นวัตกรรมเพื่อความงามไม่เคยหยุดนิ่งและเทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้นทำให้เทรนด์ของ Beauty Gadgets ขยายเติบโต แต่เดิมจะมีบริษัทเล็กบริษัทน้อยหรือบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เข้ามาลงในตลาดนี้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปและเริ่มมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนมากขึ้นมีหรือบริษัทความงามจะพลาดโอกาสที่ดี ล่าสุด Neutrogena เหมือนจะเป็นแบรนด์แรกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Light Therapy ในการใช้แสงเพื่อความงามและสุขภาพของผิวมาสู่ตลาด Mass Market ซึ่งมีราคาเข้าถึงได้ง่ายเป็นเจ้าแรก
เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาปูเป้ได้รับเชิญเป็นหนึ่งใน KOL ทางด้านความงามเพื่อไปร่วมกิจกรรมที่ทางแบรนด์จัดขึ้นเพื่อนัดรวมตัว KOL ทางด้านความงามในเอเชียเป็นครั้งแรกของเขา ในงานนี้เขาพาเรามารู้จักกับจุดกำเนิดของแบรนด์ Neutrogena รวมถึงนวัตกรรมและคำมั่นสัญญาที่เขามีต่อผู้บริโภคในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และตอกย้ำถึงการเป็นแบรนด์สกินแคร์อันดับหนึ่งที่แพทย์ผิวหนังในอเมริกาแนะนำ
เรารู้จักผลิตภัณฑ์ Neutrogena มานานแล้วและเราสังเกตว่าโทนของผลิตภัณฑ์ในอเมริกาและในเอเชียจะมีความแตกต่างกันในระดับหนึ่ง ในขณะที่อเมริกาภาคของผลิตภัณฑ์รักษาสิวและในส่วนของริ้วรอย รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับผิว Sensitive จึงทำให้ภาพของแบรนด์ที่เป็น Dermatologist Recommended จะค่อนข้างชัดมาก ส่วนในฟากเอเชียภาพของ Neutrogena จะดูมีความลั่นล้า ผลิตภัณฑ์จะเน้นไปในกลุ่มทำความสะอาด ไวท์เทนนิ่ง และ Hydration และตัวเลือกที่ Fragrnae-Free มีไม่มาก ทำให้ภาพไปในเชิงของ Beauty Brand มากกว่า (ซึ่งเราก็คอมเมนต์เขาไปแล้วล่ะ)
งานนี้เขาพยายามปิดเป็นความลับพอสมควรว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะเป็นหน้าตาอย่างไร แต่จริง ๆ เราก็แอบเดาได้อยู่แล้วตั้งแต่ชื่อโปรเจคงานว่า Light Mask ว่ามันจะต้องเป็นการใช้แสงแน่นอน และก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือนทางอเมริกาก็มีการออกผลิตภัณฑ์ที่เป็น Light Therapy Acne Mask แต่เน้นจุดขายสำหรับเรื่องการลดสิวซึ่งเรื่องสิวดูเหมือนจะไม่ใช่โฟกัสหลักของแบรนด์ในฟากเอเชีย
ในฟากเอเชียนั้นทาง Neutrogena ได้นำเสนอออกมาในกลุ่มของ Fine Fairness Light Mask ซึ่งใช้หลักการของคลื่นแสงในช่วงแสงสีแดง และพลังงานในช่วงคลื่นของรังสีอินฟาเรด ซึ่งเคลมว่าจะช่วยให้ผิวกระจ่างขึ้นและกระตุ้นให้ผิวมีความเฟริมกระชับขึ้นไปในตัว เป็นตัวเสริมที่ใช้ควบคู่ไปกับสกินแคร์ที่ใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งในงานก็มีการเปิดเผยข้อมูลที่ทำการทดสอบภายในว่า การใช้ Neutrogena : Fine Fairness Light Mask ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ Skincare ในกลุ่ม Neutrogena : Fine Fairness ไปด้วยจะทำให้ได้ผลที่ดียิ่งขึ้นกว่าการใข้เพียง Light mask อย่างเดียว
ฟังดูดี แต่ว่าเทคโนโลยี Light Therapy ใช้แสงสีพวกนี้มันมีที่มาอย่างไร? มีข้อมูลอะไรที่จะมาสนับสนุนบ้างหรือไม่? และผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายให้เอาไปใช้ที่บ้านมีความแตกต่างอย่างไรกับเครื่องที่อยู่ตามคลีนิคผิวหนัง? ยิ่งไปกว่านั้น คุ้น ๆ ว่าเมื่อปีก่อนปูเป้พึ่งเขียน blog เกี่ยวกับภัยของพวกแสงและคลื่นอินฟาเรดที่ก่อผลลบกับผิวไม่ใช่รึ? แล้วอีพวกอุปกรณ์ที่ใช้แสงและคลื่นรังสีพวกนี้มันจะให้ประโยชน์กับผิวยังไง? เจ๊งง!!! เจ๊สับสน!!!
