เริ่มต้นปีใหม่ กับผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ช่วยมอบผิวใหม่ที่ดูอ่อนวัยกว่าเดิม กับบูสเตอร์ใหม่ล่าสุดจาก Clinique ที่อัดแน่นไปด้วย Retinol ในความเข้มข้นที่คาดหวังผลได้จริงไม่อิงนิยาย และในเมื่อคราวนี้ Retino เป็นนางเอก ปูเป้จะขอจัดเต็มข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมตัวนี้แบบอัดแน่นกันเลย

เมื่อกลางปีก่อนเราเห็นข่าวในวงวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางว่าบ้าน Estee Lauder Company กำลังศึกษาเกี่ยวกับอนุพันธ์วิตามินเอ เราก็มั่นใจว่าบูสเตอร์ตัวใหม่นี้ก็คงจะใช้อนุพันธ์วิตามินเอตัวนั้น แต่ผิดคาด!!! สรุปว่าเขาใช้วิตามินเอในรูปแบบ Retinol ล่ะ ซึ่งส่วนตัวเรามองว่าก็เป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะถึงแม้  Retinol  จะไม่ได้เป็นส่วนผสมที่ใหม่ แต่ก็เป็นรูปแบบที่มีการศึกษาเยอะมากขึ้น และล่าสุด Retinol ก็ได้รับการยอมรับจากกระทรวงสาธารณะสุขของญี่ปุ่นในการขึ้นทะเบียนเป็น  Quasi-Drug ในประเภทของ Anti-Aging เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมาด้วยล่ะ

ผลิตภัณฑ์ Clinique : Fresh Pressed™  Overnight Booster with Pure Vitamin A ตัวนี้จะจำหน่ายเป็นแพ็คคู่มาพร้อม Clinique : Fresh Pressed™  Daily Booster with Pure Vitamin C 10% โดยแพ็คคู่จะมีชื่อว่า Clinique : Fresh Pressed Clinical™ โดยชุดเล็ก 1+1 Vitamin A ขนาด 6ml และ Vitamin C ขนาด 8.5 ml อย่างละหลอด ราคาอยู่ที่ 1,800 บาท ใช้ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งเหมาะกับการซื้อมาทดลองใช้ดู ส่วนชุด 2+2 Vitamin A ขนาด 6ml จำนวน 2 หลอด Vitamin C ขนาด 8.5 ml จำนวน 2 หลอด สนนราคาอยู่ที่ 3,600 บาท

คำแนะนำจากทางแบรนด์คือให้ใช้  Vitamin C ในตอนกลางวัน ส่วน Vitamin A ในตอนกลางคืน ซึ่งก็ฟังดูมีเหตุผลเพราะปกติเราก็จะใช้  Retinol เข้มข้นในตอนกลางคืนอยู่แล้ว แต่ถ้าใครอยากใช้ Vitamin C พร้อมกับ Vitamin A ในตอนกลางคืน จะได้หรือไม่นั้น ขอให้อ่านไปจนถึง FAQs ข้างล่างนะฮะ

Vitamin A Basics

Retinol (เรตินอล) เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอและเป็นรูปแบบที่ก็มีอยู่ในร่างกายของเราตามธรรมชาติ และเป็นวิตามินสำคัญในการทำงานในการทำงานของเซลล์ โดยหลักการแล้วเซลล์จะรับ Retinol เข้าไป และจะมีการเปลี่ยนรูปแบบเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ โดยเปลี่ยนเป็นรูป Retinyl Ester (อย่างเช่น Retinyl Palmitate) เพื่อใช้ในเก็บสะสม (Storage) โดยสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็น Retinol ได้เมื่อต้องการ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่นเพื่อใช้ในกระบวนการทำงานของเซลล์ เป็น Retinaldehyde และเปลี่ยนอีกครั้งเป็น Retinoic Acid ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีการศึกษาแล้วว่าจะเข้าไปจับกับตัวรับในเซลล์เพื่อทำงานในการเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ลดเลือนริ้วรอย ลดการอุดตันของสิว

