เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ใครที่ตามใน facebook และใน Instagram คงจะได้เห็นปุเป้โพสรูปผลิตภัณฑ์คอลาเจนรูปแบบใหม่จาก BRAND’S กันไปแล้ว แต่ปูเป้ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนัก มีหลายคนสนใจและสอบถามกันเข้ามา วันนี้จึงขอให้ข้อมูลที่มากขึ้น รวมถึงข้อมุลที่ปูเป้ไปค้นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการทานคอลาเจน ว่ามีประโยชน์กับเราหรือไม่อย่างไร มาให้ได้อ่านกัน
BRAND’S InnerShine Marine Collagen Essence Strip เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลาเจนในรูปแบบ Strip ซอง ๆที่สามารถรับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องนำไปผสมกับอะไรก่อน
ส่วนประกอบหลัก ๆ ในแต่ละซองก็จะมี Marine Collagen Peptide 1,000 มิลลิกรัม กับ Vitamin E 2 มิลลิกรัม และ Niacinamide 4 มิลลิกรัม กับน้ำองุ่นเคียวโอเข้มข้น
ในหนึ่งกล่องจะมี 14 ซอง น้ำหนักซองละ 10 กรัม ราคา 420 บาท มีวางจำหน่ายที่ Home Fresh Mart และ Gourmet Market หรือสั่งซื้อได้ที่ 02-685-1212 และ http://www.brandsworld-online.com/innershine
จุดเด่นของ BRAND’S InnerShine Marine Collagen Essence Strip คือผลิตภัณฑ์จะอยู่ในซองแบบ Single Dose ที่ฉีกซิงปุ๊ปก็พร้อมรับประทานได้ทันที ทางผู้ผลิตต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบัน ที่ต้องการดูแลตัวเองแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการความสะดวกสบายไม่ยุ่งยาก ในหนึ่งซองให้พลังงานเพียง 15 กิโลแคลอรี่ คำแนะนำในการรับประทานคือ 2 ซองต่อวัน เนื้อผลิตภัณฑ์เหมือนขนมเจลลี่เจลาติน รสองุ่นหวานอมเปรี้ยว ถ้าแช่เย็นก่อนกินจะอร่อยมากขึ้นล่ะ
ว่าแต่ว่า การรับประทานคอลาเจนจะมีประโยชน์กับเราหรือไม่อย่างไร ปูเป้ไปเจอบทความที่น่าสนใจมาจึงอยากนำมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านเป็นข้อมูลเอาไว้
เนื้อหาในส่วนนี้สรุปย่อมาจากบทความ Effect of Marine Collagen Peptide on Skin Condition โดย Kenji Sato and Yasutaka Shigemura จากหนังสือ Marine Cosmeceuticals: Trends and Prospects ซึ่งตีพิมพ์ออกมาในเดือน ธันวาคม ปี 2011 ที่ผ่านมา
คอลาเจนเป็นโปรตีนลักษณะเกลียว 3 สายอันประกอบมาจากห่วงโซ่ของกรดอะมิโนหลายชนิด คอลาเจนมี Type ต่างต่าง ๆมากมายถึง 29 Type โดยในผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น ของคนเราจะมีปริมาณ Collagen Type I และ II เป็นส่วนใหญ่
เกลียว 3 สายของคอลาเจน เป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากกรดอะมิโนไม่กี่ชนิดเรียงตัวซ้ำกัน โดยโครงสร้างของคอลาเจนจะประกอบไปด้วย Gly-X-Y โดย Gly = Glycine ส่วน X และ Y จะเป็นกรดอะมิโนอื่น ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็น Pro = Proline และ Hyp = Hydroxyproline ซึ่งกระอะมิโนทั้ง 3 ชนิดนี้เป้นกรดอะมิโนชนิดไม่จำเป็น หรือกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถผลิตเองได้
เกลียว 3 สายของคอลาเจนนี้สามารถเสียโครงสร้างไปได้จากการโดนความร้อน ซึ่งจะเปลี่ยนรูปไปกลายเป็น “เจลาติน” ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ใช้กันทั่วไปการทำอาหารรวมถึงตำรับยาแผนโบราณ (ลองถึงการต้มซุบแล้วปล่อยให้เย็นแล้วน้ำซุบกลายเป็นเจลลี่ดูละกัน นั่นแหล่ะคือการสกัดเจลาตอนออกมาจากเนื้อ หนัง และกระดูกของสัตว์) การนำเจลาตินไปผ่านกระบวนการ hydrolysis ด้วยเอนไซม์ จะได้ hydrolyzed gelatin ซึ่งสามารถทำละลายในของเหลวเย็นได้ง่ายขึ้น ซึ่ง hydrolyzed gelatin ที่ว่านี้ก็จัดเป็น คอลลาเจนเปปไทด์รูปแบบหนึ่ง
รูปแบบของคอลลาเจนเปปไทด์สามารถได้มาจากสิ่งมีชีวิตหลายชนิด แต่ปัจจุบันที่นิยมกันก็คือคอลาเจนเปปไทด์จากปลา ซึ่งได้จากส่วนของเกล็ด ผิวหนัง และกระดูกปลา มาผ่านกระบวนการทางเอนไซม์ การใช้คอลลาเจนเปปไทด์เพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารถือเป็นตลาดที่ใหญ่มากในประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงถึง 300 ล้านดอลล่าสหรัฐ ในปี 2007
