ปีนี้เป็นปีแห่งการเดินทางจริง ๆ นะ เพราะว่ามีดวงต้องเดินทางไปต่างประเทศติด ๆ กันหลายทริปในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากได้ไปสิงคโปร์เมื่อเดือนพฤษภาคม ผ่านมาอีกเดือนก็ต้องกลับไปเยือนอีกครั้งนึง คราวนี้ทางธนาคาร CIMB Thai ร่วมกับ Thai AirAsia จับมือกันพาปูเป้และเพื่อน ๆ คนสนิทไปกินให้หนำใจที่สิงคโปร์กันอีกครั้ง
ทริปนี้เราได้นั่งที่ Hot Seat แถวหน้าสุด ซึ่งมีพื้นที่เหยียดขาได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งเราสามารถบุ๊คที่นั่ง Hot Seat ได้ด้วยการเสียค่าใช้เพิ่มอีกนิดหน่อย แต่นั่งสบายขึ้นเยอะ
ทริปเดินทางไปสิงคโปร์นี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางเราก็อ่านนิตยสาร 3Sixty ไปพลาง ๆ ซึ่งอันนี้เป็นนิตยสารภายในเครื่องของ AirAsia ที่มีทั้งของไทยและต่างประเทศ เอาไว้อ่านฆ่าเวลา หรือหาข้อมูลที่เที่ยวที่น่าสนใจในรูทที่ AirAsia มีบริการ
อาหารบนเครื่องในครั้งนี้คือเมนูข้าวเหนียวไก่ย่าง และต้มยำกุ้งกับข้าวสวย ซึ่งเป็นเมนูที่พึ่งเคยกิน ต้มยำกุ้งไม่ค่อยเผ็ดมาก รสชาติกำลังดีสำหรับเรา (เพราะกินเผ็ดไม่ได้) ส่วนเมนูไก่ย่างนั้นย่างไก่ได้นุ่มและไม่แห้ง มีซอสซึ่งน่าจะเป็นซอสมาขามมาให้ราดด้วย อันนี้อร่อย ใครอยากกินก็ต้องสั่งล่วงหน้าตอนจองตั๋วนะจ๊ะ เมนูของกินที่บริการในเครื่องมีไม่มากเท่าสั่งจองล่วงหน้าจ้า
เดินทางมาถึงสิงคโปร์ก็พบว่าโรงแรมที่เข้าพักยังเช็คอินไม่ได้เพราะกำลังจัดห้องอยู่ เราก็เลยแวะมาที่ธนาคาร CIMB ตรงถนน Orchard ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม Mandarin Orchard ที่เราจะเข้าพักพอดี เราจะมากดเงินกันเพราะว่าไม่ได้แลกเงินมาเลยล่ะ
พอดีว่าก่อนที่จะมาทริปนี้ไม่กี่วันเราได้ไปลองเปิดบัญชี CIMB AirAsia Savers พร้อมกับสมัครบัตร ATM และเปิดบริการ Internet Baking เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
CIMB AirAsia Savers เป็นบริการเงินฝากรูปแบบพิเศษที่ตัวสมุดเงินฝากนั้นจะมีแค่ข้อมูลบัญชีพื้นฐานของเราเท่านั้น จะไม่มีรายการเดินบัญชีของเราบันทึกอยู่ภายในเพราะว่าการทำธุรกรรมใด ๆ หรือการเช็ครายการเดินบัญชี เงินเข้า เงินออก เงินคงเหลือ ดอกเบี้ยเงินฝาก ล้วนสามารถทำผ่านเวปไซต์ https://www.cimbclicks.in.th
หรือผ่านทาง Mobile Application ที่ชื่อว่า CIMB Clicks ทั้งในระบบปฏิบัติการ Android และ iOS
และสำหรับผู้ที่เป็นลุกค้าประจำของ AirAsia และเป็นสมาชิก BIG Card ก็จะมีสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ด้วยถ้ามียอดเงินคงเหลือเฉลี่ยในบัญชี CIMB AirAsia Savers แต่ละไตรมาส ทุก 5,000 บาท ก็จะได้รับ 50 BIG Point เพิ่มเข้าไปอีก
สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตร ATM ของ CIMB คือสามารถถอนเงินได้ที่ตู้ ATM ของ CIMB ทุกที่ใน 5 ประเทศทั่วอาเซียนก็จะไม่ต้องเสียธรรมเนียมหรือค่าบริการใด ๆ แถมเรทที่แลกก็โอเคมาก ๆ อีกด้วย
เดี๋ยวซื้อของก็จะใช้บัตรเครดิตอยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีเงินสดติดตัวไว้ซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างน้ำ ขนม หรือซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินเป็นต้น เบิกออกมา 180 SG$ ก็สามารถมาเช็คในแอพ CIMB Clicks ได้ทันทีว่าถอนไปเป็นเงินเท่าไหร่ เพื่อดูเรทการแลกเปลี่ยนเงิน สรุปว่าหักไป4,784.04 บาท หาร 180 ก็ตก 26.578 บาท ต่อ 1 SG$ ซึ่งสูงกว่าอัตราแลกเปลี่ยนกลางอยู่เพียง 0.3 เท่านั้น ถือว่าได้เรทที่ดีทีเดียว
หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่ชั้นใต้ดินของห้าง Takashiyama ที่อยู่เยื้อง ๆ กัน เจอร้านเจลาโตจากฮอกไกโดที่มีคนต่อคิวเยอะดี และมีหลายรสให้เลือก ปูเป้เลือกรสชาติเบสิคอย่าง ชาเขียวมัทฉะ และงาดำ เพราะว่าถ้าทำรสเบสิคไม่อร่อยก็แปลว่าร้านนั้นไม่ผ่าน
สรุปว่าทำออกมาได้อร่อยมากนะ ครีมมี่ หอม โดยเฉพาะรสงาดำนี่เข้มข้นสุด ๆ แนะนำว่าควรไปลองกินกันดู 😀
หลังจากนั้นก็แวะไปที่ Cold Storage ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เกตที่มีของนำเข้าหลายชนิด (จะว่าไปสิงคโปร์ก็นำเข้าทุกอย่างแหล่ะ) เจอมันทอด Jagabee ห่อใหญ่ที่มี 6 ห่อเล็กด้านใน ราคา 3.75 SG$ ก็เลยจัดมาฝากเพื่อน ๆ ซะหน่อย
หลังจากเดินเล่นสักพักเราก็มาเช็คอินที่โรงแรม Mandarin Orchard ที่เราเคยมากินข้าวมันไก่คราวก่อน ดูจากเลย์เอาท์ของอาหารแล้วน่าจะเป็นโรงแรมที่สร้างมานานแล้วล่ะ แต่มีการรีโนเวทตกแต่งใหม่ซะแจ่มเชียว
ห้องมีการตกแต่งด้วยสไตล์ที่เรียบง่าย ไม่ฉูดฉาด แต่โดดเด่นตัดกับผนังสีขาวสะอาดของห้องได้เป็นอย่างดี ห้องน้ำกว้างขวางและสะอาด แต่ว่าไม่มีอ่างอาบน้ำ เสียจัยยยยยยยยยยยยย
บนเตียงมีเจ้า Octo ปลาหมึกหน้าตาน่ารัก มาสคอตของ CIMB มาต้อนรับเราด้วย
บรรดา Travel Essential ของเรา ข้อดีของการซื้อของเคาน์เตอร์ คือเราจะมีของขนาดเดินทางเอาไว้พกพาแบบนี้แหล่ะ
อาหารเย็นวันนี้เราไปกันที่ร้าน No Signboard Seafood Restaurant สาขา Vivo City ซึ่งอยู่เหนือสถานีรถไฟใต้ดิน Habour Front พอดี (ในสิงคโปร์มี 4 สาขา เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.nosignboardseafood.com)
เปิดมาด้วยเมนูออเดริฟ 5 อย่าง อันนี้รสชาติกลาง ๆ นะ วันนี้มีหูฉลามด้วย เป็นอาหารที่ชอบเลยล่ะ แต่ว่าก็ไม่ได้กินมานานแล้วเพราะอยากให้คนเลิกล่าฉลาม ถ้าเเป็นคนสั่งอาหารเองก็จะไม่สั่งเมนูที่ใช้หูฉลาม แต่ว่าอันนี้ทางไกด์เขาสั่งให้แล้วเรียบร้อย มาวางอยู่ตรงหน้าก็ต้องกินน่ะ แต่คราวหน้าเวลาไปไหนจะแจ้งไว้ก่อนว่าเป็นไปได้ไม่อยากให้สั่งเมนูที่มีหูฉลาม
