เมื่อช่วงกลางเดือน กรกฎาคม 2010 ที่ผ่านมา ปูเป้ได้ทำความฝันตัวเองให้เป็นจริงได้อีก 1 ข้อ นั่นก็คือ “ไปเหยียบประเทศญี่ปุ่นอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต” แถมยังเป็นครั้งแรกที่เที่ยวด้วยเงินที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ก็ยิ่งปลื้มครับ
ใจจริงว่าจะเอามาอัพเดทให้ดูตั้งแต่นานแล้ว แต่กลับมายังไม่ทันพักเหนื่อยก็ตะลุยออกงานต่อทันที แทบสิ้นชีพ… มีสัปดาห์นี้แหล่ะครับที่ไม่มี Event ให้ออกไปไหน แล้วก็เริ่มเคลียร์งานเก่า ๆลง Blog เกือบหมดแล้ว เลยขอมาเล่าทริปการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้มห้ทุก ๆ คนได้ชมกันนะครับ ;D
Japan Trip 2010 – Day 1หลังจากอัพบล็อกด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ปูเป้ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านตอนบ่ายโมงเพื่อไปแลกเงินเยนที่ Super Rich แถวราชดำริเพื่อให้ได้เรทแลกเงินที่ดีที่สุด (ช่วงนั้นคือ 100 เยน = 36.5 บาท) ซื้อของจำเป็นที่จดไว้และรีบบึ่งกลับมาบ้านเพื่อแพ็คกระเป๋าอย่างรีบเร่ง เช็คแล้วเช็คอีกว่าลืมอะไรหรือไม่ กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว อาบน้ำแต่งตัวอีกรอบเพื่อนั่งรถตู้ที่จองเอาไว้ไปยังสนามบินตอนตี 2
หลังจากเช็คอิน โหลดกระเป๋า ตรวจหนังสือเดินทางก็ปาไปเกือบตี 4 แล้ว เดินแกร่วอยู่แถวดิวตี้ฟรีรกร้าง (เพราะมันดึกมาก ไม่มีร้านไหนเปิด แล้วก็ไม่มีคนเดิน) รอจนตี 5 นิดกว่าร้านอาหารจะทยอยกันให้บริการ ก็ฝากท้องมื้อแรกของทริปนี้กับ เพรซเซล เบคอน ชีส กับ น้ำเลเมอนเนด ที่ร้าน Auntie Ann (แพงกว่าที่ขายกันนอกสนามบินมากมายมหาศาล…) หลังจากเกทเปิดก็เข้าไปนั่งรอในเครื่องบิน การเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการของสายการบิน Delta ครับ (โหลดกระเป๋าได้ใบละ 23 กิโลต่อใบ ได้ 2 ใบต่อคน เลิศมาก!!!) ถึงเวลา ตี 5 กว่า ๆ ก้ได้เวลาลาจากประเทศไทยไปสู่แดนศิวิไลซ์แล้ว
หลังจากหลับ ๆ ตื่น ๆ อย่างทุกทรมานบนที่นั่งชั้นประหยัดของสารการบิน ในที่สุดก็ใกล้จะถึงที่หมายปลายทางแล้ว!!! ระหว่างเครื่องกำลังลดระดับผมก็สังเหตุดูสภาพของบ้านเมืองของญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ชายทะเลที่มีทั้งบ้านเรือน เขตอุตสาหกรรมเล็ก ๆ แต่ที่สะดุดตาเป็นพิเศาก็คือ “กังหันลมผลิตไฟฟ้า” ขนาดใหญ่ที่ตั้งเรียงรายตามแนวชายทะเล อืม… ที่นี่เขาให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาดแล้วก็ดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย เมืองไทยน่าจะเเป็นแบบอย่างเนอะ…
มาถึงสนามบินนาริตะแล้วจ้า ถ่ายรูปป้ายซะหน่อย คนรอบข้างจะมองว่าเราเป็นกะเหรี่ยงบ้านนอกเข้าเมืองก็อย่าได้แคร์ ชีวิตนี้เราคงได้เจอเขาแค่ตอนนี้แล้วก็ไมได้เจอกันอีกเลย จะสนใจทำไม 😛
ด่านตรวจคนเข้าเมืองคนเยอะมาก เป็นบทเรียนว่าครั้งต่อไปหลังลงเครื่องแล้วให้รีบ อย่ามัวแต่เดินทอดน่องชมสถานที่มากนัก ไม่งั้นก็จะเจอแบบนี้…