วิตามินเอที่อยู่ในเครื่องสำอางนั้นก็เป็นพวกกลุ่ม Retinyl Ester กับ Retinol และ Retinaldehyde รวมไปถึงอนุพันธ์วิตามินเออื่น ๆ ส่วนสารกลุ่มกรดวิตามินเอ หรือ Retinoic Acid นั้นจัดเป็นยา ไม่สามารถใช้ในเครื่องสำอางได้ ตัวอย่างเช่น  Tretinoin (ตัวยาในผลิตภัณฑ์ยา  Retin-A และ Renova)

คนชอบสับสนระหว่าง  Retinol กับ Retin-A ด้วยความมันอาจจะดูออกเสียงคล้ายกัน และมันเป็นสารกลุ่มวิตามินเอทั้งคู่ แต่มันคือคนละตัวกัน Retinol (เรตินอล) คือรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ เป็นเครื่องสำอาง ส่วน Retin-A (เรติน-เอ) คือชื่อยี่ห้อ ชื่อทางการค้าของยาตัวหนึ่ง ที่ใช้ตัวยากรดวิตามินเอ Tretinoin

จากข้อมูลที่มีในปัจจุบันระบุว่า Retinol นั้นมีฤิทธิ์น้อยกว่า Retinoic Acid ประมาณ 20 เท่า แต่ก็มีข้อดีในแง่ของการระคายเคืองที่น้อยกว่าด้วยเช่นกัน ปัจจุบันมีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและกลไกในการทำงานของ Retinol มากขึ้น ซึ่งมีการศึกษาทั้งในผิวที่แก่ก่อนวัยจากแสงแดด (Photoaged) และผิวที่แก่ตามธรรมชาติ (Naturally Aged) ซึ่งผลก็ออกมาว่า Retinol สามารถที่จะช่วยลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูคุณภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ โดยการศึกษาที่รวบรวมมาได้นั้นใช้ Retinol ในความเข้มข้นตั้งแต่ 0.1% ไปจนถึง 1% เลยทีเดียว

(Source : Topical retinol and the stratum corneum response to an environmental threat.A comparative study of the effects of retinol and retinoic acid on histological, molecular, and clinical properties of human skin.Prospective, randomized, double-blind assessment of topical bakuchiol and retinol for facial photoageing.The effects of topical application of phytonadione, retinol and vitamins C and E on infraorbital dark circles and wrinkles of the lower eyelids.Molecular basis of retinol anti-aging properties in naturally aged human skin in vivoImprovement of naturally aged skin with vitamin A (retinol).)

ในแง่ของประสิทธิภาพในการฟื้นบำรุงผิวกับความเข้มข้นของ Retinol นั้น พบว่าการใช้ Retinol ในความเข้มข้นที่ 0.1% ในการใช้ 8 สัปดาห์นั้นช่วยฟื้นฟูสภาพผิวและริ้วรอยอันมาจากการทำร้ายของแสงแดดได้เมื่อเทียบกับ Vehicle ที่ไม่ได้ผสม Retinol ลงไป

การศึกษาการใช้  Retinol 0.1% ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 ปี ก็ให้ผลออกมาว่ากลุ่มที่ใช้มีสภาพผิวที่อ่อนเยาว์กว่า และตรวจพบการแสดงออกของ Procollagen Type I กับสารกลุ่มไฮยาลูโรนิคแอซิด และโปรตีน Ki67 ซึ่งเป็นตัวที่ใช้ชี้วัดการแบ่งตัว (Proliferation) ของเซลล์

การทดสอบที่เทียบการใช้ Retinol 0.5% กับ Retinol 1.0 % ก็พบว่า ประสิทธิภาพของ Retinol 1.0% นั้นสูงกว่า แต่แม้ความเข้มข้นของ Retinol 0.5% จะให้ผลที่น้อยกว่า แต่ก็อ่อนโยนและระคายเคืองน้อยผิวน้อยกว่าด้วยเช่นกัน

(Source : Treatment of facial photodamage using a novel retinol formulation.One-year Topical Stabilized Retinol Treatment Improves Photodamaged Skin in a Double-blind, Vehicle-controlled TrialA stabilized 0.1% retinol facial moisturizer improves the appearance of photodamaged skin in an eight-week, double-blind, vehicle-controlled study.)

