เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาทาง OLAY มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่แบบอลังการแต่เราไม่ได้ไปเพราะว่าติดทริปไปนิวหยวกแต่ทางแบรนด์ก็มีการส่งผลิตภัณฑ์มาให้ถึงบ้านเลยแบบว่ามั่นใจว่าตัวนี้เราต้องชอบ ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่านี้ก็คือ OLAY : Regenerist Micro-Sculpting Night Cream (50g / 999 Baht) ซึ่งเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับยามค่ำคืนที่เคลมว่าช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ได้นับล้าน และถ้าใช้คู่กับOLAY : Regenerist Miracle Boost Youth Pre-Essence ที่พึ่งเปิดตัวเมื่อปีก่อนมาเสริมก็จะเป็นคู่หูดูโอ้ Overnight Miracle ที่เขาก็ออกตัวแรงว่าจะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ใน 5 คืน!!! แต่ว่าคราวนี้จะมาเน้นที่ตัว Night Cream มากกว่านะฮะ สำหรับใครที่อยากดูในรูปแบบวีดีโอก็จิ้มดูได้ตามสะดวกจ้า!!!

ข้อมูลที่น่าสนใจคือว่าเขาได้อ้างถึงเกี่ยวกับการศึกษาที่ทาง OLAY ทำกับผู้หญิงหลากเชื้อชาติและสีผิวเป็นจำนวนสองร้อยกว่าคนเพื่อวิเคราะห์ยีนกับปัจจัยต่าง ๆในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมกลางแจ้ง การดื่มน้ำ การออกกำลังกาย และการพักผ่อน ว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการมีผิวที่ดูอ่อนเยาว์หรือแก่กว่าวัยของกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ และเขาก็บอกว่าเนี่ยเธอรู้มั้ยว่าพออายุมากขึ้นผิวก็จะซ่อมแซมตัวเองได้แย่ลง (รู้) ดังนั้นเราจึงต้องหาผลิตภัณฑ์ที่จะมาเพิ่มประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเซลล์ผิวโดยเฉพาะในตอนกลางคืน (อืม…..)

ปูเป้ไปลองค้นดูก็พบว่าเขามีการตีพิมพ์งานวิจัยเอาไว้ ซึ่งอันนึงเป็นการนำผู้หญิงชาวคอเคเชียนในช่วงอายุต่าง ๆ มาเก็บตัวอย่างผิวและมีการวัดการแสดงออกของยีน CDKN2A ที่เป็น Marker ของการบ่งชี้ความชราของเซลล์ (Cellular Senescence) ซึ่งผลก็ออกมาชัดเจนว่าคนที่มีแนวโน้มเผชิญแสงแดดจะมีการแสดงออกของยีนตัวนี้ที่มากกว่าซึ่งทำให้รูปลักษณ์ภายนอกของกลุ่มตัวอย่างดูแก่ชรากว่าอายุจริงเป็นสิบปี อันนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่มากแต่เป็นหลักฐานที่สนับสนุนถึงผลกระทบจากรังสี UV ที่มีต่อความชราของผิวให้หนักแน่นขึ้นไปอีก

อันที่น่าสนใจคืออันที่สองซึ่งเขาเอากลุ่มของคนผิวดำซึ่งถึงขนาดมีการตรวจสอบ DNA เพื่อย้อนกลับไปหาบรรพบุรุษเลยนะว่ามาจากไหนเพราะว่างานวิจัยนี้อยากจะหาว่ากรรมพันธุ์ในแง่เชื้อชาติมีผลกับเรื่องของการที่เรามีผิวที่ดูอ่อนเยาว์กว่าหรือไม่เพื่อหายีนที่เหมาะจะนำมาเป็นตัวหลักในการพุ่งเป้าไปจัดการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเทียบกลุ่มทดสอบคนผิวดำกับคนคอเคเชียนผิวขาวก็พบสิ่งที่น่าสนใจดังนี้

สิ่งที่เหมือนกันในสองชนชาตินี้คือยีน  COL1A1 กับ COL3A1 และ HAS2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสมบูรณ์ของโครงสร้างผิวชั้นในและความชุ่มชื่นนั้นต่างก็มีแนวโน้มลดลงทั้งคู่เมื่ออายุมากขึ้น เช่นเดียวกันกับ CDKN2A ที่เป็น Marker ของการบ่งชี้ความชราของเซลล์ (Cellular Senescence) ก็มีมากขึ้นในกลุ่มตัวอย่างที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งทั้งสองชนชาติ

ข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ว่าความชราของเซลล์เป็นสิ่งที่สองเชื้อชาตินี้มีร่วมกันไม่ได้มีใครที่ได้เปรียบกว่าใคร และคนผิวดำก็ได้รับความเสียหายจากแสงแดดเช่นเดียวกันกับคนผิวขาวแม้ผิวจะไหม้ยากกว่าจากการที่มีเมลานินมาปกป้องก็เถอะ แต่สิ่งที่ทำให้ผิวของคนผิวดำดูอ่อนเยาว์กว่าอาจมาจากการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับ Skin Barrier ความแข็งแรงและสมบูรณ์ของผิวชั้นนอกนั้นแตกต่างกันในสองเชื้อชาตินี้ ซึ่งเขาจะทำการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดสอบที่เป็นคนลาตินอเมริกัน กับคนเอเชียต่อไปเพื่อหาคำตอบต่อไป

(Source : Relationship between sun exposure and molecular markers of facial skin aging—The multidecade and ethnicity study,  Racial similarities and differences in gene expression related to aging – the Multidecade and Ethnicity Study)

น่าสนใจนะ ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับการบำรุงผิวเป็นพิเศษในตอนกลางคืน เพราะจากข้อมูลที่เราหามาเขาก็บอกว่าเรื่องอื่นนอกเหนือจากการสัมผัสแสงแดด อย่างเช่นการดื่มน้ำ การนอนหลับนั้นไม่ได้มีผลสอดคล้องทางสถิติกับเรื่องของความอ่อนเยาว์ของผิวหน้า นั่นหมายความว่า Night Cream เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และผิวในตอนกลางคืนก็ใช้ของที่เราใช้ในตอนกลางวันก็ได้งั้นหรือ?

คำตอบคือ “ก็ไม่เชิง”

night time sky

คือผิวของเรามีการสร้างตัวเองตลอดเวลาแหล่ะ แต่มันจะทำงานมากเป็นพิเศษในตอนกลางคืน ผิวชั้นนอกของเราจะยึดเกาะกันแน่นเพื่อปกป้องเราจากสภาพแวดล้อมภายนอก แต่ในตอนกลางคืนปราการตรงนี้จะมีการหลวมตัวเพื่อผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งก็ส่งผลให้ในตอนกลางคืนนั้นผิวของเราจะมีการสูญเสียความชุ่มชื่น (Transepidermal Water Loss) มากขึ้นเมื่อเทียบกับในตอนกลางวัน ไม่นับว่าการนอนในห้องปรับอากาศที่มีความชื้นต่ำจะทำให้ความชุ่มชื่นออกจากผิวได้มากขึ้นอีก ดังนั้นตอนกลางวันที่ร้อนเหนอะหนะใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อเบาบาง ตอนกลางคืนนอนห้องแอร์และผิวสูญเสียความชุ่มชื้นง่ายกว่าตอนกลางวันก็ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเข้มข้นขึ้นก็ดูเป็นเรื่องที่สมเหตุผล แต่ถ้าเป็นคนผิวแห้งมาก อยู่ในที่อากาศเย็นทั้งวันก็อาจจะไม่ต้องแยกผลิตภัณฑ์ที่ทากลางวัน -กลางคืนก็ได้ เพราะไม่ต้องเปลี่ยนเนื้อสัมผัสให้เหมาะกับสภาพอากาศที่ต่างไป

อีกประเด็นนึงที่น่าสนใจคือ OLAY เคลมว่าตอนกลางคืนเป็นช่วงเวลาที่จะอัดสารบำรุงเข้าไปบำรุงผิว อันนี้ก็มีส่วนจริงเพราะว่าในตอนที่เรานอนหลับนั้นอุณหภูมิร่างกายเราจะสูงขึ้นซึ่งก็ส่งผลต่อการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังอีกเช่นกันแหล่ะ แต่ตรงนี้เราก็อยากจะแย้งนิดนึงว่าตอนกลางวันที่เราเจอกับแสงแดด มลภาวะซึ่งก่ออนุมูลอิสระมากกว่าตอนกลางคืนก็จำเป็นต้องมีสารบำรุงโดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระในการช่วยเสริมการปกป้องผิวด้วยเหมือนกันนะ ดังนั้นกลางวันหรือกลางคืนก็ควรมีสารบำรุงมาเยอะ ๆ ทั้งคู่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี

(Source : Time-dependent variations of the skin barrier function in humans: transepidermal water loss, stratum corneum hydration, skin surface pH, and skin temperature.Stress-induced changes in skin barrier function in healthy women.Does poor sleep quality affect skin ageing?DERMAL ABSORPTION)

เอาเป็นว่าสรุปง่าย ๆ คือ กลางคืนอ่ะผิวจะมีการซ่อมแซมตัวเองมากเป็นพิเศษเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผลกระทบจากภายนอกในตอนกลางวัน ตอนกลางคืนผิวสูญเสียความชุ่มชื่นมากกว่าตอนกลางวัน ไม่นับว่าอุณหภูมิที่ต่างกันก็ทำให้การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลาเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่นอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว ครีมกลางวันกับกลางคืนที่วางขายกันไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันในแง่ของส่วนผสมข้างในนักเพราะว่าส่วนผสมไม่สามารถแยกเวลาทำงานได้ (ยกเว้นส่วนผสมบางอย่างที่ไวต่อแสงมากก็ไม่ควรจะใช้ตอนกลางวัน หรือสารกันแดดที่มันคงไม่มีประโยชน์นักถ้าจะเอามาทาตอนกลางคืนที่ไม่มีแสงแดด)

Product’s Formula

อ่ะ เกริ่นมายืดยาว เรามาดูกันดีกว่าว่าผลิตภัณฑ์ OLAY : Regenerist Micro-Sculpting Night Cream (50g / 999 Baht)  ตัวนี้มีส่วนประกอบอย่างไร และมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

Niacinamide หรือ Vitamin B3 นั้นเป็นส่วนผสมยอดนิยมที่ช่วยทำให้ Skin Barrier ของเราแข็งแรงขึ้น เสริมการทำงานของเซลล์ มีคุณสมบัติเป็นไวท์เทนนิ่ง ต้านการอักเสบ และช่วยต้านการเหลืองขึ้นของเซลล์ผิวด้วย

(Source : Nicotinic acid/niacinamide and the skin.How Much Do We Really Know About Our Favorite Cosmeceutical Ingredients?Topical Niacinamide and Barrier Enhancement)

Palmitoyl Pentapeptide-4 หรือ Pal-KTTKS คือเปปไทด์ที่เป็น Pro-Collagen ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิว นี่เป็นส่วนผสมที่มีมานานแล้ว แต่ก็มีงานวิจัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ชี้ว่าส่วนผสมตัวนี้ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ และการทดสอบในสัตว์ทดลองพบว่า Pal-KTTKS สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้

(Source : Dermal Stability and In Vitro Skin Permeation of Collagen Pentapeptides (KTTKS and palmitoyl-KTTKS)Topical palmitoyl pentapeptide provides improvement in photoaged human facial skin.NEW RESEARCH SHOWS ANTI-WRINKLE CREAM CHEMICAL WORKSCollagen stimulating effect of peptide amphiphile C16-KTTKS on human fibroblasts.A randomized, controlled comparative study of the wrinkle reduction benefits of a cosmetic niacinamide/peptide/retinyl propionate product regimen vs. a prescription 0·02% tretinoin product regimen)

Anethum Graveolens

Peucedanum Graveolens (Dill) Extract หรือ Lys’Lastine เป็นสารสกัดจากเมล็ดผักชีลาวโดยบริษัท BASF ซึ่งเคลมว่าช่วยเสริมการสร้างเส้นใยอีลาสตินผ่านการกระตุ้นการสร้างโปรตีน LOXL (lysyl oxidase-like) ที่ทำหน้าที่รวม Microfibrils และ Tropoelastin ให้กลายเป็นเส้นใยอีลาสตินเพื่อคงความยืดหยุ่นกระชับให้กับผิวนั่นเอง แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ผลิตสารเท่านั้น

Sodium PEG-7 Olive Oil Carboxylate มีชื่อทางการค้าว่า Olive-M ทาง OLAY บอกว่านี่เป็น Olive Extract และช่วยเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้

(Source : Method of improving the appearance of aging skin)


Panthenol หรือ Pro-Vitamin B5 เป็นส่วนผสมที่ช่วยให้ผิวชั้นนอกแข็งแรงขึ้น ช่วยเสริมความชุ่มชื่นและต้านการอักเสบ

(Source : Dexpanthenol enhances skin barrier repair and reduces inflammation after sodium lauryl sulphate-induced irritation.Topical use of dexpanthenol in skin disorders.)

ที่เหลือก็จะเป็น Tocopheryl Acetate หรือ Vitamin E กับ Camellia Sinensis Leaf Extract ช่วยต้านอนุมูลอิสระ Sodium Hyaluronate ช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิว 

ส่วนผสมของ Active Ingredients เหล่านี้ก็มีในครีมสูตรกลางวันเช่นกัน ส่วนจะมีในความเข้มข้นที่เท่ากัน มากกว่า หรือน้อยกว่าอันนี้ปูเป้ก็ไม่รู้นะ ดังนั้นความแตกต่างจริง ๆ จะอยู่ในส่วนของ Base หรือเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์

 

Ingredients :  Water, Cyclopentasiloxane, Glycerin, Niacinamide, Aluminium Strach Octenylsuccinate, Dimethicone, Dimethicone Crosspolymer, Panthenol, Polyethylene, Polyacrylamide, Tocopheryl Acetate, C13-14 Isoparaffin, DMDM Hydantoin, Allantoin, Laureth-4, Dimethiconol, Laureth-7, Acrylates/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer, Sodium Hyaluronate, Sodium PEG-7 Olive Oil Carboxylate, Disodium EDTA, Peucedanum Graveolens (Dill) Extract, Citric Acid, PEG-100 Stearate, Camellia Sinensis Leaf Extract, Iodopropynyl Butylcarbamate, Palmitoyl Pentapeptide-4.

