ใครที่เป็นแฟนของแบรนด์ h2o+ หรือคอยติดตามข่าวในวงการเครื่องสำอางมาเรื่อย ๆ น่าจะสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงรูปลักษ์ครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ และผลิตภัณฑ์ที่ออกวางจำหน่ายหลังจากการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่เป็นตัวแรก ก็คือ Total Source Night Cream ที่จะเอามาพูดถึงในวันนี้นี่เอง

Total Source จะเป็นไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ h2o+ โดยในอนาคตจะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มให้ครบถ้วนมากขึ้น โดยทางแบรนด์ได้ชูจุดเด่นว่านี่เป็น “ที่สุดของนวัตกรรม” เพื่อการคืนความอ่อนเยาว์และความชุ่มชื้นกับผิวได้อย่างแท้จริง โดยตอบโจทย์พื้นฐานและปัญหาผิวที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของริ้วรอย คืนความกระจ่างใส ลดรอยหมองคล้ำ มอบผิวเรียบเนียน แข็งแรง เติมเต็มชุ่มชื้น ทั้งหมดในผลิตภัณฑ์เพียงหนึ่งเดียว…

อ่านคำโปรยมาเยอะแล้ว เรามาดูข้อมูลกันดีกว่า ว่า Total Source Night Cream นั้นจะทำให้เราร้อง “ว๊าว!!!” ด้วยหรือไม่?

h2o+ : Total Source Night Cream (50ml / 4,880 THB)

ครีมกระปุกนี้มีส่วนผสมของสารออกฤิทธิ์ทั้งหมด 8 ชนิด ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งในนั้นจะเป็นตัวหลักที่ใช้เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้

ตัวแรกที่ปูเป้มองว่าเป็นหัวใจของผลิตภัณฑ์ตัวนี้เลยก็คือ Achillea Millefolium หรือ Common Yarrow ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีใช้กันนมนานในการเสริมการรักษาบาดแผล ลดการอักเสบ สำหรับการนำมาใช้เป็นเครื่องสำอางในปัจจุบัน มีการศึกษาพบว่า Achillea Millefolium มีสารประกอบของสารกลุ่มฟลาโวนอยด์กลูโคไซด์อย่าง Centaureidin ที่เข้าไปลดการเจริญเติบโตของแขนเซลล์เมลาโนไซต์ เพื่อที่จะลดการส่งผ่านเม็ดสีไปยังเซลล์ผิว มีการศึกษาจากญี่ปุ่นพบว่า Achillea Millefolium มีคุณสมบัติในการลดการส่งสัญญาณ Endothelin-1 จากเซลล์ผิวเพื่อไปกระตุ้นเมลาโนไซท์ ผลจึงทำให้กระบวนการผลิตเม็ดสีน้อยลงตั้งแต่จุดเริ่มต้น

ล่าสุดทาง BSAF ได้ตีพิมพ์ผลการทดสอบลงใน International Journal of Cosmetic Science เดือนธันวาคมปี 2011 ว่า Achillea Millefolium มีผลต่อการแสดงของของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนสภาพของเซลล์ผิวชั้นนอก การทดสอบโดยใช้ 2% Achillea Millefolium เป็นเวลา 8 สัปดาห์พบว่ากลุ่มทดสอบมีขนาดของริ้วรอย และขนาดรูขุมขนที่ลดลง พื้นผิวมีความนุ่มนสวลขึ้น รวมถึงยังมีความเรียบเนียนกว่ากลุ่มทดสอบที่ใช้ 3% Glycolic Acid ก็เป็นอะไรที่ฟังดูดี แต่ปูเป้จะโน๊ตเอาไว้หน่อยนึงว่า แม้การศึกษานี้จะเป็นแบบ Control VS Placebo ที่ก็มีความน่าเชื่อถือ ทว่าการทดสอบนี้ก็ยังมีผู้ผลิตสารเป็นผู้จัดทำขึ้น

จะเห็นว่าแม้ชื่อจะเป็น Common Yarrow แต่คุณสมบัติของมันกว้างมาก และไม่ Common เลย อย่างไรก็ดี ยังมีข้อมูลที่ขัดแย้งกันในเรื่องของผลข้างเคียงในแง่ลบของพืชชนิดนี้ บางข้อมูลชี้ว่าการใช้พืชชนิดนี้เป็นเวลานานจะทำให้ผิวไวต่อแสงได้ง่ายขึ้น แต่ข้อมูลไมได้ระบุว่าเป็นผลการการรับประทานหรือการทา ในขณะที่ข้อมูลใน International Journal of Toxicology ปี 2011 ระบุว่าสารสกัดจากพืชชนิดนี้ที่ใช้ในเครื่องสำอางไมได้ก่อให้เกิดอาการไวต่อแสงดังกล่าว ทว่าในส่วนท้ายของการศึกษาตรงนี้ก็ระบุไว้ว่าข้อมูลทั้งหมดที่มียังไม่พอที่จะสรุปผลได้แน่ชัด อย่างไรก็ดี ปูเป้มองว่าผลิตภัณฑืตัวนี้อย่างน้อยก็ใช้ในตอนกลางคืน จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในส่วนนี้ ตอนกลางวันเราก็ควรทากันแดดเป็นประจำอยู่แล้ว ปูเป้จึงเห็นว่ามันไม่น่ากังวลเท่าไหร่

(Source : Surface rejuvenating effect of Achillea millefolium extract., Final report on the safety assessment of Yarrow (Achillea millefolium) Extract., BASF discover common yarrow plant’s potential as anti-ageing cosmetic active., Modifying skin pigmentation – approaches through intrinsic biochemistry and exogenous agents., A Review of Skin Hypopigmentation and Contemporary Strategies to Achieve an Even Skin Tone,Neurobiox™ BASF, A renewed and smooth epidermis, with the appearance of “resurfacing”, Achillea Millefolium Extract)

สารสกัดตัวที่น่าสนใจอีกอันคือ Aspalathus Linearis หรือ Rooibos ที่หลายคนรู้จักกันในรูปแบบของชาสมุนไพร พืชชนิดนี้เป็นที่นิยมกันมากในแอฟริกา มันไม่มีคาเฟอีนและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีประโยชน์กับสุขภาพมาก Rooibos เป็นหนึ่งในพืชที่รู้ว่ามีประมาณของ SOD หรือ Superoxide Dismutase ซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์เอนไซม์ประกอบอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ในเซลล์ของเราจะมีการผลิตอนุมูลอิสระออกมาซึ่งเป็นของเสียจากกระบวนการผลิตพลังงาน เราก็มีการผลิตเอนไซม์ชนิดนี้นี่แหล่ะ เข้ามาจัดการกับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ทำให้สารสกัดจาก Aspalathus Linearis จึงน่าจะมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระได้

(Source : Protective effects of rooibos (Aspalathus linearis), green tea (Camellia sinensis) and commercial supplements on testicular tissue of oxidative stressinduced rats.)

ส่วนผสมอีกหนึ่งตัวที่เริ่มเห็นนำมาใช้มากขึ้นอย่าง Rosa Roxburghii Fruit Extract ซึ่งเป็นสารสกัดจากผลของพืชตระกูลกุหลาบ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Chesnut Rose มีการวิเคราะห์มาแล้วว่ามีปริมาณของวิตามินซี และ อีอยู่สูง รวมถึงมีสารแอนติออกซิแดนท์เอนไซม์อย่าง Superoxide Dismutaste และอื่นๆ อยู่อีกด้วย ทำให้ Rosa Roxburghii Fruit Extract มีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ดี และ Superoxide Dismutaste ยังสามารถลดปริมาณอนุมูลซูเปอร์ออกไซด์ (Superoxide Anion) ที่เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ได้

(Source : Effects of Rosa roxburghii Extract on Proliferation and Differentiation in Human Hepatoma SMMC-7721 Cells and CD34^+ Haematopoietic Cells., Relationship between ascorbic acid accumulation and related enzyme activities in fruit of Rosa roxburghii Tratt., In vitro antioxidant, antimutagenic and genoprotective activity of Rosa roxburghii fruit extract.)

อีกส่วนผสมหนึ่งที่น่าจะพูดถึงเอาไว้คือ Cladosiphon Okamuranus Extract เป็นสาหร่ายสีน้ำตาลที่พบในแถบโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น สาหร่ายชนิดนี้ใช้เป็นทั้งอาหารขึ้นชื่อ และผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ การศึกษาจากญี่ปุ่นพบว่าสารสกัดจากสาหร่ายชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรังสี UV ช่วยเสริมการแบ่งตัวของ Fibroblasts กระตุ้นการสร้างคอลาเจน

(Source : Anti-inflammatiory effect of Cladosiphon okamuranus TOKIDA extract.)

ส่วนผสมอีกอันหนึ่งที่เราได้ยินกันบ่อยก็คือโปรตีนสกัดจาก “ไข่มุก” หรือ Hydrolyzed Conchiolin Protein นั่นเอง ซึ่ง Conchiolin ประกอบไปโดยกรดอะมิโนหลายชนิด คุณสมบัติหลัก ๆ คือการเป็น Natural Moisturizing Factor สำหรับให้ความชุ่มชื้นกับผิว ซึ่งการที่ผิวมีความชุ่มชื้นก็จะทำผิวดูมีความใสขึ้นด้วย ทว่าแม้นี่จะเป็นส่วนผสมที่ถูกนำมาใช้กันบ่อยในเครื่องสำอาง แต่การศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของโปรตีนไข่มุก ในการนำมาทาบนผิวยังมีอยู่จำกัดมาก

(Source : Pearl – A New Functional Ingredient?)

สารบำรุงอื่น ๆ ก็มีวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มี Dipotassium Glycyrrhizate ที่เป็นตัวลดการระคายเคืองได้เป็นอย่างดี ต้านอนุมูลอิสระ และขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิวได้ อีกตัวนึงคือ Algae Extract ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าเดาไม่ออกว่ามันคือ Active ยี่ห้ออะไร จากสาหร่ายตัวไหน แต่คุณสมบัติพื้นฐานคือเป็นตัวให้ความชุ่มชื้นได้ล่ะ

ตัวเบสครีมเป็นเบสน้ำและซิลิโคน ใช้ส่วนผสมของ Diphenylsiloxy Phenyl Trimethicone ซึ่งเป็น Powder ที่ช่วยทำให้ส่วนผสมข้นขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ให้เนื้อผลิตภัณฑ์มีสัมผัสที่ดี ทำให้ “เนื้อสัมผัส” ของครีมประปุกนี้จะเป็นสิ่งแรกที่หลายคนประทับใจ เพราะรู้สึกได้ถึงความเนียน ความนุ่ม เกลี่ยได้ง่าย และให้ความชุ่มชื้นได้ดีทีเดียว กลิ่นน้ำหอมรู้สึกแตกต่างจากไลน์ของ h2o+ ที่เคยใช้ ค่อนข้างหวานนุ่มไม่ฉุนมาก แต่น้ำหอมก็ยังไม่มีประโยชน์กับการบำรุงผิวโดยตรงและเพิ่มโอกาสที่จะก่ออาการระคายเคืองหรือแพ้ในผลิตภัณฑ์ได้

พูดกันตรง ๆ ว่าตอนแรกที่เริ่มใช้นั้นยังไม่ได้หาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับส่วนประกอบที่ใส่มา ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับผลิตภัณฑืตัวนี้มาก รู้สึกแค่ว่าเนื้อสัมผัสดี กลิ่นดี ชุ่มชื้นดี แต่ใช้ไปสักพักก็ต้องบอกว่ามันใช้ดีกว่าที่คิด คือตอนเช้ารู้สึกว่าผิวหน้ามันสดใสขึ้น อิ่มเอิบขึ้น ผิวเหมือนมีความฟู ชุ่มชื้นดีทีเดียว

อีกเทคโนโลยีเบื้องหลังