จริง ๆ แล้วทริปฮ่องกงในครั้งนี้ปูเป้ไปมาตั้งแต่พฤษภาคมแล้ว แต่ต้องเก็บเงียบไม่เอามาทำเพราะว่าตัวผลิตภัรฑ์ที่ไปร่วมงานเปิดตัวนั้นมันเป็นความลับอยู่ (ทั้งที่ใจอยากบอกจะแย่) แต่ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะเอามาเล่าซะที ก็เลยมาทำบล็อกให้อ่านกันอีกแล้ว คราวนี้ก็ไม่ต่างกับทริปฮ่องกงครั้งอื่น ๆ ที่ก็มีแต่เรื่องกิน ช็อปปิ้ง และงานนิดหน่อย (555)
เรานัดเจอกันที่สนามสุวรรณภูมิในวันที่ 5 ตอนเช้าตรู่ หลังจากพึ่งบินกลับมาจากเกาหลีถึงที่นี่เมื่อราวห้าทุ่มของวันก่อน ได้นอนมาไม่กี่ชั่วโมงเอง มาถึงปุ๊ปเราก็รีบเอากระเป๋าเข้าไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ ระหว่างเช็คอิน พนักงานก็บอกว่าเรานั่ง Business Class ทำไมไม่เช็คอินที่เล้าน์ล่ะ อ้าว…. อิชั้นไม่รู้นี่ฮะว่าได้นั่งแบบไฮโซ (ชีวิตนี้ไม่เคยนั่งอะไรนอกจากชั้นประหยัด)
พึ่งได้รู้ว่าถ้าเรานั่งการบินไทยแบบ Business หรือ First Class จะมีช่องเช็คอินและ ตม ส่วนตัว ไม่ต้องไปต่อคิวหรือเผชิญกับคนเยอะ หลังจากนั้นก็มานั่งรอที่เล้าจ์ของการบินไทย มีของกินเล่นให้เรารองท้องก่อนขึ้นเครื่อง
จริงแอบเสียใจนิดหน่อยที่ทริปฮ่องกงอันนี้ไม่ได้นั่ง Airbus A380 เพราะเคยแต่ได้ดูจากในสารคดีมาหลายปี ยังไม่มีบุญได้นั่งของจริงซะที การนั่ง Business Class จะมีเครื่องดื่มเสริฟบ่อยมาก และเมื่อถึงเวลาอาหารก็มีการแบ่งเป็นคอร์ท ตั้งแต่ Starter มี Main มที Cheese แล้วก็ตบท้ายด้วยของหวาน รสชาติโดยรวมธรรมดาแฮะ (ในนี้ Starter อร่อยสุด)
เรามาถึงฮ่องกงในช่วงเที่ยงวัน และเดินทางต่อโดยรถลิมูซีนไปยังโรงแรมที่พักบนเกาะฮ่องกง ต้องขอขอบคุณพี่นัทกับคุณแนนซี่จากทาง Clinique อย่างมากที่อำนวยความสะดวกให้กับพวกเราตลอดทริปนี้
หลังจากถึงโรงแรมที่พักเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ก็เป็นเวลาอิสระของเราเต็ม ๆ 1 วัน (เจอกันอีกทีตอนเย็นเพื่อกินข้าว) ปูเป้ก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไป รีบออกจากโรงแรมสำรวจเส้นทางเดินทางจากโรงแรมไปยังรถไฟฟ้าใต้ดินทันที
ตอนที่ไปเซเว่นมีของพรีเมี่ยมเป็น Rilak Kuma ด้วย น่าเก็บมาก แต่มันต้องซท้อของเพื่อสะสมสติ้กเกอร์เป็นเงินที่แพงอยู่ คิดว่าเอาตังไปซื้อเลยจะประหยัดตังกว่ามาก (แต่ถ้าในไทยเอามาทำ รับรองกวาดเรียบ)