ข้อมูลที่ปูเป้คิดว่าน่าสนใจมากคือการศึกษาที่เปรียบเทียบการใช้  Retinol 0.1% เทียบกับ Retinoic Acid 0.1% ซึ่งให้ผลออกมาว่า ทั้ง Retinol และ Retinoic Acid ก็ช่วยให้ผิวชั้น  Epidermis มีความหนาขึ้น และความแข็งแรงของชั้น  Dermal-Epidermal Junction และกระตุ้นการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับคอลลาเจนอย่าง COL1A1 และ COL3A1 ซึ่งสอดคล้องกับการตรวจพบปริมาณของโปนตีน Collagen 1 และ 3 ที่เพิ่มขึ้น โดย Retinol ให้ผลที่น้อยกว่า Retinoic Acid ตามหลักการทุกอย่าง แต่เป็นข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ Retinol ที่มีความเข้มข้นตั้งแต่ 0.1% ขึ้นไป นั้นมีผลในการปรับปรุงและฟื้นบำรุงผิวที่ไม่ว่าจะแก่ก่อนวัย หรือแก่ตามวัย

(Source : A comparative study of the effects of retinol and retinoic acid on histological, molecular, and clinical properties of human skin.)

โดยสรุปแล้วส่วนผสม Retinol นั้นมีประสิทธิภาพในการต่อต้านร้ิวรอย ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมโทรมก่อนวัยจากแสงแดด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและสารกลุ่มไฮยาลูโรแนนที่ทำให้ผิวเต่งตึง รวมไปถึงอีลาสตินที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น โดยมีเงื่อนไขว่าผลิตภัณฑ์จะต้องมีปริมาณของ Retinol ที่มากพอ และต้องมีความเสถียรตลอดอายุการใช้งานอีกด้วย ความเข้มข้นที่สูงกว่านั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าแต่ก็ระคายเคืองผิวมากกว่าเช่นกัน ดังนั้นการหาระดับความเข้มข้นที่ให้ประสิทธิภาพที่สมกุลกับความปลอดภัยและอ่อนโยนจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

Product’s Formula

ผลิตภัณฑ์ Clinique : Fresh Pressed™  Overnight Booster with Pure Vitamin A นั้นเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์บูสเตอร์ที่ผสมสดก่อนใช้ โดย Retinol มาในรูปของเหลวที่มีการ Stabilized ทำให้เสถียรเอาไว้ในระดับหนึ่งแล้วก่อนแยกเก็บส่วนผสมของ Retinol เอาไว้ในแคปซูลแบบ Double-Wall เพื่อปกป้องส่วนผสมนี้จากทั้งแสง ออกซิเจน และความร้อน ที่เป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำให้ Retinol เสื่อมสลายได้ง่าย

เมื่อกดผสมลงไปในตัวเบสเซรั่มจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีความเข้มข้นของ Retinol อยู่ที่ 0.3% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่สูงที่สุดแล้วตามเงื่อนไขว่าผลิตภัณฑ์สูตรนี้จะสามารถจำหน่ายได้ทั่วโลก (เพราะกฏหมายของ EU กำหนดให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับใช้กับผิวหน้านั้นสามารถใส่ Retinol ได้มากสุด 0.3% เท่านั้น) ซึ่ง 0.3% ก็เป็นความเข้มข้นที่มากพอที่จะคาดหวังผลได้ แต่ก็ยังไม่มากเกินไปจนต้องกังวลเรื่องการระคายเคืองแบบความเข้มข้นที่สูงกว่า

(Source : Scientific Committee on Consumer Safety SCCS OPINION ON Vitamin A (Retinol, Retinyl Acetate, Retinyl Palmitate))

