หลังจากที่คราวก่อนได้ทำบทความเรื่องการทำ Dermal Fillerไปแล้ว ใครที่ได้อ่านมาก็คงจะจำได้ว่าปูเป้ก็ได้ลองทำ BOTOX ดูด้วยเหมือน ซึ่งปูเป้รออยู่นานกว่าครึ่งปีเพื่อดูผลของการฉีดที่สมบูรณ์ก่อนที่จะนำประสบการณ์รวมถึงข้อมูลที่ได้ศึกษานำมาเล่าต่อให้กับทุกคนในวันนี้
การฉีด BOTOX ในครั้งนี้ปูเป้ไปทำที่ Immagini Clinic & Daisy Diva Clinic เช่นเคย ใครที่สนใจลองใช้บริการก็ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสอบถามข้อมูลกันทาง Facebook หรือโทรศัพท์ไปสอบถามทางคลีนิกได้ด้วยตนเองเลย ส่วนใครที่อยากเห็นการฉีด BOTOX และ Dermal Filler เขาทำกันยังไง ลองกดวีดีโอด้านล่างเพื่อชมได้เลย (มีภาพหวาดเสียวนิดนึงนะฮะ เตือนไว้ก่อน)
BOTOX คืออะไร? เห็นเรียกกันจนติดปาก แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่าจริงๆ แล้วคำว่า BOTOX นั้นเป็น “ชื่อทางการค้า” หรือ “ยี่ห้อ” ของสารที่มีชื่อว่า Botulinum Toxin Type A ซึ่งผลิตโดยบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา
Botulinum Toxin Type A เป็นสารพิษที่ได้จากเชื้อแบคทีเรีย Clostridium Botulinum โดยในความเข้มข้นที่สูงนั้นจัดว่าเป็นสารพิษที่อันตรายมากทีเดียวเชียวล่ะ แต่เจ้า BOTOX ที่เราฉีดเข้าไปในหน้าหรือร่างกายเราเนี่ยเป็นแบบที่นำมาเจือจางเหมาะสมแล้ว ไม่เป็นอันตราย (แต่ถ้าฉีดเกิน 3,000 ยูนิต อาจไปสวยในโลงแทนได้ ทว่าไม่มีใครฉีดถึง 3,000 ยูนิตได้หรอกครับ ไม่ต้องกังวลไปนะ)
BOTOX ของบริษัท Allergan เป็นสาร Botulinum Toxin Type A ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติโดย FDA ของอเมริกาเพื่อใช้ทางการแพทย์เมื่อปี 1989 – 2001 เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้ออย่าง ตาเหล่ หรือแม้แต่การลดการผลิตเหงื่อใต้วงแขน และเมื่อปี 2002 ก็พึ่งได้ไฟเขียวสำหรับการนำ BOTOX มาเพื่อใช้ในการเสริมความงาม ปัจจุบันการฉีด BOTOX เป็นหนึ่งในการศัลยกรรมความงามที่ไม่ใช่การผ่าตัดที่ได้รับความนิยมที่ได้รับความนิยมสูงสุดและเติบโตเร็วที่สุดด้วย
ได้ยินว่ามี BOTOX เกาหลี หรือ BOTOX อังกฤษด้วย… เริ่มงงแล้วว่ามันต่างกับ BOTOX ของอเมริกายังไง? อย่างที่บอกไปแล้วว่า BOTOX เป็นชื่อทางการค้า หรือยี่ห้อ ของสารที่ชื่อว่า Botulinum Toxin Type A ซึ่งมีบริษัท Allergan ของประเทศ “สหรัฐอเมริกา” เป็นผู้ผลิต อะไรก็ตามที่ไม่ได้ผลิตจากบริษัทจากบริษัท Allergan ประเทศ อเมริกา ไม่สามารถที่จะเรียกว่า BOTOX ได้นะฮะ
Botulinum Toxin Type A ที่มาจากอังกฤษมีชื่อทางการค้าว่า Dysport ผลิตโดยบริษัท Ipsen ได้รับการอนุมัติจาก FDA หลังจาก BOTOX อีกที ส่วนที่มาจากเกาหลีเป็นยี่ห้อน้องใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า Neuronox ของบริษัท Medy-Tox พึ่งได้รับการอนุมัติจาก FDA เมื่อไม่นานมานี้เอง