เดินเข้าร้านขายยาอย่าง Manning และ Watsons ที่นี่ดูเครื่องสำอางไปเรื่อย ๆ มีของที่น่าสนใจหลายอย่างเลย แต่ว่าพนักงานห้ามถ่ายรูป แอบถ่ายมาได้รูปเดียวคือ Neutrogena Clinical ซึ่งเป็นไลน์ไวท์เทนนิ่งที่เห็นในฮ่องกงมาตั้งแต่ปีก่อน แต่ที่น่าสนใจคราวนี้คือกล่องของกันแดดมีภาษาไทยอยู่ด้านหลังด้วย!!! นั่นแปลว่ามันจะเข้าไทยในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอน
อาหารเย็นมื้อแรกบนเกาะฮ่องกงนี้อยู่ที่ร้าน St.Betty บนตึก IFC Mall ที่สถานี Central (ตึกนี้มีร้านอาหารและช็อปดัง ๆ แทบทุกอย่าง เรียกได้ว่ามาตึกเดียวได้ของครบล่ะ) เป็นร้านอาหารอิตาเลียนฟิวชั่นพร้อมไวน์ให้เลือกมากมาย (แต่เราไม่ดื่มไวน์ก็ผ่านไป) บรรยากาศในร้านค่อนข้าง Cozy ชิลและสบาย ๆ เห็นวิวของอ่าวฮ่องกง
ลืมแนะนำไปว่าในทริปนี้ปูเป้มากับพี่ ๆ บก จากนิตยสารความงามหลายฉบับเลย ตั้งแต่คุณลิลลี่จากแพรว พี่เอ๋จาก CLEO พี่นัทจาก ELLE พี่ยิ้มจาก Vogue และพี่เดียร์จาก IMAGE
ไม่รู้ว่าเพราะว่าหิวหรือยังไง แต่ขนมปังที่ร้านนี้อร่อยดีแฮะ มันเหนียวนุ่มกำลังดีในขณะที่เปลือกนอกกรอบ ๆ และเนยก็หอมดี
สั่งน้ำส้ม ที่ร้านมีแต่เกรปฟรุ๊ด เปรี้ยวปี๊ดมาก น้ำตาจิไหล…
เมนูเริ่มต้นมีชื่อว่า 21st Century egg หรือไข่ศตวรรษที่ 21 แน่นอนว่าสั่งมาเพราะว่าชื่อมันแปลกดี แต่เมนูนี้ก็คล้าย Egg Benedict เพียงแต่เป็นไข่ต้มมะตูมคลุกด้วยแป้งแล้วทอดแค่พอสุก ทานคู่กับมายองเนสเลมอน และผัก โปะด้วยเห็ดทรัฟเฟิล
เมนูสปาเกตตี้คาโบนาร่าใส่เห็ดทรัฟเฟิลและถั่วไพน์นัท ซอสเข้มข้นอร่อยมาก ชอบ
เมนูุสดท้ายของวันนี้เป้นเนื้อวากิวตุ๋นแบบช้า ๆ ทานคู่กับมันบด อันนี้บ่องตงว่าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ รู้สึกว่าเนื้อวากิวเอามาทำสเต๊กแบบ Medium อร่อยกว่าเยอะ
หลังจากที่กินกันจนอิ่มแล้วก็เริ่มดึก เรากลับมาพักผ่อนกันที่โรงแรม ซึ่งโรงแรมที่พักในทริปนี้ก็คือ Grand Hyatt Hong Kong เป็นโรงแรมที่ใหญ่ แต่ก็มีอายุค่อนข้างเยอะแล้วและอยู่ในระหว่างรีโนเวท (มั้ง) จึงไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกไฮเทคเหมือนโรงแรมใหม่ ๆ เท่าไหร่ แต่ที่นอนก็แสนสบายและกว้างขวางดี
บนโต๊ะก็มีของจากทีมของ Clinique ที่เตรีมเอาไว้ต้อนรับพวกเรา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นการ์ดต้อนรับการมาถึงฮ่องกงที่เขียนด้วยมือจากทีม Clinique Global
ที่กรี๊ดมากก็คงจะเป็นกระเป๋า Cambridge Satchel Bag สีเหลืองสวยใบนี้ อยากบอกว่าพึ่งได้อ่านบล้อกเกี่ยวกับความสำเร็จของกระเป๋านี้มาไม่กี่วันก่อนหน้าเอง คราวนี้ได้เป็นของตัวเองแล้ว
