รังนกแอ่น (Swiftle) ที่กินได้นั้นเป็นหนึ่งส่วนผสมล้ำค่าที่อยู่ในตำราแพทย์จีนมาแต่โบราณและประเทศไทยเป็นแหล่งของรังนกแอ่นที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่งจนทำให้ราคาที่ครั้งหนึ่งเคยต่ำเตี้ยเรี่ยดินกลับกลายมาเป็นสูงค่าดั่งทองจนถึงขนาดต้องจ้างคนมาคุ้มกันไม่ให้มีใครมาลักลอบเก็บไปขายกันเลยทีเดียว

ปัจจุบันนี้ส่วนผสมของรังนกที่รับประทานได้นั้นไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการกิน แต่ยังลามไปถึงส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่วางจำหน่ายกันทั่วเอเชียอีกด้วย แบรนด์  PrimaNest ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรังนกคุณภาพส่งออกก็มีการใช้ส่วนผสมจากรังนกแอ่นที่กินได้ที่เขาสกัดขึ้นมาเองในการทำผลิตภัณฑ์ PrimaPure เพื่อทาบำรุงผิว

แต่ส่วนผสมของรังนกแอ่นที่กินได้นี้เป็นที่ถกเถียงกันมากมายว่ามันมีประโยชน์อะไรเมื่อเทียบราคาที่แสนแพง ถึงกับมีคนเอามาเทียบให้ดูว่ารังนกแอ่นที่วางจำหน่ายทั่วไป 1 ขวด ให้พลังงานเท่ากันกับไข่หนึ่งฟอง และให้โปรตีนเท่าถั่วลิสงสองเมล็ด ยังไม่นับเรื่องดราม่าที่ออกมาทุกช่วงวันแม่ว่าการไปเก็บรังนกแอ่นมาทำให้นกต้องสำรอกน้ำลายมาสร้างใหม่จนกระอักเลือดตายแต่มนุษย์ใจร้ายยังเอารังนกนั้นไปขายเป็นรังนกเลือดที่มีสีแดงซึ่งมีราคาแพงยิ่งกว่าปกติ

ว่าแต่เรื่องราวดราม่าที่เราได้ยินมานั่นเป็นความจริงรึ? คนกินรังนกคือพวกมีเงินแต่โง่จริงรึเปล่า? เครื่องสำอางผสมสารสกัดจากรังนกแอ่นที่กินได้นี้เป็นแค่ปาหี่หลอกคนมีสตางค์หรือไม่? หรือว่าแท้จริงแล้วรังนกเหล่านี้มีประโยชน์ที่มากกว่าพลังงานเทียบเท่าไข่หนึ่งฟองหรือโปรตีนเท่าถั่วสองเมล็ด….

รังนกแอ่นทานได้เป็น “ยา”

Edible Bird Nest

ตรรกะพังพินาศอย่างหนึ่งในสังคมที่เกิดขึ้นคือการเอารังนกแอ่นที่ทานได้ (Swiftlet Edible Bird Nest) มาเทียบกับสิ่งอื่นในแง่ของคุณค่าทางอาหาร อย่างเช่นพลังงาน หรือโปรตีนที่ได้ ถ้าเอาตรรกะนี้มาใช้กับสารพัดยาที่เราใช้กันอยู่  เราก็คงต้องมาพูดว่ายาพาราเซตามอลไม่ได้ให้พลังงานและโปรตีนเท่าไข่หนึ่งฟองด้วยซ้ำ เรากินยาพาราทำไม กินไข่หรือถั่วลิสงดีกว่า ทั้งที่พาราเซตามอลไม่ได้กินเพื่อเอาพลังงานหรือสารอาหารแต่เอาสรรพคุณทางยาในการลดไข้บรรเทาปวด กินไข่กินถั่วให้ตายก็ให้สรรพคุณแบบเดียวกับพาราเซตามอลไม่ได้

ข้อมูลงานวิจัยเกี่ยวกับรังนกได้นี้เริ่มฉายแววเมื่อปี 1987 เมื่อนักวิจัยจากประเทศจีนยืนยันว่าในสารสกัดจากรังนกมีสิ่งที่ทำงานคล้ายกับ Epidermal Growth Factor (EGF) และเสริมการซ่อมแซมของเซลล์ได้ การค้นพบนี้ทำให้เริ่มมีการตื่นตัวในการนำรังนกมาศึกษาถึงสรรพคุณและความเป็นไปได้ในการพัฒนายาเพื่อรักษาโรค ในปี 2006 นักวิจัยชาวญี่ปุ่นพยายามทำการพิสูจน์สรรพคุณของรังนกที่เคลมว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและได้พบว่ารังนกสามารถช่วยลดการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้และพบว่าสารสำคัญในรังนกก็คือ Sialic Acid ซึ่งเป็นสารกลุม Glycolprotein สำคัญในรังนก