ปลานึ่งซีอิ้วนี่สด อร่อย เนื้อหวาน ฉ่ำ แล้วก็นุ่ม อร่อยมาก อีกเมนูเป็นของขึ้นชื่อของเขาก็คือ White Pepper Crab ซึ่งใช้ปูทะเลตัวใหญ่ ก้ามขนาดเท่าฝ่ามือ เนื้อแน่น และสดหวาน แต่เบื่อเวลาแกะ
โจ๊กกุ้งลอปสเตอร์ก็ทำออกมาได้รสชาติดี เนื้อโจ๊กละมุนแบบบอกไม่ถูก หอมกลิ่นกุ้งด้วย ผัดหอยเชลล์ก็อัดหอยเชลล์มาแบบไม่ยั้ง เนื้อหอยเด้งดึ๋ง ฉ่ำ ๆ กินเพลินอิ่มไม่รู้ตัว
หลังจากอิ่มของคาว เราก็กลับมาที่โรงแรมและเดินมาต่อที่ห้าง Wisma Atria ที่อยู่บนถนน Orchard เพื่อมาหม่ำขนมที่ร้าน Paris Baguette Cafe ซึ่งเป็นร้านเบเกอรี่ของเกาหลีเขาล่ะ
เมนูที่แนะนำให้มาหม่ำถ้าคุณชอบชีสเค้กคือ Gone With The Cheese ที่ใช้ฐานเป็นแป้งพัฟกรอบ ๆ รองด้วย Spong Cake ชั้นครีม และชีสเค้กเนื้อละเอียด เบา นุ่ม เนียน หอมอร่อยมาก ๆ
อีกเมนูที่ห้ามพลาดคือ Royal Pudding ที่หอมรสนมและครีมแบบสุด ๆ กินคู่กับซอสคาราเมลด้านล่างนี่ฟินนนนนน
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากหม่ำอาหารเช้าที่โรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็แวะไปที่วัดเจ้าแม่กวนอิม หรือ Kwan Im Thong Hood Cho Temple ตรงถนน Waterloo เพื่อไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ถนนสายนี้เป็นหนึ่งในถนนคนเดินสายเดียวในสิงคโปร์ที่ทางการยอมให้มีการตั้งร้านขายของริมทางเท้าได้ (สิงคโปร์ห้างขายของริมถนนจ้า) แต่ว่าของที่ขายก็อารมณ์เหมือนงานวัดบ้านเรา มีขายน้ำมันนวด ต้นไม้ ของขายอารมณ์ Home Shopping ไม่ใช่ที่สำหรับวัยรุ่นอย่างเราจะมาเดินเท่าไหร่
ต่อไปเราก็แวะมาที่วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว หรือ Buddha Tooth Relic Temple ซึ่งอยู่ในย่าน China Town เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุของพระพรุทธเจ้าซึ่งถูกเก็บวางไว้บนแท่นที่ทำจากทองคำ (ห้ามถ่ายรูปจ้า)
ที่วัดแห่งนี้เป็นแหล่งปฏืบัติธรรม และยังเป็นพิพิทธภัณฑ์ซึ่งจัดแสดงประวัติของพระพถทธเจ้า รวมถึงสถาปัตยกรรมของศาสนาพุทธในภูมิภาคต่าง ๆ กันเอาไว้อีกด้วย
หลังจากไหว้พระเสร็จ ฝนก็ตกลงโครมใหญ่ แต่เขาว่ากันว่าฝนตกหลังทำบุญนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็หวังว่าจะหยุดตกตอนที่เราไปถึงเกาะ Sentosa ละกันนะ…
มาถึงเกาะ Sentosa ปั๊ปฝนหยุดตกทันที ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ ก่อนที่จะปล่อยให้เราไปสนุกกันที่ Universal Studio ก็ต้องขอมาชักภาร่วมกันเป็นที่ระมึกตามธรรมเนียม 😀
เราเจอกันอีกแล้วนะ Dave
ปูเป้มาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว จึงมาเก็บเฉพาะเครื่องเล่นที่ลืมเล่นในครั้งก่อน อย่าง Transformer The Ride ซึ่งวันที่มาในรอบนี้เป็นวันหยุด คนเลยเยอะกว่าคราวก่อนที่มาซึ่งเป็นวันธรรมดามาก ขนาดไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น ยังต่อคิวกัน 45 นาทีเลยล่ะ
