“เราจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น” คือคำพูดที่หลายคน่าจะเคยได้ยินกัน แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงรึเปล่า? สำหรับบางคนอาจจะไม่ แต่สำหรับปูเป้นั้น มันคือคำที่คอยผลักดันตัวเองให้ก้าวต่อไปแม้จะมีคำสบประมาทอยู่ตลอดก็ตาม และนี่คือข้อคิดที่ปูเป้ได้จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง
คุณคิดว่าเด็กที่เรียนจบสายภาษา จบมาไปเรียนต่อและทำงานเป็นเชฟทำขนม จะกลายมาเป็น Beauty Expert จนได้รับการยอรับและความไว้วางใจให้เป็นผู้ฝึกสอนรับเชิญจากแบรนด์ระดับโลก ได้เป็นวิทยากรให้บรรยายในงานสัมมะนาระดับประเทศได้รึเปล่า?
ปูเป้ผ่านจุดที่ว่ามาแล้วจากการผ่านวิกฤติในชีวิตของตัวเอง
ก่อนหน้าที่ปูเป้จะมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ ปูเป้ก็เป็นเชฟทำขนมในโรงแรมห้าดาวที่มีความสุขกับการทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก แม้เงินจะไม่ได้มากมาย แต่ก็ทำงานใกล้บ้าน ปั่นจักรยานไปทำงาน ไม่มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนครับ จู่ ๆ เสาหลักของครอบครัวอย่างคุณพ่อเป็นโรคหัวใจต้องบอลลูนด่วนเป็นเงินหลักหลายแสน จึงพยายามหาลู่ทางเปลี่ยนงานไปทำในเรือสำราญเพื่อรายได้ที่มากขึ้น
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ผมดันมาตกเรือเพราะเอกสารทางการออกไม่ทันแถมเราก็ลาออกจากที่เดิมแล้ว กลายเป็นคนตกงานในช่วง Low Season หางานทำไม่ได้ ตอนนั้นเคว้งมาก ทุกอย่างดูแย่ไปหมด เงินเก็บก็ไมีไม่มาก รู้สึกว่าโตจนถึงเบญจเพศแล้วแต่ยังทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน ได้แต่ทำงานพิเศษ ช่วยงานร้านอาหารที่บ้านไปเรื่อยระหว่างรอที่จะได้ไปขึ้นเรือรอบหน้าในอีก 7 เดือน ระหว่างนี้นี่เองที่มีช่วงเวลาว่างมาสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ของเราขึ้นมา
และเหมือนจะเป็นโชคร้ายหรือโชคดีก็ไม่รู้ การขึ้นเรือครั้งที่สองของเรานั้นต้องล้มเลิกไปเพราะการปิดสนามบินในวิกฤติทางการเมือง แต่ในตอนนี้เราเริ่มมีคนสนใจติดตามผลงานมากขึ้นเรื่อย ๆ เราเริ่มมีหนังสือมาขอสัมภาษณ์ และมีคนมาติดต่อให้เราลองเขียนหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คของเราเอง ประจวบกับในตอนนั้นกระแสของ Blogger กำลังเกิดขึ้นมา และเราในฐานะที่เป็นคนจำนวนเพียงหยิบมือที่เป็น Blogger ในขณะนั้น ทำให้เราได้รับโอกาสต่างเข้ามามากขึ้น
ปูเป้คิดเสมอว่าหากไม่มีวิกฤติหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ชีวิตคงไม่พลิกผันให้มาเป็นแบบทุกวันนี้ ดังนั้นในทุกวิกฤติที่เกิดขึ้นมันจะมีช่องทางและโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปเสมอ
“กล้าที่จะออกจากเขตปลอดภัยของตัวเอง”
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก โอกาสในการขึ้นเรือครั้งที่สามกำลังจะมาถึงแล้ว มันคือทางเลือกของชีวิตที่เราต้องเลือกระหว่างการทำงานที่เรารักทั้งสองทาง ทางหนึ่งกับการทำขนมในเรือสำราญหรู กับเงินเดือนที่จะทำให้เรามีเงินให้ครอบครัวได้อย่างสบาย ๆ ต่อปีด้วยงานที่รายได้แน่นอน
อีกทางเลือกคือการเป็น Blogger ต่อไป ได้ทำเกี่ยวกับสกินแคร์ที่เรารักเหมือนกัน แต่ไม่รู้อนาคตจะเป็นยังไง ความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ไม่มีอะไรการันตีได้เลย…
แต่ผมคิดว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอนครับ ไม่มีอะไรที่มั่นคงถาวร และอะไรก็เกิดขึ้นได้ นี่คือสิ่งที่ปูเป้คิดในตอนที่ชีวิตกำลังอยู่ระหว่างทางแยกที่จะนำพาชีวิตไปคนละทิศทาง ซึ่งสุดท้ายปูเป้เลือกที่จะเดินมาในเส้นทางที่ไร้ซึ่งแผนที่แน่นอนในอนาคต ในตอนนั้นในประเทศไทยไม่ค่อยมีคนเข้าใจว่า Bloogger คืออะไร และไม่มีใครรู้ว่า Blogger จะเป็นอะไรได้บ้าง ถ้ามองว่ามันเป็นอาชีพ มันก็เป็นอาชีพที่ไม่มี Career Path เลยว่าเราจะเดินไปยังไง จะก้าวขึ้นไปถึงจุดไหนได้บ้าง
ผมคิดว่า ถ้าเราเป็นพนักงานบริษัทเกิดวันนึงเจ้านายเกลียด บริษัทล้ม เศรษฐกิจแย่ เราก็โดนไล่ออกได้อยู่ดี แต่ถ้าเรามีความสามารถจริงยังไงก็ต้องมีคนต้องการให้เราทำงานด้วยใช่ไหมล่ะ?
เช่นเดียวกันกับในทางเลือกของ Blogger ไม่มีความมั่นคงเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าเรามีของเราเจ๋งจริงสิ่งที่เราทำมันมีประโยชน์และเอาไปใช้ได้จริง ยังไงเราก็มีคนที่ติดตามผลงาน ยังไงเราก็มีคนที่อยากจะร่วมงานกับเรา สุดท้ายมันอยู่ที่ตัวเราเป็นหลัก ดังนั้นเราขอเลือกทางที่สามารถค้นหาจุดสูงสุดที่เราทำได้ มันก็น่าตื่นเต้นดีไม่ใช่รึ?
ทุกวันนี้ต้องขอบคุณการตัดสินใจของตัวเองในครั้งนั้นเหลือเกินที่ยอมก้าวออกจากจุดที่ปลอดภัยของตัวเองและกล้ามาเสี่ยงกับหนทางที่ยืนอยู่ตรงนี้ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาสำหรับการเลือกที่จะเป็น Blogger ปูเป้ได้รับประสบการณ์หลายอย่างที่เงินไม่สามารถซื้อได้ หลายสิ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะได้สัมผัส นึกไม่ออกเลยว่าถ้าเราไม่เลือกทางนี้เราจะมีโอกาศเหล่านี้รึเปล่า
“อย่าดูถูกตัวเองด้วยการบอกว่าเราทำไม่ได้”
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าปูเป้เป็นวิทยากรให้กับแบรนด์ความงามระดับโลกหลายแบรนเพื่อฝึกอบรมพนักงาน เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางและโลกออนไลน์ให้กับสถาบันหรืองานสัมมะนาระดับประเทศ ผมได้รับคำชื่นชมว่ามีความสามารถ ผมเก่งที่สามารถมาถึงตรงนี้ได้ด้วยตัวเอง
