ปีนี้เป็นปีที่ปูเป้ได้เดินทางบ่อยเยอะเป็พิเศษเลยล่ะ และหนึ่งในทริปที่น่าประทับใจของปีนี้ก็คือการไปเยือนเซี่ยงไฮ้เป็นครั้งแรกชีวิต ซึ่งทาง SK-II ได้จัดงาน Skin Destiny Decoded ซึ่งถือเป็น Global Event ครั้งที่สองที่ทางแบรนด์ได้จัดขึ้น (ปีก่อนจัดที่เกาหลีล่ะ)

 photo SK-IIShanghai01.png
การเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ในครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากน้องเตย PR ของ SK-II ช่วยจัดการเรื่องการขอวีซ่าและถึงขาไปจะมีปัญหานิดหน่อยเรื่องตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจเต็ม เราก็ชิลจ้า ชั้นประหยัดเราก็นั่งได้ แค่เขาให้เกียรติเลือกเราไปก็ดีใจแล้ว


เราบินไปในช่วงกลางวันดังนั้นจึงพกโน๊ตบุ๊ค Lenovo Idea Pad YOGA13 ไปนั่งปั่นบล็อกด้วยเลยทีเดียว

 photo SK-IIShanghai02.png

อาหารบนเครื่องเราเลือกเป็นข้าวมันไก่ย่าง ซึ่งรสชาติทำออกมาใช้ได้ตามมาตรฐานของเจ้าจำปี (การบินไทย)

หลังจากนั่งบนเครื่องบินนานกว่า 5 ชั่วโมง เราก็มาถึงเซี่ยงไฮ้ เมืองการค้าอันรุ่งเรืองของประเทศจีน เมืองที่เปลี่ยนความคิดและภาพที่มีเกี่ยวกับประเทศจีนว่าสกปรก ไม่เป็นระเบียบ ไปซะเกือบทั้งหมด (ก็ยังมีเหลือนิดหน่อย)

จีนเป็นประเทศที่เติบโตไวมาก สองข้างทางจากสนามบินมายังเซี่ยงไฮ้เราจะเห็นตึกที่อยู่อาศัยแบบใหม่ขนาดใหญ่ผุดขึ้นเต็มสองข้างทาง คือเป็นเมืองแบบ SimCity ที่ตึกแบบเดียวกันจะถูกก๊อปปี้สร้างติดกันเป็นแถบ ๆ 

การเดินทางในครั้งนี้เราไม่หลับเลย เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เรามาเมืองนี้ เราอยากรู้อยากเห็น และทุกอย่างเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเราไปหมดเลย ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย

 photo SK-IIShanghai03.png
หลังจากที่มาถึงและเอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมแล้ว ทางทีมงานของ Devries สิงคโปร์ ซึ่งเป็นเอเจนซี่ที่ดูแล SK-II Global ประเทศสิงคโปร์ก็มาพาปูเป้ไปกินอาหารเย็นที่ร้าน Restaurant Jardin de Jade ซึ่งอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เนื่องจากในทริปนี้เราไม่ได้เปิด Data Roaming ไป (ซึ่งเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง)

อาหารร้านนี้อร่อยดี เมนูแปลกตาและแปลกใจคือ เป๋าฮื้อปลอม ซึ่งทำจากเต้าหู้ปรุงรส (คือมาถึงที่นี่เพื่อกินเป๋าฮื้อปลอมเลยนะ 555) ส่วนอันที่สีเข้ม ๆ เหมือนจะไหม้คือปลาทอดคลุกซอสซึ่งอร่อยดี เปลือกนอกจะกรอบ ข้างในเนื้อยังฉ่ำอยู่เลย

คนที่ไปร่วมกินด้วยก็เป็นบล้อกเกอร์จากจีน ทุกคนก็พูดจีนกันโฉ่งฉ่าง เราก็ใบ้กินไปนิดนึงจนเอเจนซี่ที่พาไปด้วยก็พยายามชวนเราคุยเป็นภาษาอังกฤษ แบบว่าพยายามแปลให้ด้วยว่าเขาคุยอะไรกัน น่ารักที่สุด 🙂

 photo SK-IIShanghai04.png
หลังจากอิ่มแล้วเราก็กลับมาที่ห้องพักที่ Twelve at Hengshan ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือ Starwood อันโด่งดัง คือพอเปิดเข้าห้องไปดูถึงกับต้องร้องกรี๊ด ห้องใหญ่มากและหรูหราทีเดียว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อม และ Mini Bar ก็กินได้ตามใจชอบอีกต่างหาก ห้องน้ำก็ใหญ่โต