ตัวเบสของเซรั่มนั้นก็ยังอุดมไปด้วยส่วนผสมที่น่าสนใจโดยจะเน้นไปที่เปปไทด์ต่อต้านริ้วรอย ส่วนผสมของสารต้านการระคายเคือง สารแอนติออกซิแดนท์ และตัวที่ช่วยชดเชยเรื่องความชุ่มชื้น

เปปไทด์ตัวหลักจะมีในรูปแบบของ Acetyl Hexapeptide-8 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Argireline ถูกเคลมในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอย การทดสอบในมนุษย์พบว่าเปปไทด์ตัวนี้ช่วยลดริ้วรอยและลดความหยาบกร้านของผิวได้ การทดสอบกับกลุ่มผู้ที่ฉีด BOTOX ก็พบว่าคนที่ฉีดและทาผลิตภัณฑ์ที่มีเปปไทด์ตัวนี้จะช่วยยืดระยะเวลาของผลที่ได้จากการฉีด BOTOX ได้นานขึ้น และอีกตัวคือ Palmitoyl Hexapeptide-12 (pal-VGVAPG) หรือ Biopeptide EL™ โดยบริษัท Sederma เคลมว่าเป็นเปปไทด์ทีกระตุ้นการสร้างอีลาสติน เพื่อความยืดหยุ่นกระชับของผิว  ส่วน Whey Protein\Lactis Protein\Protéine Du Petit-Lait คือ คือส่วนผสมที่มีชื่อว่า MPC™ – Milk Peptide Complex ผู้ผลิตสารเคลมว่าช่วยกระตุ้นการสร้างไฮยาลูโรนิคแอซิดในผิวได้ดีมาก ช่วยลดริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว  (ส่วนผสมของเปปไทด์ 3 ชนิดนี้มีอยู่ใน Clinique : Fresh Pressed™ Daily Booster with Pure Vitamin C 10% เช่นกัน)

(Source : A synthetic hexapeptide (Argireline) with antiwrinkle activity.The anti-wrinkle efficacy of argireline, a synthetic hexapeptide, in Chinese subjects: a randomized, placebo-controlled study., Pilot Study of Topical Acetyl Hexapeptide-8 in Treatment of Blepharospasm in Patients Receiving Botulinum Neurotoxin TherapyIn vitro skin penetration of acetyl hexapeptide-8 from a cosmetic formulation.Topical delivery of acetyl hexapeptide-8 from different emulsions: influence of emulsion composition and internal structure.Evaluation of dermal extracellular matrix and epidermal-dermal junction modifications using matrix-assisted laser desorption/ionization mass spectrometric imaging, in vivo reflectance confocal microscopy, echography, and histology: effect of age and peptide applications.)

ส่วนผสมที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Clinique : Fresh Pressed™  Overnight Booster with Pure Vitamin A สำหรับยามคำคืนดูจะเน้นไปที่การเสริมการฟื้นบำรุงผิวจากความเสียหายในตอนกลางวัน ซึ่งได้แก่ Plankton Extract หรือ Photosomes® โดยบริษัท AGI/Dermatics ซึ่งเป็นสารสกัดจากแพลงก์ตอนพืช Anacystis Nidulans โดยในเอกสารการจดสิทธิบัตรเคลมว่าส่วนผสมตัวนี้ช่วยไปฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากรังสี  UV  อีกส่วนผสมคือ Micrococcus Lysate หรือ  Ultrasomes® ซึ่งผลิตโดยบริษัท AGI/Dermatics อีกเช่นกัน ผู้ผลิตส่วนผสมเคลมว่าส่วนผสมนี้ช่วยฟื้นฟูผิวหลังจากถูกทำร้ายจากแสงแดด

ส่วนผสมอื่น ๆ จะเน้นไปที่การต้านการระคายเคือง การต้านการอักเสบ และส่วนผสมที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น เพื่อที่จะผลผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการใช้ Retinol ที่มีความเข้มข้น ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีส่วนผสมของ Salicylic Acid หรือ BHA แต่ค่า pH นั้นไม่ต่ำพอ และน่าจะมาในปริมาณที่ไม่มาก ส่นผสมตัวนี้น่าจะถูกใช่เพื่อช่วยยืดอายุให้ผลิตภันฑ์มากกว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม สี

