวโขนหนึ่งที่รับจ็อบที่ปรึกษาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เรายังไม่แนะนำให้ทำเลยเพราะในเชิงของการตลาดมันเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนัก อย่างแรกเลยคือทำให้ขายสินค้าตัวอื่นได้ยาก พัฒนาสินค้าตัวใหม่ได้ยากยิ่งกว่า แถมถ้ายัดทุกอย่างมาต้นทุนสินค้าจะยิ่งแพงขึ้นและทำให้การเข้าถึงของสินค้าถูกจำกัด เรื่องนี้จึงมองได้หลายมุมจากหลายหัวโขน ในมุมของผู้ซื้อเราก็อยากได้ทั้งหมดแหล่ะ แต่ในมุมของการทำธุรกิจเราก็อยากขายให้ได้เยอะ ๆ สินค้าที่ดีและขายจึงป็นสินค้าที่บาลานซ์ทั้งสองมุมนี้ได้อย่างกลมกล่อม

เอ้า!!! นอกเรื่องอีกละ กลับเข้ามาที่ผลิตภัณฑ์กันต่อ เทคโนโลยีหลักในผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้ (ที่เน้นว่าส่วนใหญ่ เพราะมีสินค้าบางตัวไม่ได้อ้างถึง) นั่นก็คือสิ่งที่มีชื่อสวย ๆ ว่า Moisture Sensor Complex ซึ่งเคลมว่าจะเข้าตรวจจับและฟื้นบำรุงความชุ่มชื่นของผิวเพื่อผิวอิ่มน้ำโกลว์ใส แต่ก็ไมไ่ด้บอกว่าไอ้คอมเพล็กที่ว่ามันคืออะไรบ้าง จากการใช้วิชาเดาอย่างมีหลักการของเราในการมองหาสารสำคัญที่มีอยู่เหมือน ๆ กันในผลิตภัณฑ์ที่เคลมถึงเทคโนโลยีที่ว่านี้ เจ้า Moisture Sensor Complex ที่ว่านี้น่าจะหมายถึงส่วนผสมของ Glycerin และไฮยาลูโรนิคแอซิดในรูปของ Sodium Hyaluronate ซึ่งเป็นส่วนผสมเพิ่มความชุ่มชื่นที่ไม่ได้แปลกใหม่นัก แต่การที่แบรนด์สามารถเคลมได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเขาสามารถมอบความชุ่มชื่นให้ผิวได้ยาวนานมากสุดถึง 48 ชั่วโมง มันก็ต้องมีเรื่องของเทคโนโลยีระบบนำพาและเก็บล็อคความชุ่มชื่นเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลึกเกินกว่าการอ่านส่วนประกอบจะบอกได้ (อัพเดทเพิ่มเติม ทางแบรนด์บอกว่า Moisture Sensor Complex ก็คือ Glycerin กับ Sodium Hyaluronate นั่นแหล่ะ แต่เพิ่มเติมมาอีกตัว Olive Extract ซึ่งก็คือ Cetearyl Olivate และ Sorbitan Olivate ซึ่งเราตัดตัวนี้ออกไปจากการคาดเดาในเบื้องต้นเนื่องจากผลิตภัณฑ์สองตัวที่เรายกมาพูดถึงด้านล่างนี้ก็เคลมถึงเทคโนโลยีนี้แต่ไม่มีส่วนผสมที่ว่ามาใส่มาด้วยน่ะสิ)

 

ในช่วงเปิดตัวโฉมใหม่พร้อมผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ทางแบรนด์ก็มีการสื่อสารผลิตภัณฑ์เพื่อเน้นสินค้าตัวหลักอยู่สองตัวนั่นคือ Neutrogena : Hydro Boost Capsule In Serum (30ml / 699 Baht) ที่เห็นครั้งแรกเราดี๊ด๊าเพราะดูสวยถูกใจแบบดูน่าใช้น่ะแหล่ะ และอีกตัวที่เขามาให้ใช้คู่กันก็คือ Neutrogena : Hydro Boost 3D Sleeping Mask (50g / 599 Baht) คู่หูดูโอ้เพื่อการบำรุงผิวในยามค่ำคืน ซึ่งก็คงจะไม่ได้แปลกใหม่อะไรถ้าเขาไม่โยงถึงเรื่องการเสริมในการแต่งหน้า บำรุงผิวตอนค่ำคืนกับการแต่งหน้าเนี่ยนะ? มันฟังดูห่างไกลกันราวกับคนละเรื่องเพราะคงไม่มีคนปกติสติดีที่ไหนจะแต่งหน้าแน่นขนตาสาดเป็นแผงราวกับกันสาดปาดปากสีแดงแปร๊ดเข้านอนแบบนางเอกละครไทยหลังข่าวเป็นแน่ แต่เขามองข้ามไปอีกขั้นหนึ่งคือการบำรุงผิวยามค่ำคืนที่ดีจะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่นมากขึ้นในตอนเช้าซึ่งทำให้โดยรวมแล้วคุณภาพผิวจะดีกว่าการมาโบกบำรุงและมอยซ์เจอไรเซอร์แค่ตอนก่อนแต่งในตอนกลางวันที่อาจจะไม่เพียงพอหรือไม่ทันการซึ่งผิวที่ไม่ชุ่มชื่นหรือแห้งกร้านจะทำให้รองพื้นและเมคอัพไม่แนบสนิทไปกับผิวแต่ลอยลอกเป็นขุยไม่น่ามองได้ชะเอิงเอย

พูดถึงส่วนประกอบคร่าว ๆ นั้น Neutrogena : Hydro Boost Capsule In Serum จะมีส่วนประกอบของของสารบำรุงที่หลายตัวไม่มีในผลิตภัณฑ์ชิ้นอื่นในกลุ่มไลน์เดียวกัน อย่าง Niacinamide ที่ถ้ามีมากกว่า 2% ขึ้นไปก็จะช่วยเสริมการสร้างเซราไมด์และเสริมความแข็งแรงของผิวแบบค่อนเป็นค่อยไป มี Panthenol ช่วยเรื่องความชุ่มชื่น แต่สิ่งที่ใหม่จริง ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ตัวนี้โดดเด่นคือส่วนผสมของคอมเพล็กซ์ที่มีชื่อทางการค้าว่า FLUXHYDRAN® LS 9487 โดยบริษัท Laboratoires Sérobiologiques ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสารสกัด Mourera Fluviatilis Extract กับกรดอะมิโนอย่าง Serine, Arginine, Alanine, Threonine กับ PCA (Pyrrolidone Carboxylic Acid) ซึ่งเป็นสารทีให้ความชุ่มชื่นกับผิวตามธรรมชาติ และน้ำตาล Sucrose ส่วนผสมเหล่านี้เป้นที่รู้จักกันดีถึคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื่นกับผิว อีกส่วนผสมที่น่าสนใจคือ Chondrus Crispus Extrac ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น OLIGOGELINE™ SPE ของบริษัท Seppic ที่เคลมถึงการฟอร์มตัวดป็นฟิลม์ที่ให้เนื้อสัมผัสดีเก็บล้อคความชุ่มชื่นเอาไว้และยังช่วยคงการส่งผ่านสารบำรุงที่ใส่มาในสูตรได้ด้วย

Ingredients : Water, Propanediol, Glycerin, Pentylene Glycol, Niacinamide, Phenoxyethanol, Butylene Glycol, PEG-60 Hydrogenated Castor Oil, Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer, Caprylyl Glycol, Ethylhexylglycerin, Chondrus Crispus Powder, 1,2-Hexanediol, Acrylates/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer, Tromethamine, Panthenol, Sodium Hyaluronate, Synthetic Fluorphlogopite, Agar, CI 77891 (Titanium Dioxide), Gellan Gum, Fragrance, Disodium EDTA, Tocopheryl Acetate, Sucrose, Algin, CI 77019 (Mica), Serine, Arginine, PCA, Chondrus Crispus Extract, Alanine, Citric Acid, Threonine, Mourera Fluviatilis Extract.

 

ทางด้าน Neutrogena : Hydro Boost 3D Sleeping Mask ตัวนี้สูตรเปลี่ยนจากเดิมที่เคยรีวิวไว้เมื่อ 5 ปีก่อน โดยเน้นไปที่เนื้อสัมผัสและระบบนำพาเพราะว่าในสูตรนี้ใช้ Glycerin มากถึง 12% ซึ่งในสูตรทั่วไปมักใส่มาน้อยกว่า 5% เนื่องจากใส่มาเยอะเนื้อสัมผัสจะเหนอะหนะได้แต่ตัวนี้ทำเนื้อสัมผัสมาได้ดีไม่เหนอะไม่เหนียวไม่หนึบแต่ถ้าทาลงบนผิวแห้ง ๆ นี่รู้สึกได้เลยว่ามันกำลังไปเพิ่มความชุ่มชื่นลงไปข้างใน ถือว่าข้ามขีดจำกัดในส่วนนี้ไปได้ดีทีเดียว ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นตัวเดียวในไลน์ที่มีไฮยาลูโรนิคแอซิดมาให้สองขนาด ซึ่งก็คือ Sodium Hyaluronate และ Hydrolyzed Hyaluronic Acid ที่มีขนาดเล็กกว่าดูดซึมลงไปได้ลึกกว่า ส่วนผสมสารสกัดเปลือกเลมอน Citrus Limon (Lemon) Peel Extract เป็นส่วนผสมเฉพาะของทางแบรนด์ซึ่งเคลมเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ และเสริมการขจัดของเสียจากเซลล์ผิวเพื่อให้การทำงานของผิวดีขึ้นและดูสดใสสุขภาพดี ส่วนผสมที่ยังคงมีหลงเหลือตกค้างมาจากสูตรเดิมคือสารกลุ่มแร่ธาตุสามชนิดอย่าง Magnesium Aspartate กับ Zinc Gluconate และ Copper Gluconate ซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีชื่อทางการค้าว่า SEPITONIC™ M3 โดยบริษัท Seppic ซึ่งเคลมถึงคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและเสริมการทำงานของเซลล์ผิวจึงช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารบำรุงอื่น ๆ ที่ใส่เข้ามาในสูตรหรือกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมกัน

Ingredients : Water , Glycerin, Butylene Glycol, Isononyl Isononanoate, Dimethicone, Acrylates/Beheneth-25 Methacrylate Copolymer, Zea Mays (corn) Starch, Hydroxyethyl Acrylate/Sodium Acryloyldimethyl Taurate Copolymer, Hydroxyacetophenone, Dimethicone Crosspolymer, Isohexadecane, Phenoxyethanol, Potassium Cetyl Phosphate, Hydrogenated Palm Glycerides, Dimethiconol, Polysorbate 60, Sodium Hydroxide, Disodium EDTA, Citrus Limon (Lemon) Peel Extract, Fragrance, Hydrolyzed Hyaluronic Acid, Sodium Hyaluronate, Sodium Laureth Sulfate, Sodium Benzoate, Magnesium Aspartate, Zinc Gluconate, Potassium Sorbate, Copper Gluconate. 

 

จริง ๆ แล้วไอ้ที่เขาบอกว่าเราควรจะบำรุงผิวด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์หรืออย่างในกรณีนี้คือ Sleeping Mask ยามค่ำคืนเพื่อให้ตื่นเช้ามาผิวมีความชุ่มชื่นมากกว่าจะได้แต่งหน้าได้ติดผิวดีกว่า มันก็ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลและน่าจะเป็นตามนั้นเมื่อคิดตามหลักตรรกะง่าย ๆ อยู่แล้ว แต่เอาจริง ๆ อย่างที่เราบอกไปตอนต้นว่าไม่ใช่มอยซ์เจอไรเซอร์ทุกตัวจะให้ความชุ่มชื่นได้ดีเท่ากัน เราก็คิดว่าอยากจะลองทดสอบอะไรดูสักหน่อย ก็เลยหยิบเครื่องวัดความชุ่มชื่นที่มีอยู่แล้วที่บ้าน (มีจนลืมไปแล้วว่ามีเพราะไม่ได้หยิบมาใช้เท่าไหร่) มาทดสอบแบบง่าย ๆ ดู

การทดสอบทำโดยวัดความชุ่มชื้นที่ผิวหลังจากล้างหน้าและทิ้งให้แห้งประมาณ 5 นาที บำรุงผิวด้วยสกินแคร์ที่ใช้ทั้งหมดตามปกติที่เคยใช้อยู่แล้วอย่างพวกโลชั่นน้ำ เซรั่ม ออยล์บำรุงผิว แต่เพิ่มเติมขึ้นมาคือโปะ Neutrogena : Hydro Boost Capsule In Serum ลงไปด้วย  ในส่วนขั้นตอนของมอยซ์เจอไรเซอร์หรือสลีปปิ้งมาสก์ที่เคยใช้เดิมนั้นเราตัดออกหมด เพื่อเปลี่ยนมาใช้ Neutrogena : Hydro Boost 3D Sleeping Mask แทน โดยจะทาแค่ครึ่งหน้าซีกขวาเว้นซีกซ้ายเอาไว้ก่อนทิ้งไว้ 5 นาทีเพื่อวัดความชุ่มชื่นอีกครั้ง หลังจากนั้นก็เข้านอนตามปกติ ตื่นปุ๊ปก็วัดความชุ่มชื่นที่บริเวณแก้มทั้งสองข้างเพื่อดูผลว่าออกมาอย่างไร

ผลออกมาเห็นได้ชัดว่าผิวหน้าซีกขวาที่ทาผลิตภัณ์ทั้งหมดรวมถึง Neutrogena : Hydro Boost 3D Sleeping Mask มีความชุ่มชื่นที่สูงกว่าทั้งหลังทา 5 นาที และหลังจากผ่านไปราว 10 ชั่วโมงหลังตื่นนอน และเมื่อล้างหน้าในตอนเช้าซับหน้าให้แห้งและทิ้งเอาไว้ไม่ทาอะไรที่ผิวเลยก็รู้สึกด้วยได้ว่าผิวซีกขวามีความนุ่มชุ่มชื่นกว่าข้างซ้ายเมื่อลูบสัมผัส

เป็นการทดสอบพื้นฐานในระยะเวลาสั้น ๆ ด้วยเครื่องมือทั่วไปที่อาจจะไม่เที่ยงตรงแม่นยำเป๊ะแบบเครื่องตรวจอันละเป็นแสนแบบที่สถาบันวิจัยเขาใช้กันแต่ค่าที่อ่านได้และสัมผัสที่รับรู้ได้จากการจับผิวก็ทำให้เรารู้สึกว่าเออ มันก็เวิร์คนะ นี่คิดว่าถ้าลองไปต่อเนื่องยาว ๆ แบบครึ่งหน้านี้เราจะกลายเป็น ทูเฟส หน้าสองข้างแตกต่างกันจนเห็นได้ชัดรึเปล่านะ แบบผิวอีกข้างใสกว่าฉ่ำกว่า อีกข้างเหี่ยวแห้งฟีบ ๆ อะไรแบบนี้  คงดูไม่ดีเท่าไหร่ ควรทามันทั้งหน้านั่นแหล่ะดีแล้ว สำหรับเรื่องเคลมในการทำให้เมคอัพสวยงามขึ้นในตอนกลางวันนั้นตัวเราก็ไม่ใช่คนที่ใช้เมคอัพ รองพื้น BB อะไรก็ไม่ได้ใช้ เราเองคงบอกไม่ได้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือไม่อย่างไร แต่พื้นผิวที่มีความชุ่มชื้นและไม่แห้งหยาบกร้านจะทำให้แต่งหน้าง่ายกว่าอยู่แล้วเป็นเบสิคที่ทุกคนน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วเนอะ

สำหรับใครที่สนใจสินค้ากลุ่ม Hydro Boost มีจำหน่ายที่ร้านขายยา และซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ แต่ Neutrogena : Hydro Boost Capsule In Serum จะมีขายเฉพาะที่ Watsons เท่านั้นนะจ๊ะ