วันนี้ปูเป้จะมาพูดถึงผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาของ Dr.Ci:Labo ซึ่งเป็นแบรนด์เวชสำอางชื่อดังจากญี่ปุ่น (เราเคยรีวิวผลิตภัณฑ์ของเขามาแล้ว 2 ตัว ลองย้อนกลับไปหาอ่านกันได้นะจ๊ะ)ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เคลมถึงคุณสมบัติในการช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูยกกระชับขึ้นในทันทีด้วย Lifting Complex และใช้ส่วนผสมจำนวนมากในการช่วยอัดความชุ่มชื่นและเพิ่มความอิ่มฟูให้ผิวรอบดวงตา รวมไปถึงทองคำและพลาตินั่มที่เคลมถึงคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอยอีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่าสารพัดสิ่งที่เขาเคลมนั้นแท้จริงมันคืออะไร ทองกับพลาตินั่มมันทำอะไรกับผิวเราได้จริงหรือ? และคำถามสำคัญที่สุด มันได้ผลจริงหรือไม่?
ส่วนประกอบของ Dr.Ci:Labo : Special Enrich-Lift Eye (15g. / 1,790 Baht) มีหลัก ๆ ดังนี้
Lifting Complex เป็นการรวมของส่วนผสมหลัก ๆ 3 ตัว ได้แก่ Xanthan Gum Crosspolymer โดยทั่วไปใช้เป็นตัวก่อฟิล์มและทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์ข้นขึ้นอันนี้เราไม่มีข้อมูลอย่างอื่นมากกว่านี้ ส่วน Avena Sativa Kernel Extract คือ OSILIFT ของบริษัท Silab จะสร้างโครงข่ายจากโมเลกุลน้ำตาลที่ยึดกับเซลล์ผิวชั้นนอกเพื่อให้เอฟเฟคของการยกผิวในทันที และ Prunus Amygdalus Dulcis Seed Extract คือ POLYLIFT จากบริษัทเดียวกันโดยเป็นการสกัดเอาโปรตีนจากเมล็ดสวีทอัลมอนด์มาสร้างโครงข่ายโพลิเมอร์เพื่อลดเลือนริ้วรอย หลักการทำงานจะคล้ายกันคือเมื่อเนื้อผลิตภัณฑ์ถูกกระจายและส่วนของโมเลกุลน้ำและส่วนที่ระเหยได้ระเหยออกไปนั้น โครงตาข่ายโพลิเมอร์เหล่านี้จะหดตัวแน่นขึ้นและให้เอฟเฟคในการกระชับผิวในทันทีแต่ก็เป็นผลเพียงชั่วคราวราว 2 – 6 ชั่วโมงแล้วแต่ชนิดของโพลิเมอร์ที่ใช้ (ถ้านึกไม่ออกลองนึกภาพเวลาเราทาไข่ขาวลงบนผิวและเมื่อมันแห้งผิวจะรู้สึกตึงแน่นขึ้น เพียงแต่มันดูเป็นธรรมชาติกว่ามากและไม่ได้ตึงมากขนาดนั้นจนขยับหน้าไม่ได้)
– Gold และ Platinum Powder ในที่นี้คือส่วนผสมของนาโนคอลลอยด์ของทองคำและพลาตินั่ม ส่วนผสมเหล่านี้มักเจอในสกินแคร์ญี่ปุ่นแต่จะมีประโยชน์อะไรบ้างนั้น ทองมีข้อมูลค่อนข้างน้อยถึงประโยชน์เกี่ยวกับผิว และเนื่องจากความที่มันเป็นสารเฉื่อยไม่ค่อยเกิดปฏิกิริยากับเซลล์มันจึงถูกนำไปใช้ในเชิงของการเป็นตัวนำพาหรือระบบนำส่งยาเข้าสู่ร่างกายมากกว่า ส่วนนาโนคอลลอยด์ของพลาตินั่มนั้นมีข้อมูลว่ามันเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีและช่วยต้านการอักเสบให้กับผิวเมื่อเจอกับรังสี UV ได้ด้วย อย่างไรก็ดีสารโลหะนาโนคอลลอยด์พวกนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติการแพ้โลหะที่กล่าวมาได้
(Source : Nanocarriers and nanoparticles for skin care and dermatological treatments, Functionalized Gold Nanoparticles for Topical Delivery of Methotrexate for the Possible Treatment of Psoriasis, Protective effects of platinum nanoparticles against UV-light-induced epidermal inflammation., Platinum nanoparticle is a useful scavenger of superoxide anion and hydrogen peroxide.)