Ingredients: Water\Aqua\Eau, Polysorbate 20, Dimethicone, Glycine Soja (Soybean) Oil, Butylene Glycol ,Vinyl Dimethicone/Methicone Silsesquioxane Crosspolymer, Methyl Trimethicone, Bis-PEG-18 Methyl Ether Dimethyl Silane, Lauryl PEG-9 Polydimethylsiloxyethyl Dimethicone, Glycerin, Polysilicone-11, Methyl Gluceth-20, Retinol, Salicylic Acid, Oenothera Biennis (Evening Primrose) Flower Extract, Laminaria Saccharina Extract, Gellidiella Acerosa Extract, Cholesterol , Salvia Sclarea (Clary) Extract, Caffeine, Sigesbeckia Orientalis (St. Paul’S Wort) Extract, Aminopropyl Ascorbyl Phosphate, Plankton Extract  Palmitoyl Hexapeptide-12, Glycine Soja (Soybean) Seed Extract, Micrococcus Lysate, Hypnea Musciformis (Algae) Extract, Acetyl Hexapeptide-8, Glycine Soja (Soybean) Protein, Tocopheryl Acetate, Whey Protein\Lactis Protein\Protéine Du Petit-Lait, Sodium Hyaluronate, Acetyl Glucosamine, Caprylyl Glycol, Carbomer, Glyceryl Polymethacrylate, Sodium Hydroxide, PEG-8, Xanthan Gum, Calcium Chloride, Ammonium Acryloyldimethyltaurate/Vp Copolymer, Lecithin, Sodium Citrate, Disodium EDTA, BHT, Sodium Benzoate, Phenoxyethanol.

Usage & Result

สำหรับคนที่คุ้นเคยกับการใช้ Clinique : Fresh Pressed™ มาแล้วก็คงเดาได้ไม่ยาก การใช้ผลิตภัณฑ์นั้นต้องเริ่มต้นจากการแกะฟลอยด์ที่ปลายหลอด กดที่ปลายหลอดเพื่อปล่อยวิตามินลงมาผสมกับตัวเบสเซรั่ม เขย่าแรง ๆ ให้เข้ากัน 15 วินาที แล้วสามารถเปิดใช้ได้เลย โดยควรใช้ให้หมดภายใน 7 – 14 วัน (ซึ่งถ้าใช้อย่างต่อเนื่อง มันหมดอยู่แล้วล่ะ)

เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเซรั่มเนื้อละเอียดสีขาวนวลข้น ทาแล้วเคลือบผิวแต่ไม่มันวาว ไม่หนักผิว และไม่มีปัญหากับการเลเยอร์ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ใช้ และสามารถที่จะผสมเข้ากับสกินแคร์ที่เป็นเบสน้ำตัวอื่น หรือ  external phase เป็นน้ำได้ตามปกติ

ปุเป้ทดลองผลิตภัณฑ์มาไม่ถึงเดือน ในแง่ของการลดเลือนริ้วรอยยังไม่สามารถที่จะบอกได้ครับ ผลที่ได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ Retinol จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะมันเน้นไปที่เรื่องของเรื่องโครงสร้างของผิวมากกว่าเน้นไปที่โทนสีผิวที่สังเกตได้ง่ายกว่าจากการใช้ Vitamin C  แต่จากข้อมูลที่หามาได้ก็ชี้ว่าความเข้มข้นระดับนี้ช่วยเรื่องต่อต้านริ้วรอยได้เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ ขึ้นไป แต่สิ่งที่สัมผัสได้ในช่วงที่ใช้คือ สิวอุดตัน สิวเสี้ยนที่จมูก และแก้ม ถูกดันตัวออกมาและสะกิดหลุดออกไปได้ง่ายๆ  บางอันหลุดออกมาตอนนวดออยล์ทำความสะอาดผิวหน้าด้วย และผิวรู้สึกเนียนขึ้น