กรี๊ดรอบสองคือ Macaron ของ Laduree อันโด่งดัง เป็นรสเลมอนจ้า
คืนนี้หลับเป็นตาย เพราะว่ายังไม่ทันหายเหนื่อยจากทริปเกาหลีเลย
วันรุ่งขึ้นไม่ได้ตื่นมากินข้าวเช้า ได้กินอีกทีก็มื้อเที่ยงเลย เราทานกันที่ร้านอาหารของโรงแรม โดยปูเป้สั่งเป็นเมนูปลาแซลมอนเพราะว่าเป็นมื้อแรก อยากกินอะไรย่อยง่าย ๆ หน่อย
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถบัสไปยังแกลอรี่ที่จัดงาน ซึ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งบนเกาะฮ่องกง แกลอรี่ถูกทาด้วยสีขาวล้วน ซึ่งตัดกับของประดับที่เป้นสีเหลืองอ่อน ใช่แล้ว นี่เป็นงานแถลงข่าวการเปิดตัวสูตรใหม่ของมอยซ์เจอไรเซอร์สีเหลืองอันเป็นไอคอนของแบรนด์ Clinique ที่มีมากว่า 50 ปีแล้วนั่นเอง
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Clinique มาจากการที่ โดย Carol Phillips ได้สัมภาษณ์ Dr. Norman Orentreich และเขียนบทความที่ชื่อว่า Can Great Skin Be Created? ลงในนิตยสาร Vogue เมื่อปี 1967 ซึ่งความเข้าใจของคนในยุคนั้นรับรู้ว่าการมีสุขภาพผิวที่ดีนั้นมาจากกรรมพันธุ์ซะมากกว่า บทความนี้ทำให้ตระกูล Lauder ให้ความสนใจและร่วมมือกับ Dr. Norman Orentreich พัฒนาผลิตภัรนฑืที่จะช่วยสร้างผิวให้ดีขึ้น ดการถือกำเนิดของ Clinique กับระบบการดูแลผิวพื้นฐาน 3 ขั้นตอนจึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนวงการเครื่องสำอางในยุคนั้น รวมถึงมอยซ์เจอไรเซอร์สีเหลืองที่แตกต่างจากครีมเนื้อข้นคลั่กเหนอะหนะที่ใช้กันในช่วงนั้น
วันเวลาผ่านไป ความเข้าใจ ความรู้ และวิทยาศาสตร์ก็ก้าวหน้าขึ้น ทาง Clinique มีการปูทางสำหรับการปรับปรุงชุด 3 Step ของตัวเองมาตั้งแต่การออก Liquid Facial Soap เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนสูตรของ Clarifying Lotion เมื่อปีก่อน และในปีนี้ก็ถึงคราวของมอยซ์เจอไรเซอร์ขวดเหลืองซะที
ในงานนี้เราได้พบกับ Dr. David Orentreich ซึ่งเป็นบุตรชายของ Dr. Norman Orentreich พร้อมกับ Janet Pardo ผู้ซึ่งเป็นรองประธานฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Clinique ด้วย
การพัฒนา Dramatically Different Moisturizing Lotion+ หรือ DDML+ เริ่มต้นด้วยการมองย้อนกลับไปว่าในปัจจุบันมีสิ่งใดที่แตกต่างไปจากช่วงปี 1967 บ้าง? แน่นอนว่าเราเจอกับมลภาวะที่มากขึ้น รังสี UV ที่เข้มข้นขึ้น เรามีปัญหาของภูมิแพ้มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของการทำทรีตเมนต์ เลเซอร์โดยแพทย์ผิวหนัง ดังนั้นสิ่งสำคัญพื้นฐานของมอยซ์เจอไรเซอร์แค่ให้ความชุ่มชื้นคงไม่เพียงพออีกแล้ว แต่สิ่งจำเป็นพื้นฐานคือการทำให้ปราการของผิว หรือ Skin Barrier แข็งแรงขึ้นด้วย เพราะต่อให้เราพยายามเติมความชุ่มชื้นไปเท่าไหร่ แต่ปราการผิวไม่แข็งแรงพอที่จะเก็บกักความชุ่มชื้นนั้นไว้ได้
DDML+ ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพในการเติมความชุ่มชื้นกับผิวมากขึ้นด้วยส่วนผสมหลัก 3 อย่าง โดยใช้ Hyaluronic Acid ในการให้ความชุ่มชื้นกับผิวชั้นนอกสุด ร่วมกับ Glycerin และ Urea ซึ่งเป็นสารที่มีในผิวในธรรมชาติเพื่อช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นในผิวชั้นที่ลึกลงไป ซึ่งการรวมตัวของส่วนผสมทั้งสามชนิดนี้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้มากกว่าโลชั่นสูตรเดิมถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ยังมีการใช้ Barrier Strengthening Complex ซึ่งประกอบไปด้วยสารสกัดจากเมล็ดดอกทานตะวัน ข้าวบาร์เล่ย์ และแตงกวา ซึ่งอุดมไปด้วยโปรตีนและลิพิดเพื่อช่วยให้ปราการของผิวแข็งแรงขึ้นถึง 54% ใน 8 สัปดาห์
Janet Pardo พูดถึงความท้าทายของการพัฒนาสูตรผลิตภัรฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ว่า เราต้องทำผลิตภัรฑ์นี้มห้ทันสมัยขึ้น แต่ในขณะเดียวกันต้องมีเนื้อสัมผัสและกลิ่นที่คงเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก และใช้เวลาพัฒนากว่า 6 ปี กับการทดสอบกับผู้หญิงในทุกทวีปทั่วโลก ตั้งแต่ฝรั่งเศส จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น และ อเมริกา
หลังจากที่ได้ทดลอง DDML+ สูตรใหม่ รู้สึกได้ว่ามันให้ความชุ่มชื้นได้ดีกว่าเดิม ผิวรู้สึกนุ่ม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงเนื้อสัมผัสแบบเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยล่ะ
ในช่วงของการ Q&A ปูเป้ก็ได้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ เพราะ Janet Pardo ได้พูดถึงอุปสรรคในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์สูตร Final ออกมาว่า Batch ที่ทดลองทำในห้องแลปนั้นออกมาเพอเฟค แต่พอเริ่มผลิตในเครื่องขนาดใหญ่กลับพบว่าเนื้อสัมผัสที่ได้นั้นไม่เหมือนกัน ปูเป้ก็ถามเจาะว่าสรุปแล้วมันเกิดจากอะไร คำตอบก็คือเรื่องของ Input Energy หรือการปั่นนั้นมีรอบหมุนที่ไม่มากพอ นักวิจัยจึงต้องไปคำนวนพลังงานที่จำเป็นต้องใช้และปรับรอบของใบพัดในการผสมให้ตรงจึงได้เนื้อสัมผัสที่ออกมาสมบูรณ์แบบ (ไม่งงใช่ป่ะ 555)