 photo SK-IIShanghai05.png
ที่ฟินสุด ๆ ก็คือมี Welcome Gift ที่เปิดมาเป็นผลิตภัณฑ์ SK-II Stempower (หรือ Essential Power ในไทย) มาให้ยกเซ็ตเลยล่ะ อร๊างงงงงงงงง คืนนี้นอนหลับฝันดีแล้วฮะ

 photo SK-IIShanghai06.png

หลังจากอาหารเช้าเราก็มีกิจกรรม Skin Destiny Gallery Walkthrough ซึ่งเป็นนิทรรศการที่แสดงเดี่ยวกับความเป็นมา และข้อมูลเบื้องหลังการค้นคว้า และการวิจัยของ SK-II ที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนแรกที่เข้าไปจะเป็นการบอกเล่าประวัติของผู้ใช้ที่ผูกพันธ์กับ SK-II มาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ และผู้ใช้ทั่วไปที่มีผิวที่ดีขึ้นหลังจากใช้ SK-II

 photo SK-IIShanghai07.png
นิทรรศการจะมี QR Code ซึ่งก่อนเข้างานเราจะได้รับ iPad และหูฟังเพื่อสแกนโค้ดเพื่อดูข้อมูลต่าง ๆ ของภาพนั้น นอกจากนี้ยังมีเสียงบรรยายซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีด้วย

 photo SK-IIShanghai08.png
อันนี้เป็นขวดแรกและดั้งเดิมของ Facial Treatment Essence ตั้งแต่ปี 1980 ซึ่งในตอนนั้นอยู่ภายใต้แบรนด์ Mac Factor โดยใช้ชื่อว่าSecret Key II Facial Treatment Essence ซึ่งคำว่า Secret Key II ก็กลายมาเป็นชื่อแบรนด์ SK-II ในปี 1984 นั่นเอง

สำหรับผู้หญิงในรูปด้านขวาคือคุณ Kaori Momoi ซึ่งเป็นแบรนด์แอมบสเดอร์คนแรกของ SK-II ตั้งแต่ปี 1994 มาจนถึงปัจจุบันนี้

 photo SK-IIShanghai09.png
อันนี้เป็นไฮไลท์ของงานในครั้งนี้เลย เพราะการศึกษาของเขาพบว่า ผู้ที่ใช้ SK-II Facial Treatment Essence ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ความเปลี่ยนแปลงของผิวทั้ง 5 มิติ และอายุของผิวนั้นจะหยุดที่อายุ 50 อันเป็นหัวใจหลักของงานในปีนี้ Skin Destiny เพราะคุณสามารถเลือกกำหนดชะตาของผิวคุณได้ และเริ่มต้นได้ด้วยการใช้ FTE ตั้งแต่วันนี้ (อะไรประมาณนี้แหล่ะ)

 photo SK-IIShanghai10.png


ชักภาพหมู่ร่วมกับทีม Media แบรนด์แอมบาสเดอร์ และคุณกิ๊ก จาก P&G ประเทศไทย ก่อนจบงานเบา ๆ

 photo SK-IIShanghai11.png
หลังจากนั้นเราก็แว่บออกไปหาอะไรหม่ำ ๆ ในแถบเมืองเก่าของเซี่ยงไฮ้ที่ห้อมล้อไปด้วยตึกสูงอยู่ลิบ ๆ อากาศร้อนได้ใจมากเลยคุณ

 photo SK-IIShanghai12.png
หนึ่งในร้านที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ Nanxiang Steamed Bun ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจาก Xiao Long Bao ของเขา ร้านนี้ต่อคิวนานมาก แต่ว่าเรามีคนจองโต๊ะให้เรียบร้อย มาถึงนั่งกินได้เลย

 photo SK-IIShanghai13.png
Xiao Long Bao อร่อยมาก น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม จะมีแบบไจแอ้นที่ต้องใช้หลอดจิ้มลงไปเพื่อดูดน้ำซุปด้วย รสกลมกล่อมแต่ว่าร้อนมาก ต้องระวังลวกปากให้ดี ส่วนผัดเขียว ๆ นี่อะไรม่รู้ จำไม่ได้ แต่ว่าผัดได้อร่อย ผักกรอบ ฉ่ำ รวชาติดี เบิ้ลสองจานเลยฮะอันนี้