ในเรื่องของความน่าเชื่อถือ BOTOX ถือว่ามีมากสุดเพราะว่าเป็นเจ้าแรกและมีการวิจัยสนับสนุนมากมาย ในแง่ของความแตกต่างนั้นหลังจากที่ได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญหรือคุณหมอที่สัมผัสกับตรงนี้บ่อย ๆ ท่านให้ความเห็นว่า BOTOX จะเหมาะมากกับการใช้ในจุดที่ต้องการความแม่นยำอย่างกลุ่มกล้าเนื้อเล็ก ๆ บนใบหน้า เพราะมีการกระจายตัวของยาที่น้อยกว่า Dysport ส่วนการใช้กับกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างอย่างบริเวณน่องอาจจะต้องใช้ Dysport เพราะมีการกระจายตัวที่มากกว่า ซึ่งการเลือกใช้ตัวยาที่ต่างกันนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและความเชี่ยวชาญของแพทย์จ้า
ส่วนเรื่อง Neuronox ของเกาหลีเนี่ยมันมีข้อดีตรงที่ต้นทุนถูกที่สุด (BOTOX แพงที่สุด) นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมค่าใช้จ่ายในการฉีดของแต่ละคลีนิคนั้นถึงได้ ถูก-แพง ไม่เท่ากัน และจากประสบการณ์ของแพทย์ที่ใช้เทียบกันจะพบว่า Neuronox มีผลอยู่ได้ไม่นานเท่า Botox และ Dysport
ดังนั้นถ้าเห็นราคาค่าฉีด BOTOX ที่ถูกมากจนน่าแปลกใจ อาจจะตั้งข้อสังเกตุเอาไว้ว่าสิ่งที่ฉีดเข้าไปอาจไม่ใช่ BOTOX ก็ได้นะฮะ ให้สอบถามและขอดูตัวยาที่จะฉีดเข้าไปให้ชัวร์ว่าใช่ยี่ห้อ BOTOX ของ Allergan USA รึเปล่า เพราะถ้าไม่ใช่เขาไม่ควรบอกแต่แรกว่าเป็นการฉีด BOTOX ครับ 😛
Botulinum Toxin Type A ทำงานอย่างไร? หลักการทำงานของ Botulinum Toxin นั้น ถ้าอธิบายให้ง่ายที่สุดก็คือการทำให้กล้ามเนื้อมัดที่ฉีดหรือบริเวณที่ฉีดเข้าไปเป็น “อัมพาต” เมื่อกล้ามไม่สามารถที่จะขยับหรือหดตัวได้มันจึงคลายตัวออก ส่งผลให้ริ้วรอยย่นที่เกิดขึ้นจากการขยับหรือหดเกร็งของกล้ามเนื้อนั้นหายไปนั่นเอง
ถ้าเอาแบบให้งงมากขึ้นอีกหน่อยก็อธิบายได้ว่า ทันทีที่สาร Botulinum Toxin Type A เข้าไปถึงส่วนของปลายประสาท มันจะไปโจมตีโปรตีนสามชนิด ( VAMP กับ Syntaxin และ SNAP-25) ซึ่งสัมพันธ์กับหลั่ง Acetylcholine ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ที่รับผิดชอบเรื่องการความคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ผลก็คือกล้ามเนื้อในจุดนั้นจะเป็น “อัมพาต” นั่นเอง (งงดีมะ)
BOTOX ใช้ทำอะไรได้บ้าง? นอกจากใช้รักษาโรคที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อแล้ว การใช้ BOTOX เพื่อการเสริมความงามก็ได้แก่
– “ลดริ้วรอย” ที่เกิดขึ้นจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและการแสดงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก หัวคิ้ว หางตา รวมถึงการใช้เพื่อยกกระชับใบหน้าเป็นต้น