การศึกษาจากญี่ปุ่นในปี 2006 ในกลุ่มอาสาสมัครหญิง หลังจากรับประทาน คอลาเจนเปปไทด์ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ให้ผลตอบรับที่ดีจนน่าแปลกใจ โดยกลุ่มทดสอบให้ความเห็นว่าโดยรวมแล้วผิวมีความชุ่มชื้นที่ดีขึ้น รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ ก็ลดลง แต่จุดบอดของการทดสอบนี้อยู่ตรงที่ไม่ได้ใช้ Placebo Control (ไม่มีการใช้ยาหลอก) เพื่อเป็นตัวควบคุม
ในปี 2009 จึงมีการทำการทดสอบอีกครั้งเป็นรูปแบบ double-blind placebo-controlled โดยอาการสมัครเพศหญิงอายุ 25 -45 ปี โดยการวัดผลขอวงกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด จะเห็นว่าการทานคอลาเจนไปปไทด์ และไม่ทาน ให้ผลไม่ต่างกันมากนัก แต่เมื่อกำหนดกรอบแคบลงไป เป็นกลุ่มที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จะเห็นได้ชัดขึ้นว่ากลุ่มที่ทานคอลาเจนเปปไทด์ 5,000 – 10,000 มิลลิกรัม (5-10 กรัม) จะมีความชุ่มชื้นของผิวมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทาน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการทานคอลาเจนเปปไทด์สามารถช่วยเรื่องปัญหาเจ็บข้อได้
จากความรู้ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะอธิบายได้อย่างถ่องแท้ว่าการทานคอลาเจนเปปไทด์จะมีผลกับผิวหนังและระบบในร่างอย่างอย่างไรบ้าง แต่การทดสอบในสภาวะควบคุมนอกสิ่งมีชีวิต (In-Vitro) พบว่าส่วนประกอบหลักของคอลาเจนเปปไทด์อย่าง Proline และ Hydroxyproline นั้นมีผลกับการทำงานของ Fibroblasts และการสังเคราะห์ extracellular components ซึ่งรวมถึงคอลาเจนและไฮยาลูโรนิคแอซิดด้วย ซึ่งมีการตั้งสมมุติฐานว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมผิวหนังจึงมีความชุ่มชื้นมากขึ้น
บทความนี้ทิ้งท้ายไว้ว่ายังต้องมีการศึกษามากกว่านี้เพื่อค้นหาคำตอบเรื่องการทำงานระดับโมเลกุลของคอลาเจนเปปไทด์เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกาย จนกว่าจะถึงตอนนั้น ประเด็นนี้ยังคงจะเป็นเรื่องที่มีข้อถกเถียงกันต่อไป…
ปูเป้ก็หวังว่าการสรุปบทความของปูเป้ที่ทำเอาไว้ด้านบนคงจะเข้าใจไม่ยากเนอะ โดยส่วนตัวแล้วปูเป้ก็ยังมองว่า การทานคอลาเจนเสริมนั้น สามารถทานได้ ไม่ได้เป็นอันตราย และจะบอกว่ามันไม่มีประโยชน์เลยก็คงบอกแบบนั้นไม่ได้ เพียงแต่ปูเป้ก็อยากให้ทุกคนมองว่า ในเมื่อสารที่เป็นองค์ประกอบหลักของคอลาเจนนั้นล้วนแต่เป็นกรดอะมิโนชนิดไม่จำเป็นที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารให้ครบหมวดหมู่ การออกกำลังกาย การพักผ่อน เพื่อให้การทำงานของเซลล์อยู่ในสภาพที่ดี รวมถึงการใช้สำอางบำรุงผิว เติมความชุ่มชื้น ต้านอนุมูลอิสระ ทาผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นประจำทุกวัน ก็ทำให้ผิวและสุขภาพของเราดีได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ปูเป้ก็ไมได้แอนตี้การทานคอลาเจน (เฉกเช่นเดียวกับที่ปูเป้ก็ไม่ได้แอนตี้เรื่องการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างวิตามินอื่น ๆ เพราะส่วนตัวก็ทานอยู่) เพราะเมื่อมองในความเป็นจริงแล้ว ปูเป้บอกจากตัวเองเลยว่าการทำงาน การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ก็ไม่สามารถทานอาหารได้ครบหมู่ ไม่สามารถทานผักได้ครบ 5 สี (บางวันไม่ได้ทานเนื้อด้วยซ้ำไป) บางวันนอนตี 3 ตื่น 7 โมงเช้า ดังนั้นการทานเสริมในสิ่งที่ตัวเองขาดก็สามารถทำได้ โดยคำนึงถึงความจำเป็น และรวมถึงค่าใช้จ่ายด้วย
สำหรับตัว BRAND InnerShine Marine Collagen Essence Strip ปูเป้รู้สึกว่ามีดีตรงที่เป็นรูปแบบเจลลี่ในซองที่พกสะดวก และทานได้ทุกเวลาที่ต้องการ ที่ปูเป้ชอบคือมันทานง่ายและอร่อยดี ถือเป็นเทรนด์ใหม่ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่น่าสนใจ