 photo SK-IIShanghai14.png
หลังจากอิ่มแล้วก็เดินไปที่ Yuyuan Garden ซึ่งแปลว่าสวนแห่งความสุข ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 มาเพื่อเป็นที่พักอาสัยยามแก่ของคนสำคัญ (ที่เราจำรายละเอียดไม่ได้) บรรยากาศภายในร่มรื่นทีเดียว แต่เนื่องจกาเป้นช่วงหน้าร้อนของที่นี่ และคนก็เยอะ ก้เดินกันเหงื่อท่วมเหมือนกันนะ

 photo SK-IIShanghai15.png
ไปเจอต้นไม้ใบเปลี่ยนสีกำลังสวย เลยหามุมแชะมาได้รูปนี้ เราชอบมากเลยล่ะ

 photo SK-IIShanghai16.png
แต่ในขณะที่ทีมจากประเทศไทยได้ไปเยี่ยมชมตึกที่สูงที่สุดของเซี่ยงไฮ้ ปูเป้มีภารกิจต้องมาดูข้อมูลของผลิตภัณฑ์ที่จะออกใหม่ในช่วงปีหน้าของ SK-II ซึ่งหลายอย่างเป็นความลับและห้ามเปิดเผย แต่บางอย่างที่เอามาลงในนี้คือไม่เป็นความลับแล้ว และบางอย่างก็กำลังจะเริ่มวางจำหน่ายในไม่ช้า

แน่นอนว่าหลายคนคงจะเห็นขวด Limited Edition ของ Festive 2014 กันไปแล้ว แต่บอกว่ามันจะไม่จบอยู่แค่นั้นนะจ๊ะ ปี 2015 มีอีกลายให้ตามเก็บด้วยจ้า

 photo SK-IIShanghai16_1.png
อีกอันหนึ่งที่น่าจะเข้ามาในไทยช่วงต้นปี 2015 (เพราะเราไปเห็นที่เกาหลีแล้ว) ก็คือ Magnetic Wand ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกในวงการเครื่องสำอางที่ใช้เทคโนโลยี Tri-Magnatic ในการทำให้ส่วนผสมของครีมบำรุงสามารถซึมซาบได้ลึกขึ้น เร็วขึ้น และควบคุมได้มากขึ้น

โดยคลื่นแม่เหล็กที่เลือกใช้นั้นมีความจำเพาะกับส่วนผสมหลักใน Stempower Eye Cream อย่าง Niacinamide ซึ่งช่วยให้ดูดซึมของสารตัวนี้ดีขึ้นเกือบ 3 เท่า เมื่อเทียบกับการทาด้วยนิ้วมือเชียวนะ

 photo SK-IIShanghai16_2.png
Dr. Taro Yamaguchi ได้ทำการสาธิตให้เห็นความแตกต่างของคลื่นแม่เหล็กที่เลือกใช้ รวมทั้งยังตอบคำถามต่าง ๆ ที่เราสงสัยกันอีกด้วย

 photo SK-IIShanghai17.png
ช่วงเย็นปูเป้จะต้องนั่งแท๊กซี่จากโรงแรมตามมาที่ร้านอาหารคนเดียว ซึ่งก็หวั่นใจเล้กน้อย เนื่องจากการมาในครั้งนี้เราไม่ประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อใช้งาน Data Roaming ดังนั้นจากจากในโรงแรมแล้วก็คือตัดขาจากโลกออนไลน์ 100% เพราะไวไฟฟรีก็หาไม่เจอ หรือถ้าเจอคุณก็ใช้บริการออนไลน์หลายย่างที่ใช้ติดต่อเพื่อนๆ ไมไ่ด้อยู่ดีเพราะโดนบล็อคหมด (ถ้าเราเปิด Roaming ไป จะสามารถใช้ Line หรือ Google, facebook ได้ตามปกติ)

ทางโรงแรมก็เขียนการ์ดให้กับแท๊กซี่ให้มาส่งที่ร้านอาหาร ซึ่งก็เขียนเป็นภาษาจีน คนขับรถแท๊กซี่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พอมาถึงที่บริเวณ The Bund เขาก็ชี้ว่าเหมือนมีตำรวจอยู่ เขาไปจอดที่หน้าร้านไมไ่ด้ ก็ทิ้งเราลงที่ริมถนนตรงฝั่งริมแม่น้ำ แล้วก็ชี้ไปว่าร้านอยู่ตรงนู้น (แล้วตรงไหนล่ะคุณ)