– “ปรับรูปหน้า” กล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวบริเวณแนวกรามเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ใครที่ชอบกินของที่เคี้ยวยากบ่อย ๆ กล้ามเนื้อก็แข็งแรงเป็น “มัด” เป็น “ก้อน” ใหญ่ ๆ การฉีด BOTOX เข้าไปตามจุดกล้ามเนื้อที่เหมาะสมจะไปทำให้กล้ามเนื้อก้อนใหญ่ ๆ นั้นคลายตัวลง รูปหน้าก็จะดูเล็ก ดูเรียวขึ้นได้ ถ้าใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อบางจุดที่คอก็ทำให้ลำคอดูเรียวขึ้นได้ด้วยนะ
– “ทำขาเรียว” ก็คือการฉีดไปที่กล้ามเนื้อให้มันฝ่อลง ลีบลง ขาก็จะดูเรียวขึ้นได้
มีการ BOTOX ไปใช้เรื่องอื่นอีกหลายอย่าง แต่ที่เห็นบ่อย ๆ จะมีเท่านี้แหล่ะจ้า
มีผลข้างเคียงในการฉีด BOTOX รึเปล่า? ขอบอกเลยว่ามี อย่างแรกเลยคือจนลงแน่นอนเพราะการฉีด BOTOX ก็มีค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย อย่าที่สองคือถ้าฉีดกับหมอที่ไม่เชี่ยวชาญพอ (หรือพวกหมอเถื่อนที่ไปฉีดกันเองตามห้องพักหรือตามรถอย่างที่ออกข่าว) การฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่ผิดจุดหรือปริมาณยาที่มากเกินไป อาจมีผลข้างเคียงตนั้งแต่การทำให้มุมปากตก หนังตาย้อย รูปหน้าเสียทรงหรือดูไม่เท่ากัน หรืออาจทำให้เป็นคนหน้าตาย แสดงสีหน้าไม่ค่อยจะได้
ผลข้างเคียงอื่น ๆที่พบได้และไม่ร้ายแรงก็ก็อย่างเช่น “เมื่อย” โดยเฉพาะคนที่ไปฉีด BOTOX ปรับรูปหน้ามา อาจจะรู้สึกเมื่อย ๆ เวลาเคี้ยวได้ (ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อการคุมน้ำหนักก็ได้นะ เพราะจะรู้สึกว่ากินอะไรลำบากขึ้น)
ส่วนผลข้างเคียงถึงแก่ชีวิตนั้นไม่ต้องกังวลไป เพราะคงไม่มีใครฉีดถึง 3,000 ยูนิตอยู่แล้ว…
การฉีด BOTOX จะออกฤิทธิ์ได้นานแค่ไหน? ผลของการฉีด BOTOX นั้นเป็นผลชั่วคราวเท่านั้น จะเริ่มเห็นผลจของการฉีดอย่างชัดเจนหลักจาก 2 – 4 สัปดาห์ และจะมีผลอยู่ได้ประมาณ 2 – 6 เดือน ในครั้งแรกที่ฉีด ขึ้นอยู่กับปริมาณ และตำแหน่งที่ฉีดอีกด้วย กล้ามเนื้อจุดเล็ก ๆ หรือจุดที่เราใช้งานมันบ่อย ๆ ก็อาจจะอยู่ได้ไม่นานมาก (รอบดวงตา ปีกจมูก)
การฉีดเติมก่อนที่ผลของ BOTOX จะสลายไปหมด จะช่วยทำให้ผลของมันอยู่ได้นานขึ้นด้วยนะ เพราะเหมือนกับการระงับการใช้งานของกล้ามเนื้อติดต่อกัน มันก็จะกลับคืนมาช้าลงด้วยเช่นกัน
ค่าใช้จ่ายในการทำ BOTOX แพงไหม? หลายพันยันหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดเข้าไป (รวมถึงยี่ห้อของ Botulinum Toxin ด้วย) ได้โปรดอย่าถามว่าค่าฉีดเท่าไหร่ ที่ไหนถูกสุด เพราะมันแตกต่างกันไปในแต่ละคน ถ้าคุณต้องฉีดปริมาณเยอะมันก็แพง ถ้าฉีดปริมาณน้อยมันก็ถูก ซึ่งตรงนี้คุณหมอจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่าควรจะฉีดมาก-น้อยเท่าไหร่ และมีค่าใช้จ่ายเท่าใด
ย้ำว่าอย่ามาถามปูเป้ว่าค่าฉีดเท่าไหร่เพราะตอบให้ไม่ได้ เข้าใจ๋!!!!!