ปูเป้อยากจะบอกว่า ทุกสิ่งที่คุณเห็นว่าปูเป้ทำได้หรือได้ทำนั้น ล้วนเริ่มมาจากศูนย์ ไม่มีใครเป็นมาแต่เกิดหรอกครับ ความรู้เรื่องสกินแคร์และวิทยาศาสตร์ความงามต่าง ๆ ปูเป้ไม่เคยเรียนมาในรั้ววิทยาลัย แต่มาจากประสบการณ์ตรงและการศึกษาเพิ่มเติมจากทุกแหล่งที่สามารถหาได้และเอื้ออำนวย และจากการสอบถามผู้รู้เพื่อเพิ่มความเข้าใจของตัวเอง การบอกว่าตัวเองไม่รู้ไม่ได้ทำให้เราโง่ครับ แต่การทำตัวเหมือนว่าเรารู้ไปทุกอย่างต่างที่ทำให้เราโง่เพราะมันปิดกั้นที่จะเรียนรู้อย่างอื่นเพิ่มขึ้น
แม้จะถูกปรามาสและสบประมาทเอาไว้เยอะว่าคนที่ไม่ได้เรียนมาเฉพาะทางจะมีภาษีอะไรให้คนเชื่อถือ แต่สิ่งที่ผมยึดมาตลอดว่าความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในรั้วสถานศึกษา ทำให้ผมศึกษาด้วยตัวเองและจากการสะสมประสบการณ์ตรง ทำให้ผมได้รับการยอมรับภายในวงการบิวตี้มากขึ้น และมีโอกาสดี ๆ มากมายเข้ามาให้เราได้พิสูจน์ตัวเองว่าเราสามารถทำได้
ผมลองทำทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะไปอบรมเป็นพนักงานขายของห้างสรรพสินค้า อบรบการเป็นพนักงานของแบรนด์เพื่อลงงานหน้าร้านจริง ๆ และได้ลองทำงานอยู่เกือบครึ่งปี จนได้รับโอกาสให้ลองเป็นเทรนเนอร์เพื่ออบรมพนักงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ และสะสมประสบการณ์จนได้รับเชิญให้ไปบรรยายให้กับแบรนด์และหน่วยงานอื่น ๆ อีกหลายต่อหลายครั้ง ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้ผมได้เข้าใจมุมมองจากหลายมุมของวงการความงาม ทั้งในแง่ของผู้ผลิต ผู้พัฒนา ผู้จัดจำหน่าย ผู้ขาย ผู้ซื้อ รวมถึง สื่อ ทำให้ผมเป็นเหมือนตัวกลางที่จะสื่อสารและเชื่อมโยงหลายส่วนให้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น
ในช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมาของการเป็น Blogger นั้น ผมได้พยายามลองทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำ หาโอกาส ได้รับโอกาส และกล้าที่จะคว้าโอกาสเพื่อที่จะค้นหาว่าเรามีศักยภาพในตัวเรามากแค่ไหน มีอะไรที่เราสามารถทำได้อีกบ้าง ดังนั้นอย่าบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ลองทำ ถ้าทำแล้วล้มเหลวมก็ให้ลองพยายามให้มากขึ้น ผมเชื่อว่าเราทำได้ทุกอย่างถ้าเราพยายามมากพอ แต่ถ้ามันไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยเราก้ได้พยายามแล้วและไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราพยายามแล้วและสูญเปล่าครับ เพราะความล้มเหลวก็คือบทเรียนที่ล้ำค่าในชีวิตเหมือนกัน