โดยรวมแล้วปูเป้ไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ เลย ผิวอาจจะมีแห้งลงเล็กน้อยอาจจะเป็นเพราะช่วงที่ปูเป้ใช้นั้นก็มีเดินทางไปโตเกียวที่อากาศแห้งและเย็น 5 – 10 องศาด้วย แต่พอกลับมากรุงเทพก็กลับเป็นปกติดี ปูเป้เป็นคนที่เคยผ่านการใช้เรตินอลเข้มข้น รวมถึงยากลุ่มกรดวิตามินเอที่แรงกว่านี้มาแล้วทำให้ผิวของปูเป้สามารถใช้  Retinol 0.3% นี้ลงไปที่ผิวโดยตรงได้โดยไม่เกิดปัญหาอะไรเลย แต่สำหรับใครที่ไม่แน่ใจ หรือกังวลเรื่องการรคายเคือง ให้ปรับปริมาณในการใช้เริ่มจากน้อย ๆ หรือผสมเข้ากับเซรั่มหรือมอยซ์เจอไรเซอร์ตัวอื่นก็ได้ครับ

Retinol FAQs

และเพื่อให้ทุกอย่างจบครบในบทความนี้ ปูเป้ขอยกประเด็นที่หลายคนน่าจะมีข้อสงสัยหรือสับสนเกี่ยวกับเรื่องการใช้ Retinol กันซะหน่อย


ควรทำ

– ปรับปริมาณที่ใช้ให้เหมาะสม คอยสังเกตดูผิวว่ามีการระคายเคือง แดง แห้ง ลอกหรือไม่ หากมีอาการเหล่านี้ให้ปรับลดลง เริ่มจากน้อยแล้วปรบเพิ่มขึ้นจะดีกว่าการใส่อัดเต็มแต่แรกแล้วผิวระคายเคือง

– เติมความชุ่มชื้นให้เพียงพอด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีเนื้อเหมาะกับสภาพผิว คุณอาจจะต้องปรับมอยซ์เจอไรเซอร์ที่คุณใช้ให้มีความเข้มข้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อใช้ Retinol แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผิวของคุณตอบสนองอย่างไร ถ้าผิวไม่ได้แห้ง ได้ระคายเคือง คุณก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน

– ควรปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นอย่างดีเพื่อปกป้องผิวที่ถูกฟื้นบำรุงขึ้นมาใหม่ ทาครีมกันแดด หลบแดด กางร่ม เลี่ยงการออกแดดโดยไม่จำเป็น


ไม่คววรทำ

– ห้ามใช้ Retinol คู่กับยา Benzoyl Peroxide เพราะ Benzoyl Peroxide เป็น  Oxidizing Agent  ซึ่งมันจะทำลาย Retinol ให้เสื่อมประสิทธิภาพ ห้ามผสมคู่กันเด็ดขาด ไม่ควรทาทับกัน แต่ทาคนละช่วงเวลาได้

– หลีกเลี่ยงทุกพฤติกรรมที่จะเพิ่มการระคายเคืองให้กับผิว เช่นการ ขัด ถู หรือเช็ดผิวแรง ๆ

 

เคยอ่านมาว่าห้ามใช้ Retinol คู่กับอะไรที่เป็นกรด อย่าง AHA / BHA หรือแม้แต่ Vitamin C  จริงหรือไม่?

 

จะบอกว่าห้ามเด็ดขาดก็คงไม่ใช่ แต่จะให้ไฟเขียวใช้ได้โดยปราศจากข้อควรระวังเลยก็ไม่ถึงขนาดนั้น ความเห็นที่บอกว่าห้ามหรือไม่ควรใช้ Retinol คู่กับอะไรที่เป็นกรดนั้นมีหลัก ๆ อยู่ 2 ประเด็น และเราขอให้ข้อมูลดังนี้

