Dr.Jart+สวัสดีทุกท่าน หลังจากผ่านไปร่วมสองเดือน ในที่สุดปุเป้ก็ได้เข็นบล็อกเกี่ยวกับทริปเกาหลีสุดแสนประทับใจที่ไปมากับแบรนด์ Dr.Jart+ มาให้ได้อ่านกัน ปูเป้คงเป็นคนหนึ่งที่เหมือนกับหลาย ๆ คนที่ไมได้รู้จักกับแบรนด์นี้เท่าไหร่นัก เคยได้ยินก็แค่ครีมน้ำแตกอะไรของเขา ครั้งนี้นับเป็นโอกาศดีทีเดียวที่ได้มาทำความรู้จักกับแบรนด์นี้มากขึ้นถึงถิ่นวง่ามีอะไรน่าสนใจอย่างไรบ้าง
เรานัดกันที่สนามบินสุวรรณภูมิในช่วงค่ำของวันที่ 30 เมษายน เพื่อที่จะบินไปกับสารการบิน Asiana Airline ในเวลาเที่ยงคืน ก็มีเวลาที่พอจะเดินเล่นช็อปปิ้งบ้าง ปูเป้ซื้อเลนส์ Olympus 17mm F1.8 ที่อยากได้มานานที่ Kinp Power เพราะว่าใช้สิทธิ์วันเกิด ได้รับเครดิตคืนเข้าบัตร King Power ถึง 25% ซึ่งเราสามารถเอาเครดิตที่ได้คืนมาซื้อพวกเครื่องสำอางได้ด้วยล่ะ เลนส์ที่ข้างนอกขายกันเกือบสองหมื่น ปูเป้ซื้อมาในราคาแค่ 14,000 เอง และรูปจากทริปนี้ทั้งหมดถ่ายด้วยเลนส์ใหม่เอี่ยมนี่แหล่ะ มันเลิศมากกกก
หลังจากเครื่องขึ้นได้สักพัก ก็มีของกินให้เราได้หม่ำกัน ซึ่งปูเป้เลือก Bibimbum หรือข้าวยำเกาหลี ซึ่งดู่ากิจดี มีวอสเผ็ดที่ไม่เผ็ดมากจนเกินไป (พอกินไหว) และวิธีทำมาให้ด้วย
เราก็แค่เทข้าว แล้วก็กิมจิลงไปในชามที่มีเครื่องหน้าต่างๆ อยู่ บีบซอสจากหลอดลงไป แล้วก็คลุก ๆ ๆ ๆ ๆ ก็จะได้กินข้าวยำเกาหลีรสชาติใช้ได้เลยล่ะ
เรามาถึงสนามบินอินชอนในช่วงเช้า ขึ้นรถและเดินทางมาที่โรงแรม Seoul Palace ซึ่งเป้นโรงแรมที่สะอาดสะอ้าน ห้องเป็นแนวโมเดิน ดูดีทีเดียวล่ะ
บนโต๊ะมีการ์ดต้อนรับสู่เกาหลีและผลิตภัณฑ์จาก Dr.Jart+ วางเอาไว้ด้วย แสงในช่วงสายที่สาดส่องมาได้มุมสวยพอดี ขอแชะเก็บไว้สักภาพนะ 😀
หลังจากอาบน้ำ ล้างหน้า พักผ่อน คลายความเหนื่อยจากการเดินทาง เราก็เดินทางไปยังถนน Garosu Gil ซึ่งเขาบอกว่าเหมือนเป็นยุโรปของกรุงโซล เพื่อมาทานร้านอาหาร School Food ที่ขึ้นชื่อแถวนี้
บอกตรงๆ ด้วยใจจริงว่าจากทริปก่อน ๆ เรารู้สึกธรรมดากับอาหารเกาหลี ไปจนถึงติดลบเลยล่ะ แต่ร้านนี้ได้กู้ศรัทธาของเราที่มีต่ออาหารเกาหลีกลับมาได้ ไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆว่า Maki สไลต์เกาหลีจะอรอ่ยได้ขนาดนี้ มันมีรสชาติที่หลากหลายแต่ลงตัว ทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม มัน ปูเป้ชอบไส้เนื้อ SPAM มากที่สุดเบย กินไปเยอะม๊ากกกก ข้าวผัดและยำต่างๆ ก็รสชาติดี แต่ว่าหลายอย่างเผ็ดเกิน กินไม่ไหวววว