ส่วน Dr. David Orentreich ก็บอกว่า เหตุผลที่โลชั่นนี้ต้องเป็นสีเหลือง เพราะว่าถ้าเป็นเนื้อสีขาวในขวด คนอาจจะนึกว่าเป็นยาธาตุแล้วเผลอกินเข้าไป คุณพ่อของเขาจึงใส่สีเหลืองเข้าไปให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ยา แต่การแก้ปัญหาง่าย ๆ นั้นกลับเป็นการสร้างไอค่อนอันเป็นที่จดจำของแบรนด์ Clinique ขึ้นมา
ปูเป้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับโอกาสให้มาพบเจอกับลูกชายของบุคคลสำคัญระดับตำนานของวงการเครื่องสำอาง เป็นสิ่งที่จะจำไปตลอดเลย และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกรึเปล่า
หลังจากจบงานแล้วพวกเราก็มีเวลาอิสระ ซึ่งเป็นเวลาประมาณบ่ายสามกว่าแล้ว ปูเป้ก็รีบขึ้น MTR ไปยังสถานี Central และเดินไปยังทางออก F
แต่ก่อนถึงทางแยกที่จะไปตึก IFC Mall ให้เราเลี้ยงขวา แล้วก็เลี้ยวซ้ายก็จะเจอร้านติ่มซำที่ตั้งใจมากกิน มีชื่อว่า Tim Ho Wan ซึ่งมีเมนูเด็ดอยู่ที่ Baked BBQ Pork Bun หรือซาลาเปาไส้หมูแดงอบนั้นเอง Tim Ho Wan มีหลายสาขานะ ช่วงเที่ยงและเย็นคนจะเยอะ มากินช่วงบ่ายๆ แบบนี้ได้กินทันทีแบบไม่ต้องต่อคิวเลยล่ะ
Baked BBQ Pork Bun นั้นอร่อยเลิศสมคำร่ำลือ เนื้อซาลาเปานุ่ม ๆ เหมือนขนมปัง ไส้หมูแดงรสเข้มข้น กับหน้าคุกกี้กรอบ ๆ เหมือน Melon Bun ทำให้รสหวานที่ตัดกับไส้เค็มหวานมัน เนื้อสัมผัสกรุบกรอบกับแป้งที่นุ่มแน่น ส่วนเมนูติ่มซำอื่นๆ แค่พอเสมอตัวล่ะ
หลังจากนั้นปูเป้ก็ทำการสำรวจตลาดโดยรอบ มีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมากอยู่หลายอย่าง ตัวที่เรากรี๊ดเป็นที่สุดคงหนีไม่พ้น Olay ProX ไวทืเทนนิ่งตัวใหม่ เราอ่านจากส่วนผสมแล้วเห็นเลยว่าทุกเทคโนโลยีไวทืเททนิ่งที่ P&G จดสิทธิบัตรเอาไว้ เขาจับยัดลงไปในนี้หมดเลย และก็ยังปราศจากสีและน้ำหอมด้วย ราคาค่าตัวไม่เบาอยู่ แพงเป็นพันเลย ก็ตัดสินใจว่าคืนนี้จะลองข้ามฝั่งไปเกาลูนว่ามีที่ไหนขายถูกกว่ามั้ยแล้วค่อยซื้อทีเดียว
นอกจากเดินดูเครื่องสำอางแล้ว ก็มีซื้อขนมที่ City Super แล้วก็ข้าวโพด Garrett 15 ถุง ทั้งหมดอยู่ในตึก IFC กว่าจะแบกลงรถไฟฟ้าเดินกลับโรงแรมก็แขนแทบหลุดน่ะ
หลังจากนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่โรงแรมสักพักหนึ่งก็ค่ำแล้ว เราคิดว่าจะไปทำอีกสิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดก็คือไปถ่ายรูปเจ้าเป็ดเหลือง Rubber Duck ที่พึ่งเทียบท่าจอดที่ฮ่องกงเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าเราจะเดินทางมาถึง เป็นอะไรที่โชคดีมั่กม๊ากกก
เราเปิด GPS ดูจากมือถือและพบว่า ท่าเรือข้ามฟากไปยังเกาะเกาลูนซึ่งจะจอดตรงแถว Habour City ที่เจ้าเป็ดน้อยลอยแอ้งเม้งอยู่นั้นอยู่ห่างไปแค่ 10 นาทีด้วยการเดิน คราวนี้เราจึงข้ามเรือและได้วิวสวย ๆ ของฮ่องกงในยามค่ำคืนมาฝากกัน
เป็ดน้อย Rubber Duck กับตึกระฟ้าของฮ่องกงเป็นฉากหลัง
ขอบอกว่ามีคนมาถ่ายรูปเยอะมากกกกก และงานนี้เรามาคนเดียว หาคนช่วยถ่ายรูปก็ไม่มี เราก็เลยต้องยืดสุดแขนก็ถ่ายมาได้เท่านี้แหล่ะนะ…
อีกเป้าหมายหนึ่งที่เรามาที่นี่ก็คือการมาตามหาแบรนด์ที่เชื่อว่าไม่ค่อยมีคนรู้จัก ที่ห้าง Lane Crawford นั่นก็คือแบรนด์ Osiao (อ่านว่าโอเซา) แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ในเครือ ELCA โดยกลุ่ม Beauty Bank ที่ทำพวก GoodSkinLabs นั่นเอง โดย Osiao นี้ใช้ศาสตร์ของแพทย์แผนจีนโบาณมาผนวกเข้ากับวิทยาการสมัยใหม่ เป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่เจาะตลาดเอเชียโดยตรงซึ่งตอนนี้มีขายแค่ที่ฮ๋องกงเท่านั้น แต่ก็มีแผนจะขยายไปในประเทศจีนและเกาหลีและที่อื่น ๆ ด้วย
ผลิตภัณฑ์ของ Osiao ต้องอาศัยความเข้าใจและการทำ Skin Consultation เป็นพื้นฐาน โดยเขาจะเก็บข้อมูลของเราทั้งจากสภาพผิวภายนอก รวมไปถึงธาตุภายในร่างกายด้วยการถามคำถามเช่น “เวลาคุณนอนรู้สึกว่าร่างกายร้อนหรือเย็น” “มือคุณมีเหงื่อออกมาหรือน้อย” ซึ่งใช้หลักของพลังงาน หยินหยางตามแบบของจีน หลังจากนั้นเขาก็จะแบ่งสภาพผิวของเราเป็น 5 แบบ ตามการไหลเวียนของพลังงาน
สกินแคร์ของ Osiao จะแบ่งเป็นหมายเลข 1 – 5 ตามสภาพผิวที่ตรวจออกมาได้ บางชิ้นใช้ได้กับทุกสภาพผิว บางชิ้นอย่าง Essence จะมี 5 สูตรตามแต่ละเบอร์เลย ที่น่าสนใจคือแบรนด์นี้มี Supplement หรืออาหารเสริมอัดเม็ดซึ่งเป็นสมุนไพรต่าง ๆ ในการปรับสมดุลของพลังงานในร่างกาย เพื่อให้ผิวกลับมามีสมดุลจากภายใน
ตอนแรกกะมาแค่สืบข่าว เก็บข้อมูล แต่พอเจอคอนเซปต์ของผลิตภัรฑ์แบบนี้่เข้าไปนี่ถึงกับร้องว้าว ควักบัตรจ่ายไปสองหมื่นกว่าบาทสำหรับสกินแคร์ครบชุดและอาหารเสริมสำหรับ 2 ดือน (เขียนบล็อกนี้เสร็จว่าจะเริ่มหาเวลาลองใช้แล้ว)
หลังจากนี้เราก็แอบไปซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ก็ทำให้รู้ว่าบัตรเครดิตทั้งสองใบของเรานั้นเต็มวงเงิน บัตรแตกแล้วจ้า (ก็พึ่งไปช็อปกระหน่ำจากเกาหลีนี่นะ) ตายล่ะวา เงินสดในกระเป๋าก็มีอยู่แค่ 500 ดอลฮ่องกง กับเงินที่ติดในบัตร Octopus นิดหน่อย จะซื้อของก็ไม่ได้กลัวตังหมดอดกลับบ้าน
สุดท้ายเราก็นึกขึ้นได้ว่า หลังจาก 4 ทุ่ม ร้าน Sushi One จะลดราคาทุกเมนู 50% ถ้าเรากินที่ร้านแถวซิมซาจุ่ย คนจะเยอะมาก อาจเสร็จไม่ทันรถไฟฟ้าและท่าเรือปิด และตังอาจเหลือไม่พอนั่งแท๊กซี่ ดังนั้นเราเลยเปิดเวปในมือถือหาว่ามีสาขาไหนที่ใกล้โรงแรมเราที่สุด ก็เจอสาขาแถว Cusewaybay ใกล้สุดและอยู่ห่างไป 1.5 กิโลเมตร ก็เลยเดินจากโรงแรมไปเลยจ้า งานนี้ไม่มี GPS หลงทางลูกเดียว
มาถึงตอนสี่ทุ่มครึ่งก็เห็นคิวยาวประมาณ 10 คิว กว่าจะได้กินก็เกือบ 5 ทุ่มแล้ว (ครัวปิด 5ทุ่มครึ่ง)
เมนูหลัก ๆที่สั่วมาก็เป็นพวกปลาไหล และข้าวปั่นหน้าต่างๆ ซึ่งก็ถือว่ารสชาติโอเคสำหรับราคาลด 50% ล่ะ เมนูที่คุ้มค่าที่จะสั่งที่สุดคือปลา Toro ส่วนเมนูปลาอื่น ๆ อย่างแซลมอนเราคิดว่ากินในเมืองไทยก็ได้ ส่วนพวกไข่หวาน เต้าหู้หวานบอกได้เลยว่าไม่อร่อย
ดังนั้นขาซูชิที่ต้องการกินแบบอร่อยเทพ มองข้ามร้านนี้ไปได้เลย แต่ถ้าต้องการกินของที่โอเคในราคาที่ไม่แพงไปก็ถือว่าใช้ได้นะ
กว่าจะเดินกลับมาถึงโรงแรมก็ต้องบอกว่าวันนี้เหนื่อยลากเลือดจริง ๆ เป็นหนึ่งวันที่เดินทรหดมาก แต่ก็สนุกดี นั่งเปิดดูขนมที่ซื้อมาแล้วก็คิดว่าจะหอบกลบบ้านยังไงเพราะว่าทริปนี้ลืมพับกระเป๋าใบเล็กมาด้วยล่ะ
วันรุ่งขึ้นเรามีเวลาถึง 11 โมงกว่ารถจะมารับเราไปยังสนามบิน ปูเป้ก็รีบวิ่งและขึ้นรถไฟฟ้าไปซื้อซาลาเปาอบไส้หมูสับเพื่อเอากลับมาฝากปะป๊ามะม๊า และซื้อของเก็บตกนิดหน่อย (ที่เมื่อวานประหยัดตังเพื่อจะได้มีเงินเหลือมาซื้อพวกนี้แหล่ะ) เที่ยวบินกลับนี้ไม่มีพลังเหลือจะมานั่งถ่ายรูปของกินแล้ว หลับอย่างเดียวจ้าาาาาา
กลับมาถึงบ้านค่อยมีเวลาเปิดกระเป๋าของทริปเกาหลีและทริปฮ่องกงรวมกัน มันเยอะมากมายมหาศาลจนคิดว่าอิชั้นแบกมันกลับมาได้ยังไง….
ปูเป้ต้องขอขอบคุณ Clinique เป็นอย่างยิ่งที่มอบโอกาสอันสุดพิเศษนี้ให้กับปูเป้ เป็นทริปที่ได้ความรู้และได้พบกับบุคคลระดับแนวหน้าของวงการเครื่องสำอาง และก้ได้เจอกับเป็ดเหลืองอันแสนน่ารักด้วย 🙂