ลองนึกสภาพนะคุณ กะเหรี่ยงจากไทย พูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกับเรา สมาร์ทโฟนใช้ประโยชน์ได้แค่เป็นไฟฉายเพราะโทรไมไ่ด้ ใช้เน็ทไม่ได้ เดินถือกระดาษถามคนที่เดินผ่านไปมาว่าไอ้ร้านนี่มันอยู่ตรงไหน ซึ่งถาม 20 คน 10 คนส่ายหน้าไม่รู้ อีก 3 คนทำไม่สนใจ อีก 7 คนชี้ไปคนละทาง…

 photo SK-IIShanghai18.png


ก็เดินวนเวียนอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกวิตกมากนัก (แจ่ก็ด้รูปสวย ๆ นะ) ตั้งแต่ตะวันเริ่มปริ่มที่ขอบฟ้า จนถึงฟ้ามืด สุดท้ายก็ไปถามคนที่ยืนเฝ้าประตูตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็บอกว่า ร้านที่ยูหามันก็อยู่ในตึกนี้นี่แหล่ะ หันขึ้นไปมองป้าย เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า The Bund 18 แล้วก้มลงมาดูในการ์ดที่โรงแรมเขียนให้ มีแต่ภาษาจีนขยุกขยุย (แล้วกรูจะรู้มั้ยยยยยยยยยย สราดดดดดด)

 photo SK-IIShanghai19.png
ร้านที่ทีม PR ของไทยเลือกมาให้เราได้กินเป็นลาภปากในครั้งนี้คือ Hakkasan ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนสไตล์แคนโตนีสอันขึ้นชื่อ แถมมี Michelin Star ด้วยนะ 

อาหารที่นี่ต้องบอกว่ากินแล้วน้ำตาจะไหล คือตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยกินอาหารจีนที่อร่อยแบบนี้เป็นครั้งแรก อิเป็ดปักกิ่งคาเวียร์นี่สุด ๆ แป้งหนานุ่มหนึบเล็กน้อย กับซสกลมกล่อม เป็ดหนังกรอบติดเนื้อชุ่มฉ่ำและคาเวียร์โปะหน้าทำเอาต่อมรับรสบนลิ้นโลดเต้นด้วยความฟิน (อันนี้เบิ้นสองจานฮะ)

 photo SK-IIShanghai21.png



อีกเมนูหนึ่งที่พชิตใจคนรักเนื้อได้ก็คือเนื้อผัดซอสพริกไทยดำที่เนื้อช่างจุ้ยซี่ หวาน ชุ่มฉ่ำเมื่อยามเคี้ยวซะเหลือเกิน ร้านนี้แพงมาก คือต้องกราบขอบพระคุณจริงๆ ที่พาเรามาเปิดประสบการณ์แบบนี้ ให้มาเองเราคงไม่มีปัญญามากินอ่ะ 555

 photo SK-IIShanghai24.png
หลังจากอิ่มหนำฝันดี เราก็ตื่เช้ารับวันใหม่พร้อมกับงาน Press Conferene อันเป็นไฮไลท์ของวันนี้ ซึ่งในเปิดตัวก็จะมี Kim Hee Ae จากเกาหลี Tang Wei และ Nini จากจีน และแม่นางกาลาเดรียล เอ๊ย Cate Blanchett มาด้วยล่ะ

 photo SK-IIShanghai25.png
Cate Blanchett สวยมาก งาม สง่า ออร่ากระจาย กราบงาม ๆ รัว ๆ 99 ที

อ้อ แม่ยางเป็นแฟนพันธุ์แท้ของตระกูล LXP ด้วยนะฮะ อยากสวยแบบเคทต้องขวดทองจ้าาาาาา

 photo SK-IIShanghai26.png



เด็ดที่สุดคือทาง SK-II ใจดีให้เราได้มีโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้จับมือและถ่ายรูปคู่กับดาราระดับโลกด้วย ตื่นเต้นมาก ใจเต้นไปหมดเลย Cate Blanchett น่ารักมาก ทีมงานของนางก็ไนซ์สุด ๆ

 photo SK-IIShanghai27.png
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่รอคอยมาหลายเดือน ถ้ายังจำกันได้เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปูเป้ได้ไปที่สิงคโปร์กับ SK-II และได้ทำการตรวจ DNA เอาไว้ ซึ่งการตรวจนี้จะดูที่ Gene 3 ชนิด เพื่อเช็คว่าเราเกิดมาพร้อมกับคุณภาพผิวระดับไหน