Transformer The Ride เป็นเครื่องเล่นแบบ Simulator ที่ตัวรถจะสามารถขยับได้หลายทิศทาง ซึ่งตัวรถจะเคลื่อนผ่านไปยังห้องต่างๆ ที่เป็นเหมือนกับโรงหนังขนาดย่อม ซึ่งบนเจอจะฉายเป็นภาพยนต์ในรูปแบบ 4 มิติที่มีทั้งลม และน้ำพ่นออกมาด้วย โดยรวมทำออกมาได้ค่อนข้างดี ให้ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังวิ่งและเหวี่ยงอยู่ในสถานการณ์จริง แต่ว่าภาพ 3D นั้นออกจะเบลอไปหน่อย ทำให้ดูมึน ๆ อยู่บ้าง
และตอนที่เราเล่นไปได้สักพัก เครื่องเล่นก็เสียกลางคัน ติดอยู่ในนั้นนานกว่า 20 นาทีกว่าที่จะมีพนักงานมาเปิดให้เราเดินลงไปออกทางประตูฉุกเฉิน พร้อมทั้งแจกตั๋ว Express เพื่อให้เราลัดคิวมาเล่นเครื่องเล่นนี้อีกครั้งหลังจากซ่อมเสร็จ
แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการมา Sentosa ในครั้งนี้คือการมาสวนน้ำ Adventure Cove Water Park ซึ่งอยู่ตรงกันข้าม ไม่ไกลจาก Universal Studio เท่าไหร่ เดินได้สบายๆ ชิล ๆ
ค่าเข้าสวนน้ำอยู่ที่ 36 SG$ สำหรับผู้ใหญ่ และ 26 SG$ สำหรับเด็ก สวนน้ำนี้ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามทีเดียว มีสระน้ำวนขนาดใหญ่ล้อมรอบซึ่งใช้เวลากว่า 30 นาทีกว่าจะลอยฉึ่งไปจนครบ สระน้ำวนยังมีลอดใต้อุโมงแก้วที่เห็นสัตว์น้ำต่าง ๆ และในช่วงพีคเราอาจจะได้เห็นปลาโลมาอีกด้วย
ที่นี่มีสไลดเดอร์สำหรับเด็กโตและสำหรับผู้ใหญ่อยู่ 5 แบบ โดยหนึ่งในนั้นเป็นสไลเดอร์ที่เหมือนกับนั่รถไฟเหาะด้วย
วันที่ไปเป็นวันหยุดจึงมีคนค่อนข้างเยอะทีเดียว ถ้าจะมาที่นี่เราแนะนำให้มาในวันธรรมดา หรือถ้าจะมาในวันหยุดก็คงต้องใช้เวลาเกินครึ่งวันกว่าจะเล่นได้จนหนำใจ
มี Wave Pool ด้วย
ข้อเสียของที่นี่คือห้องอาบน้ำและเปลี่ยนชุดที่มีขนาดเล็กและไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ไม่มีที่เป่าผม แต่ใช้เป็นตู้เป่าแห้งที่ต้องหยอดเหรียญแทน ล็อคเกอร์ให้เช่ราคาแพงมาก 10 SG$ สำหรับตู้เล็ก และ 20 SG$ สำหรับตู้ใหญ่ คือครึ่งนึงของค่าเข้าสวนน้ำเลยอ่ะ เราว่าโหดไปนะ…
แต่ถ้าไม่คิดมากเรื่องราคา เราว่านี่เป็นสวนน้ำที่น่ารักดี ตกแต่งได้อย่างสวยงาม เหมาะที่จะถ่ายรูปและใช้เวลากับครอบครัวชิล ๆ เลยล่ะ
อาหารเย็นในวันนี้เป็นอาหารประจำท้องถิ่นที่นักท่องเที่ยวต้องมากินอีกอย่าง ก็คือ Bak Kut Teh ที่ร้าน Song Fa ซึ่งมีอยู่ 3 สาขาในสิงคโปร์ (เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.songfa.com.sg) คนต่อคิวยาวเลยล่ะ แปลว่าเป็นที่นิยมมาก
Bak Kut Teh เป็นเมนูน้ำแกงใสแบบจีน แปลตามตัวก็คือกระดูกหมูและน้ำชา น้ำซุปกระดูกหมูที่ถูกต้มจนเปื่อยแบบพอดี มีกลิ่นของเครื่องเทศและกระเทียม มีความเผ็ดของพริกไทยในระดับหนึ่ง สำหรับเราคือว่าเผ็ด แต่คนอื่นที่กินเผ้ดได้คงเฉย ๆ แน่นอนว่าการกิน Bak Kut Teh จะต้องกินกับน้ำชา แต่วันนี้เหนื่อยมาก ขอซัดเป็นน้ำมะนาวเย็นแทนละกัน
เครื่องเคียงก็มีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ขาไก่ตุ๋น ขาหมูพะโล้ ผักดอง ถั่วต้มเครื่องยาจีน ซึ่งก็อร่อยดีนะ แต่อันที่เราไม่ประทับใจเลยคือปาท่องโก๋ คือมันเหนียวเหมือนกำลังเคี้ยวยางลบเลยล่ะ
โดยรวมถือว่า Bak Kut Teh เป็นเมนูที่โอเคนะ คือไม่ได้แย่ แต่เราคาดหวังเอาไว้ว่ามันน่าจะอร่อยกว่านี้
เช้าวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ในสิงคโปร์ เราแว่บไปกิน Kaya Toast ของร้าน Killiney ซึ่งก็มีหลายสาขาในสิงคโปร์เช่นกัน แต่สาขาใกล้โรงแรมที่เราพักอยู่ตรงชั้นใต้ดิน B4 ของห้าง Ion Orchard ที่ร้านนี้จะมี Kata Toast ที่แตกต่างจากร้าน Ya Kun อยู่ตรงที่มีขนมปังปิ้งแบบหนานิ่มด้วย
หลังจากที่ลองกินแล้วเรารู้สึกว่าชอบเวอร์ชั่นขนมปังปอนด์แบบหนานิ่มมากว่า เพราะมันได้สัมผัสที่กรอบนอกนิดหน่อย นุ่มแนนข้างใน กับเนยเป็นชิ้นเบ้ง ๆ และไส้ Kaya หวาน ๆ
ต่อจากนั้นเราก็มาที่ร้าน Tiong Bahru Bakery ที่อยู่ในห้าง Tangs Plaza orchard ชั้น 1 ติดกับแผกเครื่องสำอาง ซึ่งเปิดโดยเชฟชาวฝรั่งเศสชื่อ Gontran Cherrier และยังได้รับการโหวตด้วยว่าเป็นร้านที่มีครัวซองค์อร่อยที่สุดในสิงคโปร์
ต้องบอกวาไม่ผิดหวังเลย ครัววองค์ของเขาจะเห็น Layer ของชั้นแป้งที่ชัดมาก ด้านนอกกรุปกรอบ ด้านในนุ่ม หอมเนย แค่กินเปล่าๆ ก็อร่อยแล้ว แนะนำให้มาลองกินกันดูจ้า
หลังจากนั้นเราก็กลับไปเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมและเดินทางไปยัง Garden By The Bay ซึ่งเป็นสวนพฤกษชาติขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อน
ตรงกลางของสวนเราจะเห็น Super Tree ซึ่งภายในทำด้วยคอนกรีต ตกแต่งด้านอกด้วยโครงเหล็กเพื่อเป็นที่แขวนพันธุ์ไม้กว่า 200 ชนิด มีจำนวนทั้งหมด 11 ต้น โดยที่ส่วนบนสุดเป็นแผงโซล่าไว้ผลิตพลังงานไฟฟ้า
ต้นที่สูงที่สุดมีความสูง 50 เมตร ซึ่งบนนั้นก็มีห้องอาหารลอยฟ้าอยู่ด้วย วิวคงจะงามน่าดูในตอนกลางคืน ยังมีต้นที่สูงรองลงมาให้เราขึ้นไปได้สูงถึง 22 เมตร เพื่อที่จะเดินบนทางแขวนระยะยทางยาว 128 เมตรเพื่อชมบรรยากาศของสวนแห่งนี้และรอบ ๆ อ่าวของสิงคโปร์ และตัวเมืองแบบ 360 องศา
ห่างจาก Super Tree ไปไม่ไกลจะมีโดมกระจกขนาดใหญ่อยู่ 2 อัน อันแรกเรียกว่า Flower Dome ซึ่งภายในจะมีการปรับอุณหภูิเพื่อเลี้ยงพันธ์ไม้จากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นไม้ทะเลทราย หรือไม้จากเมืองหนาว ซึ่งสวนตรงกลางจะมีการผัดเปลี่ยนในการจัดแสดงดอกไม้ไปเรื่อย ๆ
โดยรวมเราว่าสวยนะ แต่เราคาดหวังว่าจะมีดอกไม้มากกว่านี้ล่ะ
อีกโดมหนึ่งคือ Cloud Forest Dome ซึ่งเมื่อเข้ามาเราจะเห็นน้ำตกฝีมือมนุษย์ที่เขาบอกว่าสูงที่สุดในโลก