พอรับกระเป๋าเสร็จก็ไปซื้อตัวรถไฟเข้าเมือง(ราคา 1,000 เยน) ปรากฏว่ารถไฟใกล้จะออกแล้วจึงวิ่งหน้าตั้งไปให้ถึงก่อนจะตกรถแล้วต้องรออีกตั้งครึ่งชั่วโมง (ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไรไว้เลยในช่วงนี้)
ขบวนรถไฟหวานเย็นก็พาเราวิ่งผ่านทั้งเรือกสวนไร่นาที่เขียวขจี บรรยากาศดี สวยงาม ลัดเลาะบ้านเรือนที่แรก ๆ ก็เป็นบ้านแบบชนบทที่ตั้งเป็นหย่อมบางตัว แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็ตึกสูงและหนาแน่นเรื่อย ๆ ตามระยะทาง
ระหว่างทางก็สังเกตุว่า รถยนต์ส่วนบุคคลที่นี่…เหมือนจะมีแต่สีขาว… เป็นสียอดนิยม? หรือว่าสีขาวมันถูกกว่าสีอื่น? หรือเป็นกฏหมายให้ประชาชนขับรถสีขาว? ไม่รู้สิ.. แต่คิดว่าแปลกดีเท่านั้นแหล่ะ…
ลงจากรถไฟที่สถานี Ueno เช็คแผนที่ของสถานีกับแผนที่ของโรงแรมที่พิมพ์มา อากาศก็ร้อนจนแอบคิดในใจว่า “นี่ตูมาเที่ยวต่างประเทศแน่หรอเนี่ย…” พอดีว่าตอนนี้เป็นช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่น และแย่หน่อยที่เขาว่ากันว่าปีนี้เป็นปีที่โคตรอภิมหาร้อนที่สุดอีกต่างหาก…
เลยขอหยุดพักที่ตู้กดน้ำแบบหยอดเหรียญอันเป็นสัญลักษณืประจำชาติของญี่ปุ่นดีกว่า (เคยดูสารคดีบอกว่า ประเทศญี่ปุ่นมีตู้กดแบบนี้หนาแน่นที่สุดในโลกเชียวนะ)
ปูเป้เลือกดื่ม Calpis Water (มันก็คือ คาลปิส แลคโตะ ของบ้านเรานี่แหล่ะ) ราคา 100 เยน รสชาติจืดมาก~~~ก เมื่อเทียบกับของเมืองไทยที่หวานจนแสบคอ…
หลังจากเอาของเข้าไปเก็บที่โรงแรมแล้วก็เป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็นจึงออกมาหาอะไรทานเป็นข้าวกลางวัน มีร้านอาหารชื่ออะไรไม่รู้อยู่ใกล้โรงแรม ราคาไม่แพงและของแต่ละอย่างก็หน้าตาน่ากินเป็นที่สุด
ที่นี่เขาให้เราสั่งอาหารโดยหยอดเงินเข้าไปแล้วก็กดตามรายการเลยครับ แล้วก็เข้าไปนั่งโต๊ะ ส่งคูปองให้กับพนักงาน แล้วเขาก็จะเอามาเสริฟให้เอง ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถทางด้านภาษาแต่อย่างใด เพราะมีรูปภาพให้ดูง่ายๆ เลยว่าเมนูนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร (แค่อาจจะไม่รู้ว่าอันนี้เป็น “เนื้อวัว” หรือ “หมู” สำหรับคนที่มีข้อห้ามเรื่องการกิน)
แทบไม่ได้นอนมาเลยตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา (โปรดสังเกตุถุงใต้ตา… ) แต่เห็นของกินก็ยังยิ้มได้ ;D
ชุด Deluxe Hamburg Steak สุดหรู อร่อยมว๊าก~~ก เนื้อแฮมเบิกชุ่มฉ่ำ ราดซอสรสกลมกล่อมเข้ากับกับชีสเยิ้ม ๆ ที๋โปะมาให้ ราคา 900 เยน หรือ 330 บาท ราคาเหมือนไปกิน Otoya มื้อนึงแต่ได้ของที่อร่อยกว่าและเยอะกว่าอีกอ่ะ… ใครว่าค่าครองชีพญี่ปุ่นแพง เราของเถียงขาดใจ เพราะจำนวนเงินที่จ่ายเท่ากันแต่ที่ญี่ปุ่นให้ของดีกว่าอีกนะ…
Cream Croquette รสกุ้งก็ห๊อมหอม อร่อยอ่ะ แต่อ้วนจัง… ราคาแค่ 250 เยน หรือ 90 บาทเท่านั้นนะเธอว์
หมูทอดราดซอสมิโสะในกระทะร้อน ก็อร่อยถูกปากดี ตีไข่ดาวยางมะตูมให้พอแตกแล้วคลุกเข้ากันก็เลิศ เมนูนี้ 690 เยนนะฮะ
หมู เนื้อวัว และกุ้งชุบเกล็ดขนมปังทอด ตุ๋นในน้ำซุปพร้อมไข่ ชุดนี้ราคา 690 เยนเช่นกัน กลมกล่อมทีเดียว