โดย gene ทั้ง 3 ชนิดที่เช็คก็ได้แก่

– GXP1 ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้เรื่องโทนผิว โอกาสเกิดจุดด่างดำ และความกระจ่างใส

– MMP1 จะเป็นตัวเช็คเรื่องคอลลาเจนว่าเรามีโอกาสเกิดร้ิวรอยได้เร็วหรือช้า

– SoD ซึ่งเป็นตัววัดว่าเรามีระดับของการต้านอนุมูลอิสระในเซลล์ตามธรรมชาติในระดับใด

ซึ่งผลที่ตรวจมาจากห้องแลปในญี่ปุ่นจะเป็นตัวเลข 1 – 3 โดยเลข 1 แปลว่าดี 2 คือปานกลาง และ 3 คือไม่ค่อยดีนัก เขาก็จะเอาตัวเลขของ Gene ทั้ง 3 ตัวนี้มาใส่ลงไปในเครื่อง Magic Ring เพื่อประมวลผล

 photo SK-IIShanghai28.png
ผลออกมาแสดงให้เห็นว่า โดยกำเนิดแล้วปูเป้คนคนที่มีผิวค่อนข้างดีและมีความสมดุลทั้ง 5 มิติ โดยคะแนนอยู่ในระดับ 64-71% ซึ่งได้รับความชื่นชมจากทีมงานว่าเป็นกราฟที่ค่อนข้างสมดุลมาก

 photo SK-IIShanghai29.png
สิ่งที่ทีมงานชื่นชมยิ่งกว่าคือผลจากการตรวจวัดสภาพผิวที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจากเครื่อง Magic Ring พบว่าสภาพผิวของปูเป้นั้นได้คะแนนที่ดีกว่าระดับของ DNA ตัวเอง

ผลของ DNA ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าผลของ Magic Ring นั้นเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพผิวที่เป็นอยู่ ดังนั้นจะมีคนที่คะแนน DNA ออกมาไม่ดี แต่ผล Magic Ring ดีมากเพราะเขาดูแลตัวเองดี แต่บางคนที่ผลของ DNA ดีมาก แต่การดูแลที่ไม่ดีหรือปล่อยปะละเลยทำให้คะแนนของ Magic Ring ออกมาแย่กว่า

ดังนั้นตัวเราเป็นผู้กำหนดอนาคตของผิวของเรา กรรมพันธุ์และ DNA มีผลเพียง 20% เท่านั้น อีก 80% ที่เหลืออยู่ที่ตัวเราทำจ้า

บริการตรวจ DNA นี้น่าจะเข้ามาในช่วงต้นปี 2015 อีกเหมือนกัน แต่เงื่อนไขการรับบริการจะเป็นอย่างไรนั้นต้องมาตามดูกันอีกที

 photo SK-IIShanghai30.png
หลังจากดีใจจากผลคะแนนของผิวที่ได้ ปูเป้ก็ได้ไปล่องเรือชมริมฝั่งแม่น้ำของเซี่ยงไฮ้ บรรยากาศยามอาทิตย์ลับขอบฟ้าสวยงามมาก

 photo SK-IIShanghai32.png



เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่ผสานความเก่าและใหม่ของตัวเองได้อย่างลงตัว ในขณะที่เราเห็นตึกสูงระฟ้า สถาปัตย์กรรมล้ำสมัยในอีกฝั่งหนึ่ง

 photo SK-IIShanghai31.png
ณ ฝั่งตรงกันข้าม เราจะเห็นสถาปัตยกรรมแบบเก่า ๆ กับตึกที่ถูกสร้างในสมัยยุคอณานิคมซึ่งถูกรักษาไว้ในสภาพดี ดูโรแมนติคมาก

 photo SK-IIShanghai33.png
หลังจากกินลมชมวิวสองฝั่งแม่น้ำแล้วก็แวะมากินข้าวที่ Shanghai Tang ซึ่งก็เป็นอีกร้านที่ขึ้นชื่อเหมือนกัน