(Source : Evidence that epidermal growth factor is present in swiftlet’s (Collocalia) nest.Potentiation of mitogenic response by extracts of the swiftlet’s (Collocalia) nest.Edible bird’s nest extract inhibits influenza virus infection.รังนก)

Edible Bird Nest Melanin

หลังจากนั้นนักวิจัยในโตเกียวและในเกียวโตได้ตีพิมพ์ถึงการพัฒนาอนุพันธ์ของ Sialic Acid เพื่อการวิจัยยาในอนาคต รวมไปถึงการทดลองพบว่าเมื่อให้สัตว์ทดลองกินสารสกัดจากรังนกพบว่ามีความแข็งแรงของกระดูกและความหนาของผิวชั้นในที่ดีขึ้นซึ่งเป็นการส่งต่อเพื่อการวิจัยสารสกัดจากรันกในเชิงสุขภาพและการต่อร้านริ้วรอยเมื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยังมีการศึกษาที่เสริมว่าสารสกัดจากรังนกสามารถพัฒนาไปเป็นยาหยอดตาเพื่อช่วยในการเสริมการเยียวยากระจกตาจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัดได้

ล่าสุดในปี 2015 พึ่งมีการตีพิมพ์การศึกษาเกี่ยวกับสารสกัดของรังนกเพื่อการนำมาใช้ในเชิงเพื่อความงามและเครื่องสำอางเป็นอันแรกและพบว่าสารกลุ่ม Sialic Acid ที่สำคัญอย่าง N-Acetylneuraminic Acid (NANA) มีคุณสมบัติในการกดการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในแบบที่แตกต่างกับ Arbutin และ Hydroquinone ผลที่ได้ยังเสนอว่าอาจมีสารอื่นในตัวรังนกที่ทำงานเสริมกันกับ N-Acetylneuraminic Acid ในการลดขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ผลิตเม็ดสีดังกล่าวด้วย N-Acetylneuraminic Acid มีปริมาณที่แตกต่างกันในรังนกที่มีที่มาและเกรดที่ต่างกันไปจึงทำให้สารตัวนี้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดคุณภาพและสรรพคุณทางยาของรังนกได้

รังนกนั้นอาจจะให้โปรตีนเท่ากับถั่วลิสงสองเมล็ดในราคาที่ต่างกันแบบเทียบไม่ได้ แต่ถั่วลิสงสองเมล็ดไม่มีทางให้คุณสมบัติทางยาได้เท่ากับรังนกอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นรังนกจึงไม่ใช่อาหารที่เราจะกินให้อิ่มหรือเพื่อสารอาหารในชีวิตประจำวัน แต่เป็นยาหรือตัวเสริมสุขภาพอีกทางเลือกหนึ่ง ปัจจุบันเรายังต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณทางยาและในแง่ของการนำมาใช้เพื่อความงามในเครื่องสำอางกันอีกมาก ส่วนผสมรังนกอาจจะไม่ใช่ยาวิเศษที่ดีกว่าส่วนผสมอื่นบนโลกใบนี้แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ควรถูกเอามาเทียบวัดคุณค่ากับไข่ไก่และถั่วลิสงในแง่ของพลังงานและโปรตีน

(Source : Sialic Acids : Essentials of Glycobiology. 2nd edition.Development of miracle medicines from sialic acids.Improvement of bone strength and dermal thickness due to dietary edible bird’s nest extract in ovariectomized rats.Effects of edible bird’s nest (EBN) on cultured rabbit corneal keratocytes.Edible Bird’s Nest, an Asian Health Food Supplement, Possesses Skin Lightening Activities: Identification of N-Acetylneuraminic Acid as Active Ingredient)

Red Blood Bird Nest

ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับดราม่าเรื่องรังนกเลือดที่กรีดร้องกันว่าแม่นกแอ่นต้องตายน้ำลายทำรังจนกระอักขนาดนี้แล้วยังไปเก็บมาอีกไม่สงสารนกกันบ้างหรือ แต่นั่นเป็นความจริงหรือไม่? รังนกแอ่นสีเลือดมาจากนกแอ่นที่ถูกทารุณจนกระอักเลือดตายจริงหรือ?