หลังจากอิ่มแล้วก็ไปเดินย่อยกันที่ตลาด Ueno ที่อยู่ไม่ไกลอยู่ในกลุ่มนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองผอมเพรียวดีจัง มีความสุข 😀ตู้ UFO หยิบตุ๊กตาที่นี่ก็มีวางทั่วไปเลย ในตู้เป็นตุ๊กตาจากเรื่อง UZAVICH ที่ดังในญี่ปุ่นช่วงนี้ (น่ารักด้วย) ใครสนใจสามารถหาดูได้ใน Youtube ครับ
น้ำอัดลมกระป๋องลายน่ารัก ๆ ที่เจอระหว่างทางตรงสถานีรถไฟ Shijuku (รู้สึกว่าข้างในคือน้ำ RC Cola ล่ะ)
เค้กรูปแมวน้ำสุดน่ารัก เจอที่ซูเปอร์มาร์เกตของห้าง Odakyu ชั้น B2 ระหว่างหาทางออกจากสถานีรถไฟ… (พอจะกลับมาซื้อก็หาไม่เจอแล้ว หลงทางอ่ะ…)
ยืนชมวิวยามค่ำคืนบนสะพานลอยแถวสถานีรถไฟ…เดินโต๋เต๋ไร้จุดหมายมาถึงห้าง LABI ที่ชินจูกุ ชั้นแรกเป็นเครื่องไฟฟ้า ชั้นที่สองเป็นไรไม่รุ แต่จำได้ว่าชั้นบน ๆ ขายเกมส์อย่างเดียวทั้งชั้นเลย มีให้เลือกละลานตาไปหมด เห็นราคาแล้วก็อยาได้ แต่ว่าเกมส์ที่นี่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลยเนี่ยสิ… จะซื้อก็คงซือ้ได้แต่พวกอุปกรณ์เสริม…
มีเกมจีบผู้ชายด้วยนะฮะ… แต่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลยไม่ได้แอ้มเงินเรา…
เดินเรื่อยเปื่อยไปเจอร้าน Matsumoto Kiyoshi เป็นร้านอารมณ์แบบ Boots หรือ Watson แต่เด็ดกว่าประมาณล้านเท่า เครื่องสำอางมากมายก่ายกองทั้งถูกและแพงสามารถหาได้ที่นี่ในราคาที่ถูกกว่าตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป (ที่นี่ห้างสรรพสินค้าเป็นที่เอาไว้ให้คนรวยเดินครับ ขายราคาเต็มไม่มีลดราคา ยกเว้นช่วงหลังปีใหม่ เพื่อนบอกมาแบบนี้…)
รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสวงสวรรค์ทีเดียว ใช้เวลานานเท่าไหร่จำไม่ได้ (รู้สึกเหมือนแค่เสี้ยวนาทีเดียว) แต่ดูจากสีหน้าคนที่รออยู่ข้างนอกน่าจะพอเดาออก…
นั่งรถไฟจาก Shinjuku ประมาณ 24 นาทีก็กลับมาถึง Ueno ตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่มแล้ว แวะกินประทังชีวิตที่ร้าน Yoshinoya ซึ่งเปิดบริการตลอ 24 ชั่วโมง ช่วงที่ไปรู้สึกจะเป็นเทศกาลปลสาไหลย่างของญี่ปุ่นนะ ไปที่ไหนก็มีแต่เมนูปลาไหลย่างโชว์เต็มไปหมด ชุดนี้ 920 เยน แต่รสชาติก็ธรรมดาอ่ะ เราคาดหวังว่ามันจะอร่อยกว่านี้… แอบ Fail เล็กน้อย
กลับถึงโรงแรม อาบน้ำ สระผม คุดคู้แช่น้ำร้อนในอ่างแคบ ๆ ให้สบายตัว… ทุกอย่างเหมือนจะไม่เป็นไปได้ด้วยดี จนมาอามณ์เสียกับเครื่องเป่าผมของโรงแรมที่ให้กระแสลมเบาเหมือนหมาตด เป่ามาครึ่งชั่วโมงผมยังไม่แห้งเลย หงุดหงิดมาก!!! ระหว่างรอให้ผมแห้งก็นั่งเช็คของที่ซื้อมาในวันนี้ซะหน่อย มีแต่ของแปลก ๆที่ไม่เคยเห็นเต็มไปหมดเลย กันแดดของ Shiseido รุ่นนี้เขาว่าอ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ด้วย เลยซื้อมาลองซะหน่อย มาสก์หน้าของบิฮาดะลายใหม่ก็สวยดีเลยสอยมาแบบไมได้คิดอะไร เมื่อรวมกับ SK-II (ที่ไมได้อยู่ในรูป) วันนี้หมดกับการช็อปปิ้งไปแล้ว 52,000 เยน… ช่างเป็นตัวเลขที่น่าสะเทือนใจเหลือเกิน…
เที่ยงคืนแล้ว… นอนดีกว่า (ได้ข่าวว่าไม่ได้นอนหลับสนิทมากว่า 36 ชั่วโมงแล้ว)