วันแม่ปีนี้ปูเป้มีของขวัญจะเซอไพรซ์มะม๊ามากมายและทุกชิ้นมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น… ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหาว่ามาอวดรึเปล่า แต่ผมก็แค่รู้สึกเต็มอิ่มในใจ จนอยากมาแชร์ความรู้สึกนี้ให้กับทุก ๆ คนที่คอยติดตามบล็อกของมาด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่จำความได้ ผมบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “รักมะม๊าที่สุด” แต่กลับใช้เวลาเกือบ 20 ปีกว่าจะรู้สึกตัวว่าที่จริงแล้วผมไม่ได้ให้ความสำคัญ ไม่ได้สนใจหรือรับรู้ความรู้สึกของมะม๊าอย่างจริงจัง ผมเคยบอกว่า “แคร์มะม๊ามากที่สุด” แต่ผมก็ยังทำตัวไม่ดีให้ท่านต้องเสียใจ ยังก่อปัญหาให้ท่านต้องกลุ้มใจอยู่บ่อยครั้ง
จนเกิดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมแทบไม่เป็นผู้เป็นคน กับความรักที่ผมหวังมันมากเกินไป ฝันมากเกินไป รักมากเกินไป แล้วสุดท้ายก็พังแบบไม่มีชิ้นดี คนที่นั่งร้องไห้และกอดผมเอาไว้ คอยปลอบใจ ให้กำลังใจอยู่ตลอด คนที่คอยมอบความรักให้ผมโดยไม่เคยเรียกร้องอะไรกลับคือ ก็คือ “มะม๊า” …ไม่ใช่เขาคนนั้น…
ตอนที่ความรักยังหวานชื่น ชีวิตของผมก็อยู่กับ(อดีต)แฟนตลอด เวลาอื่นที่เหลือก็เอาไปใช้กินเที่ยวกับเพื่อนฝูง ผมไม่ค่อยจะไปทานข้าวกับมะม๊าในวัน Family Day ทุกสัปดาห์เหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ทานข้าวร่วมโต๊ะอาหารในตอนเย็นเพราะมัวแต่เล่นเกมส์อยู่ในห้อง ในยามรักล่มทำชีวิตหักเห ช่วงนั้นอายุใกล้เบญจเพศเข้าไปทุกที จบมหาลัยมาก็หลายปีแต่ก็ยังไม่ได้ทำงานประจำเป็นหลักแหล่ง ผมจึงมีเวลาอยู่กับมะม๊ามากขึ้นในช่วงนั้น ช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แบ่งเบาภาระเท่าที่จะทำได้…
ผมก็ได้เห็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้เห็น หรือบางทีผมอาจทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจ… ผมได้รับรู้ปัญหาของทางบ้านมากขึ้น รู้ถึงปัญหาการเงินว่าจริง ๆ แล้วว่าฐานะของทางบ้านไม่ได้ดีเหมือนก่อน เงินที่ผมใช้จ่ายอย่างไม่เห็นค่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น มะม๊าต้องอดออมในส่วนของตัวเองเพื่อที่จะเอาเงินมาให้ผมไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เพื่อให้ผมไม่ต้องรู้สึกว่า “ขาด” หรือ “ด้อย” กว่าเพื่อนคนอื่น
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่ที่สุด ผมนั่งร้องไห้เมื่อคิดสิ่งต่าง ๆ ที่มะม๊าทำให้ผมมาตลอดแต่ผมกลับไม่เคยตอบแทนอะไรให้มะม๊าได้ชื่นใจ มะม๊าไม่เคยบ่น ไม่เคยด่าว่า และไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผมเลย… สิ่งเดียวที่มะม๊าเคยเรียกร้องจากผมคือ “ขอให้เรียนมหาลัยให้จบจะได้ทำงานดูแลตัวเองได้ เพราะม๊าก็ไมได้อยู่ค้ำฟ้าเลี้ยงเราไปได้ตลอดหรอกนะ”