รังนกเลือดหรือรังนกสีแดงนั้นมีการตั้งสมมุติฐานกันมามากมายว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร บ้างก็อาจจะมาจากอาหารที่นกกินอย่างเช่นสาหร่ายสีแดง หรือที่ดูเข้าเค้าหน่อยคงจะเกี่ยวข้องกับแร่ธาตุอย่าง Iron Oxide ที่มีสีส้มแดงอาจไหลซึมมาน้ำตามผนังถ้ำและเข้ามาปนเปื้อนในตัวรังนกจนเกิดเป็นสีแดงส้มขึ้น

Red Bird Nest

ข้อมูลที่น่าสนใจและดูจับต้องได้มากที่สุดมาจากนักวิจัยจากฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อปี 2012 เขาพบว่าในขณะที่รังนกสีเลือดนี้มีราคาแพงมากในตลาดชาวจีนแต่ในประเทศอินโดนีเซียกลับมีรังนกสีเลือดเกิดขึ้นอย่างมากมายและชาวบ้านสามรถสร้างรังนกสีเลือดขึ้นมาจากรังนกสีขาวได้ด้วยการเอามันอบในสถานที่ร้อน ชื้น และอบไปด้วย Bird Soil หรือมูลนกแอ่น

หลังจากได้ศึกษาต่อเขาพบว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดรังนกสีเลือดขึ้นก็คือ Sodium Nitrite อันอุดมในมูลนกแอ่น เมื่อรังนกสัมผัสกับไอระเหยที่เกิดขึ้นจะทำให้ Glyoproteins เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้น

ความเห็นส่วนตัวของปูเป้มองว่ารังนกสีแดงไม่ได้มาจากการที่นกกระอักเลือด เพราะเลือดเมื่อแห้งมันไม่เป็นสีแดงแต่มันเป็นสีคล้ำออกดำน้ำตาลจึงไม่มีทางที่จะทำให้เกิดสีส้มแดงสดใสได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ดีในปัจจุบันมีเรื่องของการนำรังนกมาย้อมสี หรือการปนเปื้อนของ Sodium Nitrite ซึ่งในปริมาณที่มากไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพ (Sodium Nitrite ถูกใช้ในการทำแฮม ไส้กรอก และการถนอมอาหาร) ดังนั้นการใช้รังนกเพื่อสุขภาพหรือสรรพคุณทางยาควรมาจากผู้ผลิตที่มีการคุมคุณภาพเป็นอย่างดี และรังนกไม่ได้มีคุณสมบัติทางยาเท่ากันไปซะทั้งหมดเพราะขึ้นอยู่กับสารสำคัญภายในตัวรังนกด้วย

(Source : Edible bird’s nests–how do the red ones get red?)

Product’s Formula

พูดกันมาเสียยาวยืด แต่เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้เกี่ยวกับรังนกกันแล้วเนอะ  ในแง่ส่วนประกอบของ PrimaPure : Intense Serum (30ml / 2,850 Baht) นั้นค่อนข้างที่จะเรียบง่ายและเข้าใจไม่ยาก

Swiftlet’s Nest Extract เป็นส่วนผสมที่ถูกชูโรงขึ้นมาแต่ไม่ใช่ส่วนผสมตัวเดียวในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าสารสกัดจากรังนกมีคุณสมบัติในการเยียวยาผิวด้วยการเป็น EGF-Like ดังนั้นคนที่มีมีปัญหาสิว มีรอยแผลสิว หรือทำทรีตเมนต์เลเซอร์มาตัวนี้ก็จะช่วยเสริมการเยียวยาให้ดีขึ้น คุณสมบัติในการเป็นไวท์เทนนิ่งก็น่าสนใจแต่ยังไม่มีการทดสอบบนผิวมนุษย์จึงยังมีข้อมูลค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบภาษีแล้วสารสกัดจากรังนกยังมีข้อมูลรับรองประสิทธิภาพน้อยกว่าส่วนผสมมาตรฐานในเครื่องสำอางอย่างเช่นวิตามินซีและวิตามินเออยู่มาก แต่ก็ดีกว่าส่วนผสมหลายชนิดในเครื่องสำอางที่ไม่มีแม้แต่การวิจัยตีพิมพ์ออกมาเลย

Methylsilanol Hydroxyproline Aspartate หรือ HYDROXYPROLISILANE C N เป็นส่วนผสมจากเทคโนโลยีทางชีวภาพที่เคลมว่าช่วยในการเสริมการสร้างเซลล์ใหม่ช่วยลดเลือนริ้วรอยซึ่งแนะนำในความเข้มข้นที่ 2-5% ส่วนผสมตัวนี้ไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นมาสนับสนุน แต่ปริมาณที่ใช้ก็ดูน่าจะอยู่ในระดับ 2-5% ที่ผู้ผลิตแนะนำไว้