“มองโลกในแง่ดีแต่อย่ามองโลกสวย”
การมองโลกในแง่ดีจะทำให้เราสามารถเติมพลังบวกและแรงขับดันให้กับชีวิตได้ การมองโลกในแง่ดีจะทำให้เรามีกำลังใจในการก้าวเดินต่อไปแม้ว่าในขณะนั้นเราติดอยู่ในหล่มของปัญหา แต่หลายคนมักติดกับดักของการมองโลกในแง่ดีจนข้ามขั้นเป็นคนโลกสวยแทน
การมองโลกในแง่ดี มันมีเส้นคั่นบาง ๆ ก่อนที่ข้ามไปเป็นโลกสวยครับ เราไม่ควรมองแบบโลกสวยเพราะว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงามและโลกนี้มันโหดร้าย ไม่ว่าเราจะมองโลกนี้ในแง่ดีแค่ไหนสิ่งที่มันเปลี่ยนไปก็คือมุมมองของเราเองแต่มันไม่ได้เปลี่ยนโลกในความเป็นจริงให้มันดีหรือสวยงามขึ้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปูเป้ก็มีคนที่ไม่ชอบและพยายามจะเข้ามาค่อนแคะหรือหาช่องทางในการโจมตีอยู่ตลอด การมองโลกในแง่ดีก็คือมีคนรักย่อมมีคนเกลียดเป็นธรรมดาโลก ถ้าเราตั้งใจทำดี ทำสุดความสามารถแล้ว ยังไงก็ย่อมมีคนที่เห็นความดีของเรา ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย อันนี้คือมองโลกในแง่บวกครับ
ส่วนการคิดว่าถ้าเราตั้งใจทำสิ่งดีด้วยจิตที่ดี สักวันที่คนไม่ชอบเราหรือเกลียดเราจะเข้าใจหรือหันมาชอบเรา อันนี้ปูเป้เรียกว่าโลกสวย เพราะถ้าเรามั่นใจว่าเราทำดีแล้วแต่มันก็ยังมีคนที่เกลียดเราหรือไม่ชอบเรา แปลว่าคนพวกนั้นไม่ได้มองในสิ่งที่เราทำหรือความตั้งใจของเราตั้งแต่แรก ต่อให้เราพยายามทำดีกัยเขาแค่ไหน คนมันอคติ คนมันเกลียด ยังไงมันก็เกลียดอยู่ดี
เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดคนอื่นได้หรอกครับถ้าเขาไม่คิดจะเปลี่ยนด้วยตัวเอง มันเปล่าประโยชน์ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์เลยที่เราจะหยุดหรือไปใส่ใจเพพื่อทำให้คนที่เขาเกลียดเราให้หันมาชอบเรา หรือไปใส่ใจกับคนที่พยายามฉุดให้เราแย่หรือต่ำลงด้วยคำพูดหรือการกระทำของเขา เราหันไปทำในสิ่งที่เราทำ เราพัฒนาแล้วก้าวเดินต่อไปเพื่อคนที่เห็นประโยชน์และคุณค่าของเราดีกว่า
ดังนั้นอย่ามองโลกสวย มามองโลกตามความเป็นจริงแต่เอาทัศคติและมุมมองในแง่บวกมาใช้สร้างแรงใจในการใช้ชีวิตดีกว่า อะไรที่สนใจแล้วไม่ได้ก่อประโยชน์ให้กับชีวิตเรา ก็ปล่อยวางครับ อย่าไปสนใจ
“เราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้และไม่มีใครหยุดรอเรา”