จากที่ไม่เคยคิดถึงอนาคตมากนัก แต่ตอนนี้ผมมีเป้าหมายใหม่ในชีวิตแล้ว นั่นก็คือต้องทำงานให้หนัก หาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อที่จะให้มะม๊าได้อยู่อย่างสุขสบาย… แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะทำ ผมไมไ่ด้เรียนเก่ง โดดเรียนก็บ่อยทำให้ได้กรดไม่ดีนักตอนอยู่มหาวิทยาลัย และก็ดันเรื่องมากไม่อยากทำงานออฟฟิสหรืองานนั่งโต๊ะ ซึ่งมักเป็นงานในสาขาที่ผมเรียนมาเสียด้วยสิ… ผมจึงเลือกเรียนต่อในสายอาชีพ การทำเบเกอรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูเป้รักโดยหวังว่าจะได้เป็นเชฟที่มีชื่อเสียง ให้มะม๊าได้ภูมิใจ และหาเงินได้เยอะพอที่จะเลี้ยงดูมะม๊าอย่างสุขสบายได้…
ทว่าชีวิตการทำงานไม่ใช่เรื่องง่าย หนทางสู่การเป็นเชฟในโรงแรมชื่อดังมันช่างดูตีบตันนักในไทย เงินเดือนพนักงานชั่วคราวไม่กี่พันลำพังแค่ช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวยังไม่ค่อยจะพอ แล้วจะเหลือเก็บไปเลี้ยงมะม๊าได้ยังไง… แถมในช่วงนั้นคุณพ่อล้มป่วยเป็นโรคหัวใจแบบกระทันหัน ต้องบอลลูนหัวใจทันที ค่าใช้จ่ายหลักแสนในช่วงที่ครอบครัวกำลังลำบากทำให้ที่บ้านเครียดกันหนัก ช่วงนั้นชีวิตเหมือนจะไร้ทางออก นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มเข้าวัดเข้าวา เริ่มทำบุญเพื่อหาหลักยึดเหนี่ยวให้จิตใจมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนเลย (จะเรียกว่าพวกนอกรีต ไร้ศาสนา บาปหนาก็ได้นะ)
เมื่อการสัมภาษณ์เพื่อเป็นผู้ช่วยเชฟในเรือสำราญแถวยุโรปได้รับการตอบสนองทำให้ชีวิตดูมีความหวังมากขึ้น ถึงจะเป็นงานที่ต้องอยู่ไกลบ้านเกือบครึ่งปีในแต่ละครั้งแต่ค่าตอบแทนก็คุ้มค่า (แถมไม่มีเวลาได้ใช้เงินด้วย มีเหลือเก็บบาน…) แต่แล้วผมก็พลาดทริปเรือนั้นไปถึงสองครั้ง เพราะทางราชการออก Certificate ไม่ทันในครั้งแรก และครั้งที่สองคือการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้… ในระหว่างนั้นผมก็เริ่มทำงานพิเศษเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในบ้านบ้าง และเริ่มทำ Blog เกี่ยวกับเครื่องสำอางบำรุงผิวเป็นงานอดิเรกยามว่าง ให้ผมได้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองรักบ้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
หนึ่งปีผ่านไป Blog ของผมก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ผมได้พบปะผู้คนดี ๆ และเพื่อนใหม่ ๆ มากมายที่คอยช่วยเหลือ สนับสนุน และเสนอโอกาสทางการงานในด้านต่าง ๆ ทั้งงานเขียน งานวิทยากร และอื่น ๆ จนถึงตอนนี้ที่งานเริ่มเยอะ มีรายได้มาจุนเจือทางบ้านและยังมีเงินเหลือเก็บ ถึงแม้จะไม่มากนักแต่ผมยังไม่เคยลืมคำที่เคยบอกตัวเองว่าอยากทำให้มะม๊ามีความสุข ในวันแม่นี้ ปูเป้จะขอให้ของขวัญแบบเป็นชิ้นเป็นอันเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี เพื่อคนที่ผมรักที่สุดในชีวิต
ก่อนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ไม่กี่สัปดาห์ เจ้าแมวตัวดีที่เลี้ยงไว้แอบเข้าไปปล่อยกลิ่นในกระเป๋าสะพาย Bally ของมะม๊า จนต้องเอามาเช็ดทำความสะอาด แต่ตากเอาไว้ในห้องน้ำหลายวันกลิ่นก็ไม่จางไปสักที จึงมะม๊าไปหยิบเอากระเป๋า Kiplink (สะกดถูกป่ะ?) ออกมาใช้แทนผมเห็นด้ายที่รุยมาจากขอบของกระเป๋าลิงใบนั้น สีของเนื้อผ้าก็มอ ๆ เก่า ๆ แล้วผมก็ย้อนกลับมาดูกระเป๋า Bally ที่ห้อยไว้ในห้องน้ำอย่างพินิจ โลหะที่เคยชุบทองนั้นตอนนี้หลุดลอกจนเป็นสีเงินเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็คิดว่าจริง ๆ แล้วผมไม่ได้เห็นมะม๊าซื้อกระเป๋าใบใหม่เลยในช่วงเวลาเกือบสิบปีนี้ กระเป๋า Bally ใบนี้ถ้าผมจำไม่ผิดผมเห็นตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมต้นเสียด้วยซ้ำไป
ผู้หญิง… ยังไงก็อยากใช้ของสวย ๆ อยากแต่งตัวให้ดูดี ผมว่ามะม๊าก็คงไม่ต่างกัน แต่ก็พยายามประหยัดเพราะที่บ้านก็มีภาระค่าใช้จ่ายไม่น้อย คุณพ่อก็มาเป็นโรคหัวใจทำงานมากไม่ได้ ภาระในการหาเงินเข้าบ้านจึงอยู่ที่มะม๊าเป็นส่วนใหญ่
ในตอนนี้ที่ปูเป้พอจะช่วยเหลือทางบ้านได้แล้ว มีเงินเก็บอีกส่วนหนึ่งก็เลยอยากให้มะม๊าได้ใช้กระเป๋าใบใหม่ แต่ด้วยความไม่เคยสนใจกระเป๋าแบรนด์เนมมาก่อนเลย ก็เลยไม่รู้จะเลือกยังไง… แบรนด์ไหนดี… ราคาไม่แพงจนเกินงบ 15,000 ที่ผมตั้งเอาไว้ แต่ผมก็โชคดีที่ได้เพื่อนๆ และผู้ที่ติดตามอ่าน Blog มาช่วยกันแนะนำใน Facebook หาตัวเลือก หาแหล่งที่ซื้อราคาไม่แพงมาให้เต็มไปหมด (และเป็นครั้งแรกที่ผมเข้าเวป Siambrandname ที่ผมเคยได้ยิน แต่ไม่เคยคิดจะไปเปิดดูมาก่อนเลยในชีวิต)
ผมเคยเห็นมะม๊าไปเดินดูกระเป๋าใส่เงินในแผนกกระเป๋าของพารากอน (มารู้ทีหลังว่ากระเป๋าใบเดิมขาดจนซ่อมไมได้แล้ว) มะม๊าหยิบกระเป๋าขึ้นมาใบนึงขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาเปิดดูข้างในเหมือนกับถูกใจมาก แต่พอพลิกป้ายราคาขึ้นมาดูก็เหมือนชะงักไปแปปหนึ่งก่อนจะวางลงที่เดิม มะม๊ากับปูเป้ไปเดิน MBK เพื่อดูกระเป๋าสตางค์ที่ราคาถูกกว่ามาก (แต่ไม่สวยเลย) แต่ผมก็บอกว่าไม่ต้องซื้อหรอก เดี๋ยวไปญี่ปุ่นจะหาแบบที่สวย ๆ มาให้เอง มะม๊าก็ยิ้มนิด ๆ วางกระเป๋าลง แล้วก็เดินไปหาอะไรทานกัน (แม่ค้าแผงกระเป๋าคงนึกด่าเราในไว้ว่า “ไอ้ตัวขัดลาภ”)