Acetyl Hexapeptide-8 หรือ Argiline เป็นเปปไทด์สังเคราะห์ที่เคลมว่าเลียนแบบการทำงานของ Botulinum Toxin Type A ซึ่ง BOTOX คือหนึ่งในชื่อทางการค้าที่ได้รับความนิยมมากและอยู่ในวงการเครื่องสำอางมาสิบกว่าปีได้แล้ว การศึกษาถึงผลในการลดเลือนริ้วรอยของเปปไทด์นี้มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และส่วนใหญ่เห็นผลที่น่าพอใจ แต่เรื่องของการที่มันทำงานแบบ Botulinum Toxin Type A  จริงหรือไม่นั้นยังมีการถกเถียงกันอยู่ แต่การวิจัยที่น่าสนใจคือการเอาคนไข้ที่รับการฉีด Botulinum Toxin Type A มาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Acetyl Hexapeptide-8 และได้ผลว่ากลุ่มคนที่ทาเปปไทด์ตัวนี้จะช่วยยืดเวลาของผลที่ได้จากการฉีด Botulinum Toxin Type A ไปได้นานขึ้นอีก

อย่างไรก็ดีข้อมูลในปี 2015 ในการสำรวจว่าเปปไทด์เหล่านี้สามารถแทรกเข้าไปในผิวได้ไกลแค่ไหนก็พบว่าส่วนใหญ่กองอยู่ที่ผิวชั้นนอกและตรวจไม่พบเลยในผิวชั้นใน อย่างไรก็ดีโดยส่วนตัวมีความเห็นว่าโดยปกติแล้วเปปไทด์จะทำงานในลักษณะของการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์อยู่แล้วและส่วนผสมอาจไม่จำเป็นต้องแทรกเข้าไปถึงผิวชั้นในเพื่อทำงานก็ได้หากสามารถมีการส่งสัญญาณต่อกันไปยังเซลล์เป้าหมายก็น่าจะทำได้ หรือจะมองในอีกมุมว่าผลที่ได้ในการลดเลือนริ้วรอยอาจเป็นเพียงคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและเติมความชุ่มชื่นของกรดอะมิโนที่เป็นเบสในการสร้างเปปไทด์ขึ้นมา หรือกลไกการทำงานที่ลดเลือนริ้วรอยอาจไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ Botulinum Toxin Type A เลยก็เป็นได้ ต้องมาดูการศึกษาในอนาคตว่าเขาจะสรุปออกมาอย่างไร

(Source : A synthetic hexapeptide (Argireline) with antiwrinkle activity.The anti-wrinkle efficacy of argireline, a synthetic hexapeptide, in Chinese subjects: a randomized, placebo-controlled study.Pilot study of topical acetyl hexapeptide-8 in the treatment for blepharospasm in patients receiving botulinum toxin therapy.In vitro skin penetration of acetyl hexapeptide-8 from a cosmetic formulation.)

ส่วนผสมอื่น ๆ ก็มี Sodium Hyaluronate ในการให้ความุช่มชื่นที่ดีกับผิว มีอนุพันธ์วิตามินซีเล็กน้อยช่วยต้านอนุมูลอิสระ ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เลี่ยงการใช้ Paraben แต่กลับใช้ Methylisothiazolinone ซึ่งเป็นสารกันเสียที่มีโอกาสกระตุ้นการเกิดผื่นแพ้สัมผัสได้ในบางคน ถ้าตัดตัวนี้ไปใช้สารกันเสียกลุ่มอื่นน่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์ดูดีขึ้น

Ingredients : Water, Glycerin, Methylsilanol Hydroxyproline Aspartate, Propylene Glycol, Saccharide Isomerate, Acetyl Hexapeptide-8, Chlorphenesin, Methylisothiazolinone, Triethanolamine, Carbomer, Swiftlet’s Nest Extract, Ascorbyl Glucoside, Sodium Hyaluronate, Fragrance.