ทุกคนย่อมเคยพบเจอกับความผิดหวังในชีวิต บางคนอาจจะเจอกับความผิดหวังที่กระทบหนักจนทำให้เราทรุดจนลุกก้าวเดินไปต่อไปไม่ได้ เราเสียใจจนจมกับห้วงความย้ำคิดของตัวเองถึงอดีตที่ล้มเหลว คิดว่าฉันไม่น่าทำอย่างนั้น ถ้าย้อนกลับไปได้ฉันจะทำอย่างนี้ แต่คำสอนของคุณพ่อที่ช่วยฉุดผมให้ก้าวขึ้นจากความผิดหวังนั้นก็คือการบอกให้เราเข้าใจว่า ไม่ว่าเราจะนั่งคิดถึงอดีตที่ผ่านไปคิดถึงความล้มเหลวที่ผ่านมา ใช้เวลานั่งคิดถึงมันไปอีก 1วัน หนึ่งสัปดาห์ หรือ 1 ปี 10 ปี เราก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ และเวลาที่เราเสียไปกับการมานั่งคิดถึงอดีตและฟูมฟายกับมัน เราก็ย้อนเอากลับมาไม่ได้ ในขณะที่เรานั่งเสียใจกับอดีตที่ผ่านมา คนอื่นเขาเดินต่อไปข้างหน้าทิ้งเราให้อยู่เบื้องหลัง แล้วเราจะหยุดจมเสียเวลากับการนั่งคร่ำครวญถึงที่เกิดขึ้นไปแล้วทำไม หากการทำสิ่งนั้นไม่ได้ช่วยให้อนาคตของเราดีขึ้น
ความล้มเหลวความผิดหวังถ้าเราจมไปกับมัน มันเหมือนว่าสิ่งนี้มันห้อมล้อมตัวเราจนหาทางออกไม่เจอ แต่ถ้าเราออกจากห้วงของสิ่งนั้นมาได้ มองสิ่งที่เกิดขึ้นจากมุมที่ไกลออกมาเราจะเห็นว่าหลุมดำ ๆ ที่เกิดขึ้นจากความผิดหวังนั้นเป็นแค่จุดเล็ก ๆในช่วงชีวิตของเราที่ผ่านมาเท่านั้น ยังมีเรื่องดีที่เราผ่านมา ยังมีอนาคตอีกมากที่ยังไม่ได้พบเจอ เอาความผิดหวังและความล้มเหลวเป็นบทเรียนให้เราหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในอนาคต เอาความเข้มแข็งในการดึงตัวเองจากห้วงที่ดำมืดของชีวิตมาเป็นแรงในการก้าวเดินต่อไป
ทิ้งท้าย
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ครับ แต่เราเลือกที่จะกำหนดทางเดินและอนาคตของเราได้ และผมเชื่อจริง ๆ ว่า “เราจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น”
คนเรามีโอกาสไม่เท่ากัน แต่เราสามารถสร้างโอกาสให้ตัวเองได้ เพราะแม้กับคนที่เกิดมาด้อยที่สุดในสังคมแต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ถ้ามีความพยายาม ไขว่คว้าโอกาส ไม่ย่อท้อ ไม่ดูถูกตัวเอง และไม่หยุดที่จะก้าวเดินต่อไปให้ถึงเป้าหมาย
คนที่เราเลือกที่จะให้มาอยู่ในชีวิตของเรานั้นก็สำคัญครับ ผมเชื่อในกฏของแรงดึงดูด และคิดเสมอว่าเราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะหรือห้อมล้อมไปด้วยคนมากมาย เลือกคนที่มีคุณภาพ คนที่มีเป้าหมาย คนที่มีแรงผลักดันในแง่บวก คนที่ยินดีกับความสำเร็จของคนอื่นอย่าแท้จริง คนที่ช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า คนที่ให้โอกาสคนอื่น คนเหล่านี้คือคนที่ปูเป้มองหาและอยากให้เขามาอยู่ในลูปของชีวิตเรา แต่เขาอาจจะไม่อยากอยู่ในลูปของชีวิตเราและเราก็ไม่อาจไปอยู่ในลูปของชีวิตเขา หากเราไม่ได้มีหลัก สิ่งยึด ความคิด ทัศนติ มุมมองที่เหมือนหรือคล้ายกัน ดังนั้นถ้าเราอยากได้คนที่ดี เราก็ต้องเป็นคนที่ดีด้วยเพื่อที่จะดึงดูดขั้วเดียวกัน
มาอ่านเรื่องราวแรงบันดาลใจ หรือมาร่วมกัน #FaceForward เพื่อเริ่มทำตามความฝันกันตั้งแต่ตอนนี้ได้ที่