เขาเลี้ยงเราแบบจัดเต็มม๊ากกก กินไม่หมดเลยอ่ะ แอบเสียดายของแทน
หลังจากอิมแล้วก็ไปเดินดูร้านสองข้างทางของถนน Garosu Gil ซึ่งทั้งสองฝั่งเรียงรายไปด้วยต้นแปะก๊วยที่กำลังเริ่มผลิใบสีเขียวอ่อน อากาศในฤดูใบไม้ผลิเป็นอะไรที่วิเศษมาก อุณหภูมิอยู่ที่ 15-24 องศา มีแดดอุ่น ๆ กับลมเย็น ๆที่พัดเคลียแก้มบาง ๆ ถ้าประเทศไทยมีอากาศแบบนี้ได้บ้าง รับรองว่าน่าอยู่ขึ้นอีกล้านเท่า
ที่นี่มีร้านของ Gidiva ที่มาทำช็อปโกแลตสด ๆ กันให้ดูด้วย มีร้านเครื่องสำอางยี่ห้อนึงที่แอบน่าสนใจ นั่นก็คือ Frostine’s ซึ่งมีคอนเซปต์ว่าผลิตภัรฑ์ทุกอย่างของเขาจะต้องแช่เย็นตลอดเวลา (เขามีขายตู้เย็นสำหรับแช่สกินแคร์ของเขาด้วยนะ) เซรั่มอันนึงเป็นเมหือนเกล้ดน้ำแข็งอยู่ข้างในเลย สวยมาก แต่พนักงานคุยไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้ซื้อกลับมา
ใบเมเปื้ลสีแดงเต็มต้นริมถนน สวยมาก เห่อเลนส์ใหม่เลยถ่ายรูปสวยๆ เก็บเอาไว้เยอะเลย
จริงๆ แล้วถนน Garosu Gil นั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรมากสำหรับเรา มันเป็นถนนช้อปปิ้งที่มีพวกแฟชั่นมากกว่า (ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจอะไร) จะมีแบรนด์สกินแคร์แปลก ๆที่อาจหาร้านไม่ได้ในเมียงดงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร แต่ว่าสิ่งเล็ก ๆน้อย ๆ อย่างต้นไม้ ดอกไม้ริมทางในฤดูใบไม้ผลิเป็นอะไรที่เราไม่เคยเห็น มีพืชหลายอย่งที่เราไม่รู้จัก ก็ถ่ายรูปกันเพลิน ช่วงเหนื่อยก็แวะมาเติมพลังด้วยชามะนาวน้ำผึ้งอุ่น ๆ ดูเป็นอะไรที่ชิลมาก
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปที่ MyungBo ARTHALL ซึ่งเป็นตึกที่มีการจัดแสดงศิลปะต่าง ๆ โดยในชั้นใต้ดินจะเป็นโรงละคร ซึ่งเราได้ไปดูการแสดงของ Action Drawing Hero Show ซึ่งเป็นอะไรที่เพลิดเพลินดี นักแสดงั้งสี่คนจะมีการเต้น ประกอบกับเนื้อเรื่อง แสง สี และวาดภาพแนวศิลปะที่เรียกเสียงปรมมือได้ลั่นโรงละคร หลายๆอย่างเป็นเทคนิคที่เรานึกไม่ถึงมาก่อน ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ว่าเป็นโชว์ที่สนุก ไม่น่าเบื่อ และเรียกเสียงหัวเราะได้ดี
ก่อนจะกลับเข้าที่พักในคืนนี้ เราแวะมาทานร้านอาหารเกาหลีในแบบที่คนเกาหลีเขากินกัน เป็นแพนเค้กผัก กินกับเครื่องจิ้ม แล้วก็ไข่ม้วน แอบมีเหล้านิดหน่อย ให้ตัวอุ่นๆ กระชุ่มกระชวย
เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยการทานอาหารเช้าที่โรงแรมและชิลไปจนถึงช่วง 10 โมง ก่อนจะเกินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของ Dr.Jart+ แถวย่าน Gangnum โดยทริปนี้ทีม PR จาก Index Creative Village คอยดูแลเราอย่างดีมากตลอดทริป
สำนักงานใหญ่ของ Dr.Jart+ มีหลายชั้น ซึ่งจะแบ่งเป็นแผนกต่าง ๆ การตกแต่งโมเดิน ซิมเปิล ทันสมัย ชอบ 😀
ปูเป้ได้เห็นในส่วนของรางวัลต่างๆที่ทางแบรนด์ได้รับจากทั่วเอเชีย แล้วก็ตู้ผลิตภัรฑ์ของแบรนด์อื่น ๆ ที่ใช้เพื่อเป็นข้อมูลในการศึกษาคู่แข่งในตลาด พัฒนาผลิตภัณรฑ์ใหม่ด้วย
สอง ใน สาม กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปูเป้เดินๆ ดูแล้วรู้สึกสนใจก็คือ Ceramidin กับ V7 โดย Ceramidin จะเน้นส่วนผสมของ Ceramide และสารสกัดจากพืชที่ช่วยให้ปราการปกป้องผิวแข็งแรง ให้ความชุ่มชื้นยาวนานถึง 26 ชั่วโมง ตัว Ceramidin Liquid เป็นอะไรที่น่าเล่นมาก ส่วน Cream จะเหมาะกับคนที่ผิวแห้งหรือลอก
สำหรับ V7 เป็นกลุ่มที่รวมวิตามิน 7 ชนิดเข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้ระบบสารนำพาขนาดเล้กเพื่อเก็บสารบำรุงให้เสถียรและแทรกซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น ช่วยทั้งเรื่องริ้วรอย สีผิวไม่สมำเสมอ และจุดด่างดำ
อีกไลน์ที่น่าสนใจมาก แต่ไมได้ถ่ายรูปมา ก็คือ Ctrl-A ซึ่งเป็นไลน์สำหรับผิวเป็นสิว ซึ่งมีแชมพูด้วย เพราะเขาเล็งเห็นว่าหลายครั้งที่สิวมาจากผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมที่ตกค้างจนเกดการอุดตันได้
ต่อจากนั้น Dr.Jung Sung Jae ผู้ที่ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็ได้มาอธิบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีเบื้อหลัง V7 รวมถึงยังมีการแนะนำหลักการทาผลิตภัรฑ์ตามแบบฉบับของ Dr.Jart+ ด้วย ซึ่งหลัก ๆ แล้วคือการทาตามแนวกล้ามเนื้อของผิวเพื่อไม่ให้มีการดึงรั้งหรือระคายเคือง เกิดริ้วรอยนั่นเอง
หลังจากนั้นคุณ Lee Jin Wook ซึ่งเป็น CEO ของแบรนด์ Dr.Jart+ ก็ได้มาตอบคำถามและพูดเกี่ยวกับภาพรวมของแบรนด์ ทำให้ได้รู้ว่าชื่อของแบรนด์มาจากคำว่า Doctor Join Art เป็น Dr.Jart+ โดยมีความหมายว่า ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ถูกคิดค้นขึ้นโดยความเชี่ยวชาญของแพทย์เพื่อประสิทธิผลสูงสุด แต่ถูกนำเสนออย่างมีสไตล์ เป็นศิลปะ ผ่านทางการสื่อสาร บรรจุภัณฑ์ ที่ไม่เหมือนใคร
ปูเป้ก็ได้ถ่ายรูปคู่กับคุณ Lee Jin Wook ของ Dr.Jart+ และ คุณปกรณ์ ศุภวราพงษ์ กับ คุณอริสรา ปูริซีม่า ซึ่งเป็นเจ้าของ บ.แปซิฟิก คอสเมติก จากัด ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย Dr.Jart+ ในประเทศไทย
หลังจากจบแล้วเราก็พักทนข้าวกลางวันกันที่ออฟฟิตนี่แหล่ะต่อไปเราก็แวะเข้าห้่งเพื่อไปชมเคาน์เตอร์ของ Dr.Jart+ ซึ่งทำให้รู้ว่าแบรนด์นี้ไม่ได้วางตัวอยู่อยู่ในช่องทางใดช่องทางหนึ่ง แต่อยู่ทั้งในร้านขายยา เป็นช็อปแยกออกมา เป็นเคาน์เตอร์ในห้าง รวมถึงมีจำหน่ายออนไลน์ด้วยนะถ้าจำไม่ผิด
ที่เคาน์เตอร์ก็จะมีบริการเต็มรูปแบบในการตรวจสภาพผิว การให้คำปรึกษาและดูแลผิวพรรณจากพนักงานของ Dr.Jart+
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปยังย่าน Insa-Dong ซึ่งเป็นแหล่งรวมเกี่ยวกับศิลปะ วัฒรธรรมเอาไว้ ทริปนี้เป็นอะไรที่สนุกมาก ได้มากับเพื่อนบล็อกเกอร์อย่างพี่มด น้องเอิ้ก ยิ่งแฮปปี้ X3
เจอร้านขายซอฟท์ครีมกับโคนรูปร่างประหลาด จัดมาลองสักหน่อย (มันก็คือไอติมใส่โคนธรรมดาน่ะแหล่ะ)
เดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็มาถึงร้าน O’Sulloc ซึ่งเป็นร้านขายชาในเครือ Amore Pacific ตอนแรกเราก็นึกว่ามีแต่ใบช้าให้ซื้อกลับมาอย่างเดียว แต่ว่าข้างบนมีคาเฟ่ขายเครื่องดื่มและขนมด้วย!!! (กรี๊ดดดดดด)
Green Tea Roll Care เนื้อเค้มนุ่มมมมมมมมมมมมมมมากกกกกกกกกกก และวิปครีมก็อร่อยสุดยอดดดดดดดดด มันหอมมมม มัน นุ่ม ละลายในปาก
Earl Grey Black Tea เป็นมูสเค้กที่รสชาติหอมชาละมุน เนื้อมูสมันหอมเข้มข้นนัวได้ใจ อร่อยโคตร อยากกินอีก
เครื่องดื่มที่สั่งเป็นชาเขียว แต่ข้างบนมีผิวส้มเชื่อมอะไรสักอย่าง ช่วยให้มีรสหอม สดชื่น ชุ่มคอ เปรี้ยวนิด ๆ อันนี้ก็อร่อยยยยยยย
ที่ร้านข้างล่างก็จะมีชาหลากชนิดให้เลือก มีชาสมุนไพร ชาผลไม้กลิ่นหอมมาก ๆ ด้วย ที่สำคัญคือแพคเกจจิ้งน่ารักฝุด ๆ
ข้าวเย็นวันนี้ก็กินที่ถนนเส้นเดียวกันนี่แหล่ะ เป็นร้านชื่ออะไรไม่รู้ เป็นเมนูไก่ต้มซุปกับแป้งต๊อก จิ้มกับน้ำจิ้ม ซึ่งอร่อยดี หมูปรุงรสย่างอร่อยมาก
ต่อมาเราก็ขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปยัง Seoul Tower เคยมาแล้วครั้งนึงแต่เป็นตอนกลางวัน ขอบอกว่ามาตอนเย็นสวยกว่ามากล่ะ
กรุงโซลยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสีสัน คืนนี้หลับฝันดีจ้าโปรแกรมของเช้าวันต่อมา เราจะต้องไปที่ HEYRI Art Village ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือที่ไหน แต่พอบึ่งมาถึงก็อ้าววววว เมื่อสองเดือนก่อนก็พึ่งมานี่หว่า มันไม่มีอะไรเล้ยยยยยยยยย แต่ว่าตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว มีดอกไม้เต็มริมทางไปหมด เราก็มีอะไรให้ทำมากขึ้นนั่นก็คือการถ่ายรูป
ถ่ายรูป…แล้วก็ถ่ายรูป….ทริปนี้มีรูปตัวเราเองเยอะเพราะว่ามีคนช่วยถ่าย แล้วก็มีช่างกล้องด้วย ดีจุงงง
กิจกรรมที่ทาง Dr.Jart+ พาเรามาทำในวันนี้ก็คือการเพ้นท์เซรามิค ซึ่งปล่อยโอกาสให้เราได้ละเลงลวดลายลงไปบนถ้วย ชาม หม้อ ไห กะละมัง ที่เราเลือกได้อย่างเต็มที่ พอเราลงสีเสร็จ เขาก็จะเอาไปเคลือบและเผาให้ เราก็จะมีเครื่องเคลือบเซรามิคฝีมือการวาดลวดลายของเราเองไว้เชยชม
วิธีทำก็ง่ายมาก ใครที่มีทักษะทางศิลปะสูงก็ใช้ดินสอวาดลายได้เลย ใครที่อ่อนด้อยก็ใช้แม่แบบที่เขาวาดใส่กระดาษเอาไว้แล้ว มาแปะลงไปบนถ้วยที่เราเลือกไว้ (ปูเป้เลือกชุดกาน้ำชา) หลังจากนั้นก็เอาฟองน้ำชุบน้ำหมาด ๆ มาแตะ ๆ ลงไป ลายที่กระดาษจะติดลงไปบนถ้วย หลังจากนั้นเราก็ระบายสีตามใจชอบเลยจ้า
เสร็จแล้วเราก็เดินไกลพอสมควรไปยังร้านอาหาร แต่พอดีในระหว่างทางอากาศก็ดี แถมมีต้นไม้ ดอกไม้สวย ๆ ให้ถ่ายรูปก็เพลินมาก ร้านอาหารที่มาทานในวันนี้เป็นร้านอิตาเลียน พิซซ่าแป้วงบางกรอบ กับชีสที่หนึบ ท่วมทะลัก ฟินอีกแล้วครับท่าน
ระหว่างเดินกลับเราเจอดอกแดนดิไลออนที่ยังเป็นปุยตูมๆ ติดต้นด้วยแหล่ะ ไม่เคยเห็นของจริงเลย (แก่ปานนี้แล้ว) ก็เลยขอเอามาเป่าเล่นแบบที่เห็นในการ์ตูนบ่อยๆ หน่อยเหอะ
หลังจากนันเราก็เดินทางเกือบสองชั่วโมงไปยังโซล ย่านเมียงดงที่ทุกคนรู้จักกันดี มื้อนี้เป็นมื้อที่ฟินที่สุดเพราะว่าเราได้ยินเนื้อย่างแบบพรีเมี่ยมของเกาหลี แค่เนื้อสดมาย่างจิ้มเกลือบก็อร่อยมากกกกก มันนุ่มมมมม กัดไปแล้วมีน้ำของเยื้อและมันไหลกระจายเต็มปาก ชุ่มฉ่ำ จุ๊ยซี่ฝุด ๆ เลิศมว๊ากกกก (ชื่อร้าน Maple Tree House)
หลังจากนั้นปูเป้กับพี่มดก็แพ็คคู่ตะลุยเทียงดง ทั้งกิน ทั้งช็อป สนุกสนาน ถือของกันมือแทบหลุด เจอร้าน O’Sulloc ก็ขอมาฟินก่อนกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ละกัน
กลับมาถึงห้องก็เตรียมแพ็คของ วันนี้ซื้อมาส์กจาก Innisfree มาเยอะเพราะว่าถูกมาก ตกแผ่นละ 12 บาท 50 สตางค์ (เพราะแผ่นละไม่ถึงพันวอน แล้วยังมี 10 แถม 10 อีก) มาส์กหน้าด้วยมาส์กสาหร่ายเหม็น ๆของ Anne Semonin แล้วก็หลับเป็นตาย
เช่าวันก่อนกลับเรามาแวะซื้อของฝากกันที่ Kim’s Club ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ม๊ากกกกก มีขนมแปลก ๆ ให้เลือกซื้อเพียบ แต่กระเป๋าเราจะเต็มแล้ว หอบกลับมาไม่ได้ ระหว่างที่รอคนอื่นมารวมกันที่จุดนัดพบก็นั่งแวะกินแมงดาวที่รักของเรา วันนี้ดดกำลังดี แสงสวย ก็ถ่ายรูปกันอีกสักหน่อย
หลังจาก Kim’s Club เราก็แวะไปที่ห้าง Shinsekae ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักมากนัก ไม่มีภาพบรรยากาศในห้างเพราะกำลังละลายเงินที่หามาด้วยความยากลำบากไปกับแผนกเครื่องสำอาง โปรโมชั่น Sulwhasoo ที่นี่แถมเยอะจนน่าตกใจ หมดตรูดจ้าาาาา
เราเดินมาที่ร้าน Nolboo Yuhwang Ori ซึ่งเป้นร้านที่มีชื่อเสียงกับเมนูเป็ดยัดไส้ธัญพืช เนื้อเป็ดนุ่มมาก และเครื่องที่ยัดข้างในก็หอม อร่อย
เมนูเป็ดอะไรสักอย่างอีกอันนึงก็อร่อย แต่อิ่มมาก กินได้ไม่เยอะเท่าไหร่ (รู้งี้ไม่น่ากินแมงดาวเลยอ่ะ 555)
กลับมาถึงห้องเรามีเวลาเก็บของกันประมาณ 30 นาที ปูเป้ชิลมากเพราะว่าผ่านการคิดไว้หมดแล้วว่ามีพื้นที่เหลือสำหรับซื้ออะไรเท่าไหร่บ้าง การจัดกระเป๋าจงเรียบร้อยดี เสื้อกันหนาว เสื้อคลุมไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว เราก็เอามาวางห่อของเอาไว้เพื่อกันกระแทกและไม่ให้ของข้างในกลิ้งไปมาได้ เครื่องสำอางชิ้นเล็ก ๆ กล่องๆ จะถูกเรียงเอาไว้ในถุงจนเหลือพื้นที่น้อยที่สุดแต่ไม่แน่นไปเพื่อไม่ให้กล่องบุบ
แวะมาดูสองสาวสักหน่อย ท่าทางจะมีปัญหากับการเก็บของทีเดียว…หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางออกจากโรงแรมเพื่อไปยังสนามบินและบินกลับสู่ประเทศไทย (ซึ่งก็ไปหมดตัวในดิวตี้ฟรี กับกระเป๋าCHANEL ให้มะม๊าอีก)
ทริปเกาหลีกับ Dr.Jart+ ในครั้งนี้ เป็นการมาเยือนเกาหลีที่ดีที่สุดที่ปูเป้เคยมา กิจกรรมที่ได้ทำเป็นอะไรที่แปลกใหม่จากที่เคยทำ ได้เห็นมุมมองอื่น ๆของเกาหลีที่มีมากกว่าการช็อปปิ้งเครื่องสำอาง ได้ลิ้มรสอาหารเกาหลีสุดอร่อยจากร้านชั้นเยี่ยม ทำให้รู้สึกรักประเทศเกาหลีมากขึ้น และเป็นไปได้อยากมีโอกาสกลับมาเยือนอีกครั้ง
ขอขอบคุณ Dr.Jart+ ประเทศไทย ประเทศเกาหลี และทีมงาน PR ที่คอยดูแลพวกเราอย่างดีตลอดการเดินทางด้วยนะฮะ