Usage & Result

สิ่งหนึ่งที่ตอนแรกเราไม่ได้คาดหวังคือการที่ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว และมันดีในแง่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีความอ่อนโยนกับผิวมากขึ้นด้วย

เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นลักษณะของเจลซิลิโคนที่รู้สึกชุ่มชื่นเมื่อทาและลื่นผิว หลังจากเซ็ทตัวแล้วจะไม่ทำให้ผิวรู้สึกเหนอะหนะ จากส่วนประกอบเราพบว่ามันเหมือนกับเอาเนื้อเซรั่มของ Regenerist มาเพิ่มส่วนผสมให้ความชุ่มชื่นมากขึ้น ปรับนู่นนิด นี่หน่อย แล้วมาใส่ประปุกขายเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าทำออกมาได้ดี

อีกสิ่งที่เราชอบคือการไม่มีส่วนผสมช่วยกระจายแสงมาให้แบบครีมรุ่นกลางวันเพราะว่าตอนกลางคืนก่อนนอนเราคงไม่ต้องไปเปล่งกระจายแสงให้ใครดูเนอะ



การใช้เป็นระยะเวลาประมาณ 4 สัปดาห์คู่กับ OLAY : Regenerist Miracle Boost Youth Pre-Essence ซึ่งเคยทำรีวิวเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เราพบว่าผิวมีความชุ่มชื่น ผิวรู้สึกนุ่มและมีความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดหวังได้จากส่วนประกอบที่ใส่มาทั้งหมดอยู่แล้วล่ะ

เราใช้ Pre-Essence ทั้งตอนเช้า – เย็น โดยใช้ 1 ดรอปเปอร์ทั่วใบหน้า และ 1 ดรอปเปอร์ สำหรับลำคอและแนวไหปลาร้า ด้วยการใช้ปริมาณเท่านี้ 1 ขวดจะอยู่ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ ส่วนการใช้ Night Cream เฉพาะในตอนกลางคืนบนใบหน้าและลำคอจะใช้ได้ประมาณ 8 – 10 สัปดาห์ต่อ 1 กระปุก

ส่วนตัวเราจะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ Whitening ไปควบคู่กับ Anti-Aging เสมอ เราจึงแนะนำให้ลองเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม OLAY White Radiance Cellucent ขวดสีเขียวที่มีสารไวท์เทนนิ่งอย่าง Undecylenoyl Phenylalanine ไปเสริมในเรื่องการลดเลือนจุดด่างดำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในสัญญาณของความร่วงโรยของวัยอีกหนึ่งอย่างก็จะครอบคลุมมากขึ้น

Conclusion

โดยสรุปแล้ว OLAY : Regenerist Micro-Sculpting Night Cream เป็นการนำส่วนผสมเดิมที่เคยมีใน Regenerist Micro-Sculpting Cream สูตรกลางวันมานำเสนอในรูปแบบเนื้อสัมผัสที่แตกต่างเพื่อตอบโจทย์กับคอนเซปต์ของการดูแลผิวในตอนกลางคืน การทำสูตรที่ปราศจากน้ำหอมมาเป็นสิ่งที่ปูเป้ชอบมากและอยากสนับสนุนให้ทางแบรนด์มีตัวเลือกของผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมมากขึ้นเรื่อย ๆ คอมเมนต์ที่อยากจะแชร์เพิ่มเติมคือส่วนตัวรู้สึกดีใจที่ OLAY มีการศึกษาและวิจัยในแง่ของส่วนผสมและผิวพรรณอยู่ตลอดแต่ก็อยากจะเห็นเนื้อสัมผัสแบบใหม่ ๆ จาก OLAY ที่แตกต่างจากเดิมบ้าง และส่วนตัวก็คิดว่าหากจะมีการใส่ส่วนผสมอะไรมาเพิ่มใน Night Cream เพื่อแยกผลิตภัณฑ์ให้รู้สึกต่างจาก Day Cream อย่างชัดเจนขึ้นล่ะ

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

OLAY : Regenerist Micro-Sculpting Night Cream
FORMULA
GENTLENESS
SENSORY
RESULT
PUPE LOVE IT
PROS
  • มีส่วนผสมของสารแอนติออกซิแดนท์ เปปไทด์ และสารที่เสริมความแข็งแรงของผิว
  • อ่อนโยน ปราศจากส่วนผสมของสี น้ำหอม
  • เนื้อผลิตภัณฑ์ไม่เหนอะหนะ
CONS
  • บรรจุภัณฑ์รูปแบบกระปุก
3.7Overall Score