หลังจากฤิทธิ์ของ BOTOX หมดไปแล้ว ริ้วรอยจะกลับมาเป็นมากขึ้นรึเปล่า? ถ้าหมายถึงริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการใช้กล้ามเนื้อล่ะก็ ไม่เพิ่มขึ้นหรอกครับ ดีไม่ดีจะเป็นการป้องกันการเกิดริ้วรอยจากการแสดงอารณ์ไม่ให้เพิ่มขึ้นด้วยนะ
ตอนฉีดนั้นเจ็บรึเปล่า? ปูเป้จะไม่โกหกว่ามันไม่เจ็บเลยหรอกนะ แต่มันไม่เจ็บมากจนถึงขั้นทนไม่ได้จะเป็นจะตายหรอก ถ้ากลัวเจ็บก็มียาชาให้ทาด้วยนะ เอาเป็นว่าเคยไปฉีดวัคซีนกันมั๊ย? มันเจ็บน้อยกว่านั้นอีก
อ้อ… แต่ถ้าจุดที่ฉีดมีเส้นประสาทรวมอยู่เยอะ อย่างปีกจมูกเนี่ย เตรียมใจไว้หน่อยก็ดีนะฮะ….
การดูแลตัวเองหลังฉีด BOTOX ถ้าฉีดบริเวณใบหน้าครึ่งบน ห้ามนอนราบประมาณ 4 ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภันฑ์บำรุงผิวที่อาจจะระคายเคืองผิวได้ (AHA / BHA หรือพวกกรดต่างๆ ) ภายใน 1 วันหลังการฉีด
ในช่วง 2 สัปดาห์แรก “ห้าม” นวดหน้า ความร้อน ห้องสตรีม ซาวน่า เลเซอร์ IPL และทุกสิ่งอย่างที่จะก่อให้เกิดความร้อนที่ทำให้ตัวยาสลาย หรือการนวดที่ก่อให้เกิดการกระจายตัวของตัวยาไปยังที่ ๆ ไม่ต้องการ
การฉีด BOTOX ไมได้ป้องกันริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการลด หด หายไปของคอลาเจน และมวลไขมัน ที่เป็นเหมือนกับโครงสร้างค้ำยันของผิว คุณจำเป็นต้องทายากันแดดรวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่น ๆ เพื่อชะลอความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผิวอีกอยู่ดี
เครื่องสำอางที่บอกว่าใช้ทดแทนการทำ BOTOX ได้มัน Work จริงหรอ? ไม่มีเครื่องสำอางใด ๆที่ให้ผลได้เหมือน BOTOX จากการ “ทา” เหตุผลนั้นง่ายมากเพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ส่วนผสมที่อยู่ในเครื่องสำอางจะไปทำงานลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อได้ (มันซึมไปไม่ถึงหรอก) และสมมุติว่าหากมันสามารถซึมลงไปถึงกล้ามเนื้อได้จริง เราจะไปควบคุมให้มันทำงานเฉพาะกล้ามเนื้อที่ต้องการได้ยังไงมิทราบ?
สรุปว่า BOTOX มันต่างกับ Dermal-Filler ยังไง? ถ้าอ่านมาทั้งสองบทความจนถึงตอนนี้แล้วยังถามแบบนี้อีก มันน่าจับตีซะจริงๆ !!!
เทียบง่าย ๆ ว่า BOTOX ทำงานที่กล้ามเนื้อ ใช้รักษาปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
Dermal-Filler คือการเข้าไป “เติมเต็ม” ส่วนที่หายไป ให้เต็มขึ้น หรือเพิ่มในส่วนที่ต้องการ “เสริม” อย่างเสริมจมูก เสริมคางเป็นต้น
ถ้ายังงงอยู่ คงจะสะดวกกับชีวิตที่สุดถ้าไปปรึกษากับแพทย์และให้เขาแนะนำมาเลยว่าต้องจิ้มอะไรตรงไหนบ้างนะ เข้าใจ? โอเค๊?