Usage & Result

เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเซรั่มแบบเจลใสมีความข้นเล็กน้อย กระจายตัวง่ายและให้สัมผัสที่ฉ่ำยาวลูบลงบนผิว ให้ความรู้สึกที่ดีและใช้คู่กับสกินแคร์อื่นที่ใช้อยู่ได้ง่าย

ความรู้สึกในการทดลองใช้คือผิวชุ่มชื่นและรู้สึกว่าผิวมีอิ่มเอิบขึ้น ผิวดูมีความใสขึ้นและเรียบเนียนดี สัมผัสที่ค่อนข้างบางเบาทำให้เหมาะมากกับทุกสภาพผิวโดยเฉพาะผิวผสม ผิวมัน หรือผิวขาดน้ำในช่วงสภาพอากาในหน้าร้อน

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีอายุการเก็บรักษาเพียง 3 เดือนหลังจากเปิดใช้ครั้งแรกแต่คิดว่านั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะปูเป้ใช้ครั้งละ 3 ปั้มทั่วใบหน้าและลำคอมาทุกวันและพบว่ามันหมดในเวลาแค่ 1 เดือนครึ่งเท่านั้นล่ะ (หรือเราใช้เยอะเกินไป? แต่ว่าใช้แล้วโอเคเลยนะ)

Conclusion


โดยภาพรวมแล้ว PrimaPure : Intense Serum  เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของไทยที่พยายามนำส่วนผสมที่เขามีมาเพิ่มมูลค่าและนำเสนอออกมาได้ดี มีรูปลักษณ์ บรรจุภัณฑ์ และการทำตลาดที่ดูดีเลยล่ะ (แม้โดยส่วนตัวเรามองว่าตัวแพตเกจยังสามารถปรับปรุงได้อีกในแง่ของการดีไซน์และการใช้ Fonts) ผลที่ได้ค่อนข้างน่าประทับใจและเกินความคาดหมายหลายอย่าง หากผลิตภัณฑ์นี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมเราคงแนะนำให้ใช้ได้กับผิวที่พึ่งผ่านการทำเลเซอร์มาเลยเพราะจากงานวิจัยแล้วมันดูจะช่วยได้จริง ๆ แต่ในเมื่อมันมีน้ำหอมผสมมาและยังมีสารกันเสียที่เป็นข้อกังขาด้วยเราจึงขอเบรคคำแนะนำตรงนี้เอาไว้ก่อน

สำหรับคนที่สนใจในเรื่องของส่วนผสมรังนกเราหวังว่านี่จะเป็นข้อมูลที่ทำให้คุณมั่นใจมากขึ้นว่าคุณไม่ได้จ่ายเงินโดยเปล่าหรือมีเงินแต่โง่อย่างที่บางส่วนในสังคมครหา สำหรับคนที่ได้รับข้อมูลที่ไม่รอบด้านมาเราหวังว่าคุณจะเปิดใจให้กว้างขึ้นกับข้อมูลทางวิชาการที่พิสูจน์จับต้องได้ที่เรารวบรวมมาให้ ส่วนใครจะมองว่ามันเป็นการทรมานสัตว์หรืออะไรทำนองนี้เราคงจะบอกแค่ว่าการทำธุรกิจที่ยังยืนนั้นเขาจะไม่ทำร้ายนกที่มาทำรังที่มีค่าดั่งทองให้เขาหรอก บริษัทผู้ผลิตชี้แจงว่ารังนกเหล่านี้มาจากการทำสถานที่เพื่อให้นกมาทำรังโดยเฉพาะและเก็บเกี่ยวต่อเมื่อนกได้วางไข่และโตจนออกไปจากรังแล้วจึงจะเก็บมา ความจริงเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้เพราะเราก็ไม่เห็นด้วยตาตัวเอง เราให้ที่ว่างตรงนี้สำหรับทุกคนที่จะคิด วิเคราะห์ พิจารณา และเลือกสิ่งที่ตัวเองเชื่อและสบายใจกับมันละกัน เพราะถ้าคุณไม่สะดวกใจกับส่วนผสมที่ได้จากสัตว์ก็ยังมีส่วนผสมอื่น ๆ ที่เราสามารถหามาเพื่อบำรุงผิวได้

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

***Sponsored Item***

– PrimaPure : Intense Serum

PrimaPure : Intense Serum
FORMULA
GENTLENESS
SENSORY
RESULT
PUPE LOVE IT
PROS
  • ส่วนผสมเรียบง่ายและมีข้อมูลสนับสนุนเป็นส่วนใหญ่
  • สารสกัดรังนกมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวที่น่าสนใจ
  • เนื้อสัมผัสที่เหมาะกับทุกสภาพผิวและเหมาะกับสภาพอากาศของไทย
CONS
  • มีส่วนผสมของน้ำหอม
  • สารกันเสียในรูปของ Methylisothiazolinone
3.9Overall Score