สิ่งที่น่าสนใจคือเราสามารถขึ้นลิฟท์เพื่อไปบนยอดสุดของน้ำตก และจะมีทางเดินยื่นออกมาให้เราเดินชมชั้นต่างๆ รอบ ๆ น้ำตกได้
พืชที่อยู่ในนี้จะเป็นพืชในเขตป่าฝนที่มีความชื้นอยู่สูง มีกล้วยไม้ต่าง ๆ รวมถึงชั้นล่างสุดจะเป็นต้นไม้โบราณจำพวกเฟรินน์เป็นส่วนมาก
สิ่งที่น่าสนใจคือนี่ไม่ใช่แค่สวนพฤกษ์ชาติที่มาเดินชมนกชมไม้สวยๆ แต่จะมีส่วนของนิทรรศการเพื่อสอดแทรกให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และปัญหาโลกร้อน และอุณภูมิที่เพิ่มขึ้นในแต่ละองศานั้นจะส่งผลกระทบอย่างไรกับโลกของเรา
นอกจากี้ยังมีแผนผังที่แสดงว่า Garden By The Bay ถูกสร้างขึ้นมาโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและนำพลังงานมาหมุนเวียนใช้ได้อย่างไรบ้าง
หลังจากเดินจนหิวแล้ว เราก้มากินอาหารกลางวันกันที่ร้าน Swee Kee (Ka-Soh) Fishead Noodle House (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.ka-soh.com.sg)
ซึ่งแน่นอนว่าเมนูขึ้นชื่อก็คงจะเป็นเส้นหมี่อวบ ๆ ในน้ำซุปสีขาวข้น กับเนื้อปลาที่อัดแน่นจนเต็มชา รสชาติจะออกจืด ๆ นิดนึงซึ่งสามารถที่จะเติมซอสเพื่อปรุงรสได้ตามใจชอบ
แต่เมนูที่เราว่าอร่อยว่าคือไก่ทอดจานนี้ ซึ่งทอดมาได้อร่อยมากทีเดียวล่ะ เมนูนี้ห้ามพลาด
หลังจากนั้นก็ไปแกร่วกันที่ Marina Bay Sands เพื่อฆ่าเวลา แต่เราก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะไม่มีอะไรจะให้ซื้อ เครื่องสำอางก็เต็มบ้าน แบรด์เนมก็ไม่สนใจ เราเลยมานั่งจิบชากินขนมสวย ๆ ที่ TWG นั่นเอง
อาหารเย็นก่อนจะบินกลับบ้านก็ต้องแวะร้าน Boon Tong Kee (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.boontongkee.com.sg) ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องข้าวมันไก่แสนอร่อย เนื้อไก่นั้นชิ้นหนาและนุ่ม ฉ่ำ รสอาจจะไม่เข้มข้นมากสำหรับปากคนไทย แต่ปริมาณมากล้นก็ทำให้สะใจไม่หยอกเหมือนกัน ข้าวมันที่นี่อร่อยและหอมดีล่ะ
เมนูอื่น ๆ ร้านนี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่นะ โดยเฉพาะหมูผัดซอสที่โรยงาด้านล่างนี้ เหมือนจะมีรสของกาแฟอยู่เล็กน้อย อันนี้อร่อยมากทีเดียว เป็นอีกเมนูที่แนะนำอีกเช่นกัน
หลังจากอิ่มจนพุงจะแตกเราก็ถึงคราวที่จะต้องกลับบ้านพร้อมกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
ทริปนี้เป็นอีกทริปที่น่าประทับใจ ได้ไปกินร้านที่ยังไม่เคยไป ได้ไปเที่ยวในที่ ๆ มาสิงคโปรืหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยได้แวะ แม้จะมาสิงคโปรืหลายครั้งแล้ว แต่ทริปนี้ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้อยู่
ต้องขอขอบคุณ CIMB Thai และ Thai AirAsia ที่พาปูเป้และเพื่อน ๆ มาสนุก อิ่ม อร่อย กันในทริปนี้ด้วยนะฮะ