อาหารในวันนี้ก็อลังการอีกเช่นเคย แม้ว่ารสชาติจะสู้ที่ Hakkasan ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าอร่อย (เพียงแต่ไปเจอที่อร่อยกว่ามาแล้วไง เลยดรอป)

 photo SK-IIShanghai34.png
ไฮไลท์ที่ทุกคนเห็นแล้วร้องอู้หูก็คือกุ้งมังกรตัวใหญ่กับซอสครีมที่หอมเนยฟุ้งต็มปาก

 photo SK-IIShanghai35.png



อีกเมนูหนึ่งที่สวยงามทั้งการจัดวางและรสชาติก็คือซี่โครงหมูน้ำผึ้งนี่แหล่ะ

 photo SK-IIShanghai38.png
หลังจาหลับเต็มอิ่มในคืนสุดท้ายที่เซี่ยงไฮ้เราก็พึ่งมีโอกาสได้เดินชิล ๆ รอบ ๆ บริเวณโรงแรมกันบ้าง ต้องบอกว่าเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่สวยงาม ผิดกับที่คิดมาก ฟุตบาท ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ร่มรื่น การเดินทางสะดวกสบาย มีรถไฟไต้ดินหลายสาย (แต่การขับรถก็ยังคงอันตรายอย่างที่เคยเห็นกันตามวีดีโอคลิป ยังไงก็ควรข้ามถนนอย่างระมัดระวัง) ซึ่งปูเป้มองว่าประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพ ถ้าอยากจะทำให้เป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นมหานครระดับโลกได้จริง ๆ ล่ะก็ แค่ฟุตบาทให้มันมีสภาพดี เดินสะดวก ไม่มีสิ่งกีดขวาง แผงลอยให้ได้ก่อนละกัน ถ้าทำไม่ได้ไม่ต้องฝันมโนไปไกลกว่านี้

 photo SK-IIShanghai39.png



ก่อนจะกลับบ้านเราก็ฝากท้องเบาๆ กับห้องอาหารของโรงแรมกันสักหน่อย

 photo SK-IIShanghai39_1.png
แวะถ่ายรูปกับทีมงานที่คอยดูแลเราตลอดการเดินทางในทริปนี้

 photo SK-IIShanghai39_2.png
ขอขอบคุณ พี่เจี๊ยบ พี่ขวัญ ที่เป็นกันเองกับปูเป้มาก และที่สำคัญคือคุณออยล์ และน้องเตยที่คอยอำนวยความสะดวกและสร้างความประทับใจในตลอดการเดินทางครั้งนี้

 photo SK-IIShanghai40_1.png



ขากลับไปยังสนามบินใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิด ๆ ก่อนที่จะถึงสนามบินเราได้เห็นรถ MagLev หรือรถไฟความเร็วสูงที่ใช้พลังแม่เหล็กไฟฟ้าในการขับเคลื่อนด้วยล่ะ ใครที่มาเซี่ยงไฮ้และมีโอกาสนั่งก็ควรนั่งนะฮะ เราเคยเห็นแต่ในสารคดี มาเห็นของจริงแล้วก็ดีใจ (จะดีใจกว่านี้ถ้าได้นั่งด้วย)

ส่วนสนามบินเซี่ยงไฮ้ใหญ่มากนะ แต่แห้งแล้งสุด ๆ ดูไ่มีอะไรเลย ไม่ได้สวยงามหรือมีร้านค้าเยอะแยะแบบของไทย ดิวตี้ฟรีง่อยมากจ้า

 photo SK-IIShanghai40.png



ขากลับนี้เราได้นั่ง Business Class ซึ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านอาหารเล็กน้อย อย่างแรกเลยคือขนมปังมีให้เลือกหลายแบบ และไม่ได้แข็งแบบปาหัวหมาแตกแล้ว

Cheese Plate ก็ไม่ได้จัดสำเร็จมาเลย แต่ว่าเป็นถาดมาให้ผู้โดยสารเลือกว่าจะเอาอะไรไม่เอาอะไรบ้าง ซึ่งมองว่าเป็นการปรับปรุงการบริการให้ดีขึ้น

จากการที่มีเพื่อนทำการบินไทย เราก็เข้าใจนะว่าเขาพยายามบริการให้ดีเพื่อที่จะชดเชยกับเครื่องบินที่เก่าและระบบอำนวยความสะดวกที่ล้าหลัง แต่เอาจริงๆ มันก็ชดเชยกันไม่ได้หรอก ก็หวังว่าการบินไทยจะทำอะไรสักอย่างในการอัพเกรดเครื่องบินให้อย่างน้อยมี USB Port ให้เราชาตมือถือระหว่างเที่ยวบินก็ยังดี

อ้อ อยากจิบอกว่าชามะนาวบนเครื่องอร่อยมากเลยนะฮะ ได้โปรดช่วยทำขายด้วย รับรองขายดิบขายดี

สุดท้ายนี้ปูเป้ก็ต้องขอขอบคุณทีมงาน SK-II และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง And also thank you to the PR girls from Devrie for taking a good care of me 🙂