เจ๊อย่าพึ่งงง เจ๊จงไว้ใจและศรัทธาในวิทยาศาสตร์!!!
ของทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้อยู่ความพอดีและความเหมาะสม ไม่มีอะไรมีข้อดีอย่างเดียวและไม่มีอะไรที่มีแต่ข้อเสียอย่างเดียว ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาประจำอย่างน้ำที่ดื่มกินถ้าน้อยไปก็ตายมากไปก็ตายต้องกินให้พอดี ตัวอย่างที่เห็นภาพขึ้นมาอีกหน่อยก็อย่าง Botulinum Toxin ที่เป็นสารพิษที่ร้ายแรงมหาศาลแต่เมื่อมาเจือจางและถูกฉีดอย่างเหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถเอามาใช้ลดเลือนริ้วรอยได้ เอามาฉีดลดปริมาณเหงื่อใต้วงแขนได้และอีกหลายอย่าง ฉันใดก็ฉันนั้นกับพวกรังสี UV ก็ดี พวกแสง Visible Light ก็ดี หรือคลื่นรังสี Infrared ก็ดี เมื่อถูกควบคุมและถูกนำมาใช้ในสภาวะที่เหมาะสม มันก็ก่อประโยชน์กับเราได้ อย่างรังสี UVB ที่ควบคุมช่วงคลื่นและความเข้มข้นที่ได้รับก็ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินได้ เช่นเดียวกันกับแสงสีต่าง ๆ ของ Visible Light ก็มีประโยชน์ในแง่ต่าง ๆ กับผิวที่ต่างกันไป รวมไปถึง Infrared ก็เช่นกัน
ข้อมูลที่น่าสนใจคือเมื่อมีการทดสอบโดยการใช้ Visible Light ทั้งช่วงคลื่น (400-700 นาโนเมตร) เขาพบว่ามันกระตุ้นการเกิดจุดด่างดำได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะในคนที่มีผิวสีเข้ม แต่การศึกษาหลังจากนั้นลองทดสอบโดยใช้ Visible Light ในช่วงคลื่นที่จำเพาะออกมาเขาพบว่าแสงสีม่วง-น้ำเงินในช่วงคลื่น 415 นาโนเมตรนั้นกระตุ้นการกิดจุดด่างดำได้ ส่วนแสงสีแดงในช่วงคลื่นที่ 630 นาโนเมตรนั้นไม่ก่อให้เกิดจุดด่างดำเพิ่มแต่อย่างใด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าแสงน้ำเงินคลื่น 415 นาโนเมตร จะเลวร้ายไร้ซึ่งความดี (อ่านต่อด้านล่าง)
(Source : Impact of long-wavelength UVA and visible light on melanocompetent skin., Differences in visible light-induced pigmentation according to wavelengths: a clinical and histological study in comparison with UVB exposure.)
การศึกษาอุปกรณ์ที่ใช้หลอด LED ที่ปล่อยแสงสีแดงในช่วงคลื่น 633 นาโนเมตร และคลื่น Infrared-A ที่ 830 นาโนเมตรสามารถลดจุดด่างดำได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ มีการศึกษาที่สนับสนุนว่าคลื่น Infrared-A ที่ 830 และ 850 นาโนเมตรสามารถลดการเกิดจุดด่างดำได้เป็นอย่างดีโดยไปขัดขวางการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ Tyrosinase
(Source : An Investigation into the Effectiveness of Light Emitting Diodes on Treating Melasma on Skin Type VI, Light-emitting diodes at 830 and 850 nm inhibit melanin synthesis in vitro.)