ก็เคยได้ยินคนเม้ามอยมาว่า “อั้ม พัชราภา” ไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมือสองสภาพนิ้งราคาไม่แพงที่ญี่ปุ่น เราก็หวังจะทำบ้าง แต่ด้วยความที่ช่วงก่อนจะไปญี่ปุ่นมีงานยุ่งมากจนไมได้หาข้อมูลอะไรก่อนเลยแม้แต่น้อย แถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เป็น คนญี่ปุ่นก็ไม่พูดอังกฤษด้วย การจะไปถามทางเพื่อหาซื้อนั้นมีความเป็นไปได้คือ “0” แต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะโชคดี เดินเจอเองโดยบังเอิญ (มองโลกในแง่ดีจริงๆ )
โชคไม่เข้าข้างนัก หลังจากการเดินจนขาแทบหลุด ผมไม่เจอร้านขายกระเป๋ามือสองเลยสักที่ (เจอแต่ร้านขายเครื่องสำอางกับของกิน) กลับมาก็บอกมะม๊าว่าหากระเป๋าให้ไมได้นะ มะม๊าก็ยิ้มแล้วก็บอกว่า “ไม่ต้องหรอก ก็ซื้อของที่ตัวเองอยากได้ หรือซื้อของฝากเพื่อนไปแหล่ะดีแล้ว” แต่ผมไม่ล้มเลิกความตั้งใจหรอก
ทว่าการหากระเป๋าใส่เงินแบบที่มะม๊าชอบ + สวย + ดูดี ในราคาที่กำหนดไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะที่ราคาไม่กี่พันก็ตัดเย็นไม่เรียบร้อย ที่ดูดีหน่อยเห็นราคาแล้วก็แทบหัวใจวาย…
ตอนเด็ก ๆ และตอนวัยรุ่น มะม๊าเครื่องสำอางให้ผม ตอนนี้แหล่ะปูเป้จะซื้อเครื่องสำอางให้มะม๊าบ้าง…
มะม๊าเป็นคนที่มีความ Loyalty กับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งมาก ๆ อาจเป็นเพราะไม่ชอบเปลี่ยนแปลงอะไร…ใช้อะไรก็ใช้อยู่อย่างนั้น เครื่องสำอางที่มะม๊าใช้ครั้งแรกตั้งแต่สมัยยังสาวจนถึงงทุกวันนี้กว่า 40 ปีมาแล้วก็คือ Lancome
ถึงแม้ปูเป้จะหลอกล่อต่าง ๆ นาน ๆ ให้มะม๊าไปใช้แบรนด์อื่น ๆ ที่คัดให้แล้วว่าส่วนผสมดี ราคาประหยัดกว่า ซื้อมาประเคนให้ถึงที่ พอถามว่าใช้แล้วดีไหม มะม๊าก็จะตอบเป็นแพทเทอร์นเดิมเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “ม๊ารู้สึกว่าตอนที่ใช้ Lancome หน้าหน้ามันดูกระจ่างกว่า” โอ้ว!!! ไอ้ครีมกลวง ๆ ไม่มีอะไรเลยแบบนั้นมันจะไปสู้ครีมที่อัดแน่นไปด้วยสารบำรุงที่ปูเป้เลือกให้ได้ยังไงกัน!!!! แต่… ก็คนมันชอบนะครับ ผมก็เลยต้องตามใจมะม๊าซะหน่อย
ปกติ Lancome Bienfait SPF 30 ขวดเดียวก็ เกือบ 50US$ แล้ว แต่ไปเจอชุดพิเศษ 3 ชิ้นนี้ในราคาแค่ 49.50 US$ จึงรีบสั่งมาทันที
ส่วน Kiehl’s : Powerful-Stength Line-Reducing Concentrate ที่มีวิตามินซี 10.5% อันนี้ปูเป้ซื้อให้มะม๊ามาสองขวดแล้ว เหมือนจะเป็นสินค้าแบรนด์อื่นตัวเดียวที่มะม๊าบอกว่าใช้แล้วดี จุดด่างดำจางลง (แต่ต้องใช้คู่กับ lancome ด้วยนะ ใช้กับแบรนด์อื่น มะม๊าก็ว่าสู้ตอนใช้คู่กับ Lancome ไม่ได้อีกนั่นแหล่ะ เฮ้อ….) เห็นขวดเก่ากำลังจะหมดก็เอาให้อีกขวดไปเลยละกัน