1. ลำพัง Retinol เองก็มีโอกาสระคายเคืองผิวได้อยู่แล้ว การใช้ควบคู่ไปพร้อมกับอะไรที่เป็นกรดอย่าง AHA / BHA ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว อาจจะเพิ่มการระคายเคืองได้ ซึ่งประเด็นนี้ปูเป้ก็เห็นด้วยว่ามีความเป็นไปได้จริง ๆ แต่ในรายที่ผิวค่อนข้างทนมันก็สามารถใช้กันได้นะ  มันมีการศึกษาที่ใช้ทั้งกรดวิตามินเอ และ AHA มาคู่กันด้วยซ้ำ แต่ส่วนตัวเราก็จะไม่แนะนำเท่าไหร่ เพราะลำพังแค่กรดวิตามินเอเดี่ยว ๆ เราก็ใช้แทบไม่ไหวแล้ว ดังนั้นใครที่จะลองใช้ Retinol คู่กับ AHA / BHA ก็ไม่ถึงกับผิดมหันต์ แต่ต้องรับทราบความเสี่ยงของการระคายเคืองที่จะเพิ่มขึ้นและระมัดระวังด้วย

เสริมประเด็นเรื่องการทำงานที่ต่างกันของ  Retinol / Vitamin A กับสารผลัดเซลล์ผิวอย่าง  AHA / BHA อีกสักหน่อย ส่วนผสมของ Retinol นั้นจะไปเสริมการแบ่งตัวของเซลล์ (Proliferation) ซึ่งเกิดตัวในส่วนล่างสุดของผิวชั้นนอก แต่ในขณะที่ AHA / BHA จะไปทำให้เซลล์ขี้ไคลที่สะสมอยู่ด้านบนสุดของผิวชั้นนอกหลุดผลัดออกไป ดังนั้นมันไม่ได้ทำงานเหมือนกัน แม้ว่าการใช้มากไปจนผิวระคายเคืองจะทำให้เกิดอาการผิวแห้ง ลอก ที่ดูคล้ายกันก็เถอะ

(Source : Retinoic acid and glycolic acid combination in the treatment of acne scars)


2. ประเด็นเรื่องความเป็นกรดจะทำให้  Retinol ด้อยประสิทธิภาพลง โดยอิงข้อมูลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่พบว่าการเปลี่ยนรูปแบบของสารกลุ่มวิตามินเอนั้นจะมีประสิทธิภาพดีในค่า pH ที่ค่อนไปทางเป็นกลางมากกว่าค่อนไปทางเป็นกรด แต่ในการใช้จริง ๆ บนผิวหนังนั้นจะให้ผลแบบเดียวกันรึเปล่าก็ยังไม่มีข้อมูลทีจะมาสรุปได้

แต่เราก็พบการศึกษาที่น่าสนใจซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทดสอบนั้นเป็นมีการรวมกันของ Retinol 0.07% ที่ถูกหุ้มไว้ในเปลือกโพลิเมอร์ กับวิตามินซี  Ascorbic Acid 3.5% โดยให้ผลที่ดีในการต่อต้านร้ิวรอย และผู้ทำการศึกษายังชี้ว่ามันให้ผลดีกว่าการใช้ Retinol อย่างเดียว หรือ Vitamin C อย่างเดียวอีกด้วย ดังนั้นประเด็นเรื่องการทา  Retinol ไปพร้อมกับอะไรที่เป็นกรด จะทำให้ Retinol ทำงานในผิวของเราได้น้อยลงนั้น ยังไม่มีความชัดเจนครับ

(Source : Identification of a Novel Keratinocyte Retinyl Ester Hydrolase as a Transacylase and LipaseHistological evaluation of a topically applied retinol-vitamin C combination.)

แต่เหตุผลหนึ่งที่เรามักไม่ค่อยเห็น Retinol ใส่มาคู่กับ Ascorbic Acid หรือส่วนผสมที่เป็นกรด หรือในเบสที่เป็นกรด เนื่องจากความเป็นกรดจะทำให้ Retinol เสถียรน้อยลง ซึ่งการแก้ไขปัญหานี้ก็ต้องเพิ่มขั้นตอนและต้นทุนในการทำสูตรเพื่อให้มันเสถียรมากขึ้น เราจึงเห็นผลิตภัณฑ์ Retinol ใส่ผสมมาในเบสที่ไม่เป็นกรด หรือใส่มาพร้อมกับอนุพันธ์วิตามินซีที่มีค่า pH ใกล้เคียงความเป็นกลางมากกว่าเพื่อความง่ายในการทำสูตร

ดังนั้นโดยสรุปแล้ว มันไม่มีข้อห้ามแบบทำไม่ได้เด็ดขาด แต่ก็ไม่เชิงว่าจะใช้ได้โดยไม่ต้องระมัดระวังอะไรเลย ถือว่าเป็นการใช้ที่แอดวานซ์ขึ้นสำหรับคนที่มีความเข้าใจเรื่องสกินแคร์และเข้าใจผิวของตัวเองดีในระดับนึงแล้วดีกว่าเนอะ

 

คนที่วางแผนจะมีน้อง หรือตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร สามารถใช้ได้ Retinol ได้หรือไม่?

เราแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่ดูแลอยู่จะดีที่สุด และโดยส่วนตัวก็จะแนะนำให้เลี่ยง แม้ว่าจะมีข้อมูลที่ทดสอบแล้วว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผสม  Retinol 0.30% ตามมาตรฐานของ EU ในปริมาณการทาที่ 30,000 IU/วัน ไม่มีผลต่อ Retinol ที่ตรวจพบในพลาสม่า  แต่ปูเป้ยังแนะให้เลี่ยงไว้ดีกว่าครับ ถ้าอยากฟื้นบำรุงผิว ใช้สารตัวอื่น ใช้  Vitamin C ไปก่อนก็ได้

(Source : Repeated topical treatment, in contrast to single oral doses, with Vitamin A-containing preparations does not affect plasma concentrations of retinol, retinyl esters or retinoic acids in female subjects of child-bearing age.Scientific Committee on Consumer Safety SCCS OPINION ON Vitamin A (Retinol, Retinyl Acetate, Retinyl Palmitate))

 

Conclusion

โดยสรุปแล้ว Clinique : Fresh Pressed™  Overnight Booster with Pure Vitamin A เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของผู้พี่อย่างตัว Vitamin C ซึ่งรูปแบบของ Retinol เป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพและคาดหวังผลได้ สูตรผสมทำขึ้นมาอย่างระมัดระวังและแพคเกจจิ้งที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ไม่นับว่า Retinol  ก็ทำงานร่วมไปกับ Vitamin C ได้โดย Vitamin C ให้คุณสมบัติในการเพิ่มความกระจ่างใสที่ดี ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมคอลลาเจน ในขณะที่ Retinol ก็เพิ่มการสร้างผิวใหม่ และเสริมความยืดหยุ่นของผิว และทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

***Sponsored Item***

Clinique : Fresh Pressed™  Overnight Booster with Pure Vitamin A
Price :  Medium Pack (Vit A x2 + Vit C x2) = 3,600 Baht  / Small Pack  (Vit A x1 + Vit C x1) = 1,800 Baht
Skin Type : All Skin Type
Outstanding : Anti-Aging / Skin-Renewing / Smoothing / Fragrance-Free

Clinique : Fresh Pressed™  Overnight Booster with Pure Vitamin A
FORMULA
GENTLENESS
SENSORY
RESULT
PUPE LOVE IT
PROS
  • Retinol 0.3% สามารถคาดหวังผลในการพื้นบำรุงผิวและต่อต้านริ้วรอยได้
  • ส่วนผสมของเบสเซรั่มช่วยต้านการระคายเคืองและมีส่วนผสมไฮเทคที่เสริมเรื่องการต่อต้านริ้วรอยเพิ่มได้อีก ปราศจากส่วนผสมของสีและน้ำหอม
  • บรรจุภัณฑ์ที่เก็บรักษาวิตามินได้ดี ใช้สะดวก และพกพาไปใช้ยามเดินทางได้ง่าย
Cons
  • ควรระวังเรื่องการระคายเคืองสำหรับผู้ที่มีผิวระคายเคืองง่าย หรือมีผิวแห้ง หรืออยู่ในอากาศที่อากาศแห้ง
4.5Overall Score

Related Posts