อีกอันที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการทดสอบคุณสมบัติของแสงสีน้ำเงินที่ 415 นาโนเมตรที่ข้อมูลด้านบนบอกว่าทำให้เกิดจุดด่างดำเพิ่มขึ้น ผสมเข้ากับแสงสีแดงที่ 633 นาโนเมตร ผลกลับออกมาว่านอกจากปัญหาสิวจะลดลงแล้ว (แสงสีน้ำเงินช่วยลดเชื้อแบคทีเรียสิว) ยังพบว่าคนไข้ยังมีโทนผิวที่สว่างกระจ่างและเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย ในความเห็นส่วนตัว จากข้อมูลตรงนี้ปูเป้มองว่าแสงสีน้ำเงินอย่างเดียวถึงจะฆ่าเชื้อสิวได้แต่ก็เพิ่มการผลิตเม็ดสีเมลานินด้วยเช่นแต่เมื่อรวมเข้ากับแสงสีแดงในช่วงคลื่นดังกล่าวซึ่งไปขัดขวางการผลิตเมลานินได้ จึงทำงานร่วมกันและทำให้ประโยชน์จากคลื่นแสงสีน้ำเงินโดยไม่เจอผลข้างเคียง
การศึกษาชิ้นหนึ่งใช้แสงสีแดงในช่วงคลื่น 633 นาโนเมตร และคลื่น Infrared-A ที่ 830 นาโนเมตร โดยแบ่งกลุ่มทดสอบเป็น 4 กลุ่ม ตั้งแต่ใช้ 830 นาโนเมตรอย่างเดียว ใช้คลื่น 633 นาโนเมตรอย่างเดียว ใช้ทั้งสองคลื่นผสมกัน และกลุ่มควบคุมที่ใช้แสงหลอก ผลออกมาว่าแสงหลอกไม่มีผลเปลี่ยนแปลง ส่วน 3 กลุ่มที่ได้รับทรีตเมนต์มีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของริ้วรอยที่ดีขึ้น และพบว่าช่วงคลื่นของ 830 นาโนเมตร มีผลที่โดดเด่นในการกระตุ้นยีน IL-1ß ซึ่งเกี่ยวข้องกับโปรตีนอีลาสตินที่ให้ความยืดหยุ่นและกระชับของผิว
การทดลองในงานวิจัยที่มีเกี่ยวกับคลื่นแสงและอินฟาเรดเพื่อการลดเลือนริ้วรอยและเพื่อความกระจ่างใสของผิวส่วนใหญ่จะเป็นการทดสอบด้วยเครื่องระดับที่ใช้กันในคลีนิคหรือตามโรงพยาบาล มีส่นหนึ่งที่ใช้อุปกรณ์แบบ Home Use แต่ก็ทำให้เราเห็นภาพและมีข้อมูลที่จับต้องได้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้
Neotrogena : Fine Fairness Light Mask ใช้การรวมกันของแสงสีแดงและอินฟาเรดช่วงคลื่นสั้น ซึ่งเคลมถึงสิ่งที่ที่กล่าวมาคือช่วยให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสมากขึ้นและทำให้ผิวมีความเฟริมแน่นกระชับ แต่ปูเป้ยังไม่ทราบช่วงคลื่นที่แน่นอนของแสงสีแดงและอินฟาเรดของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็ยังจะไม่สามารถสรุปโยงไปถึงงานวิจัยที่กล่าวมาได้ และถึงแม้จะเป็นช่วงคลื่นเดียวกันผลิตภัณฑ์สำหรับใช้เองที่บ้านนั้นก็มักจะต่างกับอุปกรณ์ที่ใช้ในคลีนิคหรือโรงพยาบาลตรงค่าพลังงานที่ใช้นั่นเอง หากตรงนี้ปูเป้ได้ข้อมูลอัพเดทจากทางผู้ผลิตอย่างไรจะมาแจ้งอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับตัว Neotrogena : Fine Fairness Light Mask จะประกอบไปด้วยสองส่วนคือตัวหน้ากากที่สวมใส่ได้ง่ายเหมือนสวมแว่นตา และมีส่วนที่ช่วงบังแสงตรงบริเวณตาเพื่อช่วยปกป้องและทำให้การใช้งานรู้สึกสบายมากขึ้นในระหว่างการใช้งาน มีพื้นที่มากพอในการระบายอากาศทำให้ในระหว่าง 10 นาทีที่ใช้งานไม่รู้สึกอึดอัดหรือร้อนจนเกินไปจากความร้อนที่เราหายใจออกมา
ส่วนที่สองคือส่วนของ Activator ซึ่งเป็นส่วนของตัวจ่ายพลังงานให้กับหน้ากาก ส่วนนี้เป็นชิ้นส่วน consumable ซึ่งจะต้องเปลี่ยนทิ้งเมื่อการใช้งานครบ 30 ครั้งโดยบนหน้าจอ LCD จะมีการแสดงตัวเลขระบุเอาไว้เหลือจำนวนการใช้งานอีกกี่ครั้ง ถ้าจำนวนไปอยู่ที่เลข 0 เมื่อไหร่ก็ต้องซื้ออันใหม่เปลี่ยน ไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอร์ซี่และภายในตัว Activator และนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้งเนื่องจากระบบข้างในล็อคเอาไว้