ปกติผมไม่ค่อยได้อยู่เห็นตอนที่มะม๊ากำลังแต่งหน้านัก ก็ไม่ไ่ด้สังเกตุหรอกว่ามะม๊าใช้อะไรแต่งหน้า จริง ๆ ไม่ไ่ด้สังเหตุเลยด้วยซ้ำว่ามะม๊าได้ซื้อเมคอัพอะไรมาบ้างรึเปล่า (เพราะสนใจแต่พวกครีมบำรุง)
มีวันนึงปูเป้จะรีวิว Cleansing ล้างเครื่องสำอางก็เลยไปขอพวกเมคอัพ อายชาโดว์ ลิปสติก และอื่น ๆ ของมะม๊ามา เพื่อจะได้ลองทาแล้วดูว่า Cleansing จะล้างออกได้ดีแค่ไหน มะม๊าไปที่ตู้เย็นช่องเก็บผักแล้วก็หยิบพาเลตแต่งหน้าขนาดใหญ่บิ้กบึ้มของ Lancome มาให้ แต่พาเลตนี้ทำไมมันไม่ค่อยคุ้นเลย ปีก่อน หรือสองปีก่อนก็ไม่เห็นจะมีที่ใหญ่แบบนี้วางขาย เลยถามว่ามะม๊าแอบไปซื้อมาตอนไหน
“ประมาณสิบปีก่ิอน” มะม๊าตอบหน้านิ่ง ๆ แต่ปูเป้ถึงกับตาเหลือกอ้าปากค้าง
“สิบปี!!!!!!! “ม๊า!!! นี่มันตู้เย็นนะ ไม่ใช่ตู้กาลเวลา…. เก็บมา 10 ปีแล้วม๊ายังกล้าใช้ไปได้ยังไงเนี่ย เกิดอายชาโดว์ละลายหลุดเข้าตา ตาไม่บอดเอาหรอ!!!”
“ก็ใช้มาตั้งนาน ไม่เห็นจะเป็นไร…” ผมถึงกับกุมขมับ…โถ มะม๊าที่รักครับ ต้องรอให้มันเป็นอะไรก่อนรึไงถึงจะซื้ออันใหม่เนี่ย ก็เข้าใจครับว่ามะม๊าอยากประหยัดทุกอย่าง แต่ก็ทำให้ปูเป้อดไม่ได้จริง ๆ
ก็พยายามหาพาเลตที่คล้ายกับของที่มะม๊ามี แต่ก็หาไม่ได้เลยสักที ล่าสุดโชคดีมากที่เวป Norsstrom มีช่วงโปรโมชั่น ของแถมของ Lancome กับ Estee Lauder มีพาเลทบรัชออน อายชาโดว์ ลิปสติค มาสคาร่าพอดิบพอดี แถมสีก็เป็นสีเบสิคเรียบ ๆ เหมาะกับมะม๊าด้วย ก็เลยได้ของที่อยากให้มะม๊ามาโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เลยจะเอาเงินตรงนี้แหล่ะพามะม๊าไปทานข้าวในวันแม่ซะหน่อย 😀
ปูเป้จะพยายามต่อไปในทุก ๆ เรื่องครับ อยากให้มะม๊าภูมิใจในตัวลูกคนนี้ อยากให้มะม๊าเอาลูกตัวเองไปอวดกับเพื่อน ๆ ได้ อยากให้มะม๊าได้ทำในสิ่งที่เคยต้องถอดใจ อยากให้มะม๊าได้กินของอร่อย ๆ ได้เที่ยวชมพักผ่อนในที่สวยงามเท่าที่อยากจะไป ได้ใช้ของที่มะม๊าอยากได้
สุดท้ายนี้ ก็ขอให้ทุกคนรักคุณแม่ให้มาก ๆ นะครับ เพราะคงไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่ไปกว่ารักของแม่อีกแล้ว 🙂
PuPe_so_Sweet รักมะม๊าที่สุด!!!
Update ตอนนี้เอาของขวัญให้เรียบร้อยแล้วครับ มะม๊าดีใจมาก แต่แกะของขวัญไปก็บ่นไปว่าซื้อทำไมของแพงแบบนี้ ทำไมไม่เก็บเงินไว้ใช้เองล่ะ แต่มะม๊าก็ดีใจมากครับ
มีตอนนึงมะม๊าเอารูปเก่า ๆ ตอนที่ปูเป้เด็ก ๆ ที่ม๊าเก็บเอาไว้ในเซฟส่วนตัวมาดูด้วยกัน มะม๊าไมไ่ด้ร้องไห้ครับ แต่ลูกคนนี้บ่อน้ำตาแตกแทน เห็นแล้วเรารู้สึกได้เลยว่าม๊ารักเรามากแค่ไหน
วันนี้มีความสุขครับ