ก่อนที่จะจากไปในบทความนี้ มาดูกันว่าจากประสบการณ์ตรงของปูเป้ที่ฉีด BOTOX มาเป็นอย่างไรบ้างกันดีกว่า…
ปูเป้ไม่ได้ฉีด BOTOX เพื่อการลดริ้วรอย เพราะว่ามันยังไม่มีนะฮะ ป้องกันมาดีด้วยการทาครีมกันแดดมาตั้งแต่อายุ 12 และส่วนไม่ค่อยแสดงสีหน้ามากเท่าไหร่ เวลาเฉย ๆ หน้าจะนิ่ง ๆ เชิด ๆ หยิ่ง ๆ จนโดนคนเข้าใจผิดกันมาเยอะ (แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยหน้าเราก็ไม่เหี่ยวไวนะ…) จริง ๆ แล้วปูเป้หยิ่งรึเปล่า คนที่เคยสัมผัสตัวจริงก็คงตอบได้เลยฮะว่าอีนี่ “รั่ว”
จริง ๆ ปูเป้ไม่ได้คิดว่าอยากจะฉีด BOTOX มาก่อนเลย เพราะไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องทำอะไรกับตรงนี้ ก็เลยลองฉีด BOTOX เพื่อปรับรูปหน้าเพราะเป็นคนมีแก้มไง เวลาถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอก็จะดูอุดมสมบูรณ์นิดนึง ซึ่งตอนก่อนฉีด BOTOX ก็ไม่ได้สังเกตุหรอกครับ แต่พอมาสังเกตุเทียบหน้าตัวเองก่อนและหลังฉีดแล้วก็แบบว่า เมื่อก่อนทำไมหน้าเราบานได้ขนาดนี้!!!
รูปด้านบนนี้เป็นรูปที่ปูเป้ Capture มาจากวีดีโอที่ลงใน Youtube ทั้งหมด ซึ่งทุกคนสามารถกด Link ไปดูเองได้เลยว่าแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไปนั้น หน้าปูเป้ดูเรียวขึ้นจริงๆ ทั้งที่น้ำหนักไม่ได้ลดลงเลย (เพิ่มขึ้นจาก 62.5 เป็น 65 ด้วยซ้ำไป) ปูเป้เชื่อว่าวีดีโแเหล่านี้เป็นหลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนเพราะเห็นกันจะ ๆ ไปเลยว่าไม่ได้ใช้มุมกล้องหลอกหน้าเรียวแต่อย่างใด มันเรียวเล็กลงได้แบบนั้นจริง ๆ 🙂
กลายเป็นว่าตอนนี้เสพติดไปแล้วฮะ พอ BOTOX เริ่มหมดฤิทธิ์นิดนึงต้องไปฉีดเติมให้มันกลับมาเล็กเรียวอีกครั้ง 😀
ปูเป้มีสิ่งที่อยากจะฝากบอกถึงทุก ๆคนที่มาอ่านบทความนี้ว่า “ความงาม” เป็นสิ่งที่แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน อะไรก็ตามที่คุณทำแล้วรู้สึกพึงพอใจ ก็จงพอใจตามนั้น อย่าไปสนใจคำพูดของคนอื่นว่าฉีดมาแล้วฉีดมาแล้วไม่ดี แบบเก่าสวยกว่า เพราะนี่คือหน้าของเรา ตัวของเรา ความงามในแบบของเรา เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณไม่หนักแน่นหรือมั่นคงในความเชื่อ มุมมอง และความคิดของตัวเอง มันมีความป็นไปได้ว่าคุณจะหลงไปกับคำพูดของคนรอบข้าง ทำให้คุณไม่มั่นใจ และอาจนำไปสู่การศัลยกรรมปรับเปลี่ยนไม่รู้จักจบ เพียงเพราะคุณไม่มี “จุดยืน” ในความงามของตัวเอง
ถ้าอยากจะสวยขึ้น หล่อขึ้น ดูดีขึ้น ขอให้คุณทำเพื่อให้ตัวเองมีความสุข มีความมั่นใจก็พอเถอะครับ อย่าทำเพื่อคนอื่นเลย 🙂
(Source : The Science of Botox – How Botox Works to Reduce Wrinkles , BOTOX Injections in Plastic Surgery , Botox injections , Is Any Cosmetic Better than BOTOX® )