ปูเป้มองว่าการทำงานของ Neotrogena : Fine Fairness Light Mask มีข้อดีตรงที่มันสามารถใช้กับการบำรุงผิวที่มีอยู่ได้โดยไม่มีข้อจำกัด เนื่องจากไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ต้องทาลงไปบนผิว เพียงแค่ล้างหน้าให้สะอาด วับให้แห้ง และสวมหน้ากาก เปิด Activator ให้มันทำงาน 10 นาทีและตัดโดยอัตโนมัติเพียงวันละ 1 ครั้ง ก่อนใช้สกินแคร์ตามปกติ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอะไรอยู่ หรือจะยี่ห้ออะไร สภาพผิวแบบไหนต่างก็สามารถนำ Neotrogena : Fine Fairness Light Mask เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันได้ทั้งนั้น
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ชนิด Home Use อาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องของพลังงานที่ใช้อาจจะไม่มากเท่ากับของที่ใช้ตามคลีนิคและโรงพยาบาลเรื่องจากจ้อจำกัดในแง่กฏหมายและความปลอดภัยต่อผู้ใช้ แต่ผลิตภัณฑ์แบบ Home Use มีข้อได้เปรียบเรื่องความสะดวกสบายและสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องทุกวันซึ่งสะดวกและมีราคาถูกกว่า และอาจทำให้ได้ผลกว่าการไปทำในคลีนิคหากคุณไม่สามารถไปรับบริการกับทางคลีนิคได้บ่อยเป็นจำนวนหลายครั้งต่อสัปดาห์เพื่อให้เห็นผลดีที่สุด หรือจะใช้เสริมกันไปกับการทำทรีตเมนต์ที่คลีนิคก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
อย่างไรก็ดีปูเป้ยังไม่สามารถรีวิวผลิตภัณฑ์ตัวนี้ในเรื่องของผลหลังจากใช้ได้เนื่องจากในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาปูเป้มีการเดินทางเยอะมากประกอบกับมีช่วงที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จึงมีช่วงที่หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไปจึงขาดความต่อเนื่องในการทดลอง การเดินทางยังส่งผลกับคุณภาพผิวและความชุ่มชื่นที่เปลี่ยนไปอย่างมากอีกด้วย แต่ก็หวังว่าข้อมูลเกี่ยวกับอีกด้านที่มีประโยชน์ของแสงและคลื่นอินฟาเรดที่นำมาให้จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทดลองผลิตภัณฑ์ตัวนี้หรืออย่างน้อยก็ได้มุมมองว่าของทุกอย่างมีมากกว่าด้านเดียว มันมีด้านดีและด้านมืดของมันเสมอนะฮะ
ปูเป้ขอจบท้ายไว้ว่าปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Beauty Gadgets มีอยู่อย่างมากมายในท้องตลาดโดยผู้ผลิตที่เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง และมีแนวโน้มว่าจะมีผู้เล่นใหม่ ๆ มากขึ้นในท้องตลาดในอนาคต มีข้อมูลหลายอย่างที่เราผู้บริโภคทั่วไปไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยตัวเอง เช่นช่วงคลื่นหรือระดับพลังงานที่ใช้ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพที่จะได้รับหรือความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ส่วนตัวปูเป้จะแนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ ซึ่ง Neutrogena เป็นหนึ่งในแบรนด์ภายในบริษัท Johnson & Johnson ที่นอกเหนือจากจะมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแล้ว เครือนี้ยังมีธุรกิจในส่วนของอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกด้วย ส่วนตัวจึงค่อนข้างมีความมั่นใจว่าอย่างน้อยผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีความปลอดภัยกับผู้ใช้
เรามารอดูกันอีกทีว่าในประเทศไทยจะวางจำหน่ายกันตอนไหนและในราคาเท่าไหร่ เพราะในสมุดแนบด้านในมีภาษาไทยอยู่ด้วย และผลิตภัณฑ์ Neutrogena : Fine Fairness Light Mask ตัวนี้แตกต่างกับ Neutrogena : Light Therapy Acne Mask ที่วางจำหน่ายในอเมริกานะฮะ (เวอร์ชั่นของอเมริกานั้นเน้นสำหรับสิวและใช้แสงสีน้ำเงินกับแสงสีแดง)