– Carnosine เป็นเปปไทด์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติของเราซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบกินเพื่อสุขภาพเสียมากกว่าเพราะมีข้อมูลว่าช่วยลดการเกิด Glycation ซึ่งทำให้ผิวเหลืองคล้ำและเสื่อมคุณภาพลงได้ ในส่วนของประโยชน์เมื่อนำมาใช้ภายนอกนั้น ข้อมูลส่วนหนึ่งบอกว่ามันช่วยเสริมการเยียวยาบาดแผลได้ ช่วยลดการไวของผิวหนังอันถูกกระตุ้นจากรังสี UVB ได้ ข้อมูลเรื่องการช่วยลดเลือนริ้วรอยนั้นมีอยู่แต่สารตัวนี้จะถูกผสมกับสารชนิดอื่นในการศึกษาด้วยจึงทำให้ส่วนตัวก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าลำพังส่วนผสมนี้ตัวเดียวจะให้ผลได้อย่างไรบ้าง แต่นับเป็นส่วนผสมที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
(Source : Carnosine (beta-alanylhistidine) protects from the suppression of contact hypersensitivity by ultraviolet B (280-320 nm) radiation or by cis urocanic acid., Carnosine enhances diabetic wound healing in the db/db mouse model of type 2 diabetes., Carnosine: its properties, functions and potential therapeutic applications., Skin beautification with oral non-hydrolized versions of carnosine and carcinine: Effective therapeutic management and cosmetic skincare solutions against oxidative glycation and free-radical production as a causal mechanism of diabetic complications and skin aging.)
– Alpinia Galanga Leaf Extract คือส่วนผสมที่มีชื่อว่า Hyalufix GL ของบริษัท BASF ซึ่งเคลมว่าสารสกัดของพืชชนิดนี้จะไปเสริมการแสดงออกของเอนไซม์ Hyaluronan Synthase-2 (HAS-2) ซึ่งเป็นตัวที่สร้าง Hyaluronic Acid ที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูงและเป็นสายยาวจึงช่วยสร้างวอลลุ่มและความอิ่มเอิบใต้ผิวได้ดี แต่ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลจากผู้ผลิตสารเท่านั้นและยังไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นมาสนับสนุนเพิ่มเติม
(Source : Alpinia Galanga Leaf Extract: Boost High Molecular Weight Hyaluronan to Erase Shadows, Galanga for Production of HMW Hyaluronic Acid)
ส่วนผสมที่เราคิดว่าน่าสนใจก็คือ Hyaluronic Filling Spheres™ ซึ่งประกอบไปด้วย Ethylhexyl Palmitate, Silica Dimethyl Silylate, Butylene Glycol, Pentylene Glycol, Sodium Hyaluronate อันนี้เป็นของบริษัท BASF อีกแล้ว มันคือทรงกลมขนาดเล็กมากที่ทำจาก Hyaluronic Acid ที่โดนดึงความชื้นออกจนหดเหลือเล็กจิ๋วและเมื่อทาลงไปบนผิวเขาเคลมว่ามันจะซึมเข้าไปและดูดซับความชื้นจนขยายตัวเป็น 3 เท่าเพื่อเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิวทำให้ผิวดูอิ่มเต็มขึ้นนั่นเอง ฟังดูดีและน่าสนใจทีเดียว แต่ก็เป็นเพียงคำเคลมของผู้ผลิตอีกเช่นกัน
-ส่วนต่อมาเป็นคอกเทลของ Collagen และ Hyaluronic Acid หลากรูปแบบต่างขนาดเพื่อให้คุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื่นในระดับที่ต่างกันไป (Soluble Collagen, Succinoyl Atelocollagen, Hydrolysed Collagen, Sodium Hyaluronate, Hydroxypropyltrimonium Hyaluronate, Hydrolysed Hyaluronic Acid) ตามทฤษฏีแล้วขนาดที่เล็กกว่าก็จะแทรกลงไปได้ลึกกว่า ขนาดที่ใหญ่กว่าจะอยู่ด้านบนและช่วยเคลือบเป็นฟิล์มของความชุ่มชื่นบนผิวเอาไว้ แต่ในความเป็นจริงจะทำได้หรือไม่นั้นก็น่าสนใจ เราไปเจอการศึกษาของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Hyaluronic Acid ถึง 6 รูปแบบที่มีขนาดแตกต่างกันโดยขนาดเล็กที่สุดอยู่ที่ 1K Da ไปจนถึง 2000 K Da และมันก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจด้วยสิ เราคิดว่าคอนเซปต์นี้น่าสนใจแต่เราก็ไม่มีข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์ของ Dr.Ci.:Labo ใช้ในขนาดเท่าไหร่บ้าง
– Thioctic Acid (Alpha-Lipoic Acid) เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดีและช่วยต้านการอักเสบได้
– Ubiquinone หรือ Co-Q10 เป็นโคเอนไซม์ที่มีผิวตามธรรมชาติและแม้จะถูกใช้ในเครื่องสำอางมานานแล้วแต่การศึกษาในระยะหลังนี่เองที่มายืนยันว่าการทาสารตัวนี้ลงสามารถซึมเข้าสู่ผิวและไปเสริมการสร้างพลังงานของเซลล์ผิวได้จริง
– Soluble Proteoglycan ได้มาจากกระดูกอ่อนส่วนจมูกปลาแซลมอนซึ่งทำงานคล้ายกับ Epidermal Growth Factor (EGF) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและ Glycan สำคัญเพื่อความชุ่มชื่นและยืดหยุ่นของผิวด้วย
– Hibiscus Abelmoschus Extract คือส่วนผสมที่มีชื่อว่า Linefactor ของบริษัท BASF ซึ่งตีพิมพ์ผลการศึกษาเอาไว้ว่าช่วยคงสภาพของ Fibroblast Growth Factors 2 (FGF-2) ตามธรรมชาติให้อยู่ได้นานขึ้น โดย FGF-2 นั้นก็กระตุ้นการสร้างสารกลุ่ม GAGs ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิวนั่นเอง
โดยรวมแล้วส่วนผสมที่ใช้ค่อนข้างน่าสนใจโดยจะเน้นการอัดความชุ่มชื่นอย่างเต็มที่ในหลายระดับ มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มพลังงานให้เซลล์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ก็มีส่วนผสมกิมมิคแปลก ๆ มาเพิ่มความหวือหวาและเป็นจุดขาย ตัวเบสปราศจากส่วนผสมของสี น้ำหอม หรือสารระคายเคืองผิว มี Squalane ซึ่งเข้ากันกับผิวได้เป็นอย่างดีและทำให้ผิวนุ่มขึ้นด้วย
Ingredients : Water, Butylene Glycol, Diglycerin, Squalane, Theobroma Grandiflorum Seed Butter, Triethylhexanoin, Myristyl Alcohol, Behenyl Alcohol, Dimethicone, Bis-PEG-18 Methyl Ether Dimethyl Silane, Limnanthes Alba Seed Extract, Stearic Acid, Batyl Alcohol, 1,2-Hexanediol, Carnosine, Alpinia Galanga Leaf Extract, Gold, Platinum Powder, Xanthan Gum Crosspolymer, Avena Sativa Kernel Extract, Prunus Amygdalus Dulcis Seed Oil, Soluble Collagen, Succinoyl Atelocollagen, Hydrolysed Collagen, Sodium Hyaluronate, Hydroxypropyltrimonium Hyaluronate, Hydrolysed Hyaluronic Acid, Thioctic Acid, Ubiquinone, Soluble Proteoglycan, Ethylhexyl Palmitate, Hibiscus Abelmoschus Extract, Glyceryl Stearate SE, Polyglyceryl-10 Stearate, Silica Dimethyl Silylate, Behenate-20, Xanthin Gum, Lecithin, Hydroxyethylcellulose, Sodium Bicarbonate, Citric Acid, Sodium Citrate, Caprylic/Capric Triglyceride, Pentylene Glycol, Ethylhexylglycerin, Phenoxyethanol.
ครีมบำรุงรอบดวงตานี้มาในหลอดบีบที่มี Applicator โลหะที่ทำจาก Palladium เพื่อช่วยให้ความเย็นและเป็นการนวดเสริมการไหลเวียนใต้ผิวไปในตัว เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นครีมเนื้อเข้มข้นอยู่ตัวแต่ให้สัมผัสที่ฉ่ำผิวเมื่อทา ปริมาณในการใช้ที่แนะนำไว้คือราว 1 เมล็ดข้าวต่อผิวรอบดวงตาแต่ละข้าง ซึ่งส่วนตัวเราว่ามันเยอะไปหน่อยล่ะ ยังไงลองปรับปริมาณในการใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองจะดีกว่า หลังจากได้ปริมาณผลิตภัณฑ์ที่ต้องการแล้วก็แตะเนื้อครีมให้ทั่วบริเวณรอบดวงตา รวมไปถึงหัวตา และบนเปลือกตาด้วย
คำแนะนำเพิ่มเติมคือควรรีบเกลี่ยผลิตภัณฑ์ให้เสร็จและทำให้เสร็จเป็นข้าง ๆ ไป เพราะว่ามันเซ็ทตัวค่อนข้างไว ถ้านวยนาดชักช้ามันอาจจะแห้งและเซ็ทตัวเป็นลิ่มเจลเล็ก ๆ ได้จ้า
จากการทดลองใช้เรารู้สึกว่านี่เป็นครีมบำรุงผิวรอบดวงตาที่ให้ความชุ่มชื่นได้ดีและยาวนานทีเดียว ผลในเรื่องของการยกกระชับภายหลังจากใช้นั้นเราไม่ได้รู้สึกอะไรในตรงนี้เพราะเราไม่มีปัญหาเรื่องความกระชับหรือหย่อนคล้อยรอบดวงตา ริ้วรอยเริ่มมีเพียงเล็กน้อยตรงบริเวณหางตาเท่านั้น คนที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยไม่กระชับรอบดวงตาที่ชัดเจนน่าจะสังเกตผลได้ง่ายกว่า
สำหรับผลในการใช้อย่างต่อเนื่องเราถ่ายรูปก่อนและหลังเทียบเอาไว้ โดยเงื่อนไขคือผิวที่ทำความสะอาดแล้วซับให้แห้งและปล่อยไว้ 5 นาทีจึงจะถ่ายรูป ผลปรากฏว่าตรงส่วนที่มันไม่ได้มีปัญหาอะไรมันก็ยังอยู่ของมันแบบนั้นแหล่ะ แต่ไอ้สิ่งที่เราไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาอย่างรอยยับตรงเปลือกตามันหายไปเลย!!! ดูเหมือนว่าการอัดความชุ่มชื่นและสเฟียร์ที่ไปพองเพื่อดันวอลลุ่มให้ผิวมันน่าจะได้ผลอยู่นะ
โดยสรุปแล้ว Dr.Ci:Labo : Special Enrich-Lift Eye เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตาที่พยายามมอบผลลัพธ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวไปพร้อมกัน ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ทำออกมาได้ดี มีสาร Actives หลายตัวที่น่าสนใจ สิ่งที่เราชอบมากคืออานุภาคทรงกลมของ Hyaluronic Acid ที่จะเข้าไปพองข้างในผิวเพื่อช่วยเพิ่มวอลลุ่มใต้ผิวได้ซึ่งจากประสบการณ์ในการใช้ของเรามันก็เหมือนจะทำได้จริงด้วยแฮะ!!!
อย่างไรก็ดีผลในแง่ของการยกกระชับในทันทีหลังใช้นั้นอาจจะไม่เห็นผลสำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเหล่านี้อย่างชัดเจน แต่สำหรับใครที่เริ่มมีปัญหาผิวรอบดวงตาดูหย่อนคล้อยหรือขาดวอลลุ่ม นี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าจะตอบโจทย์เลยล่ะ
ผลิตภัณฑ์ของ Dr.Ci:Labo มีจำหน่ายที่ Isetan กับร้านขายยาเชนจากญี่ปุ่นอย่าง Tsuruha และ Matsumoto Kiyoshi ทุกสาขา ส่วนใน Tops และ Gourment Market จะมีบางสาขาเท่านั้นล่ะ ยังไงก็สามารถไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจของเขาที่ Facebook : Dr.Ci:Labo Thailand ได้เลย
สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง
***Sponsored Item***
- Dr.Ci:Labo : Special Enrich-Lift Eye
- ส่วนผสมมาเป็นคอกเทลสะใจดี
- ไม่มีสี น้ำหอม และค่อนข้างอ่อนโยน
- ดูเหมือนว่าส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มวอลลุ่มในผิวจะได้ผล
- ส่วนผสมบางตัวมีข้อมูลสนับสนุนน้อย
- ส่วนผสมที่เป็นโลหะคอลลอยด์อาจไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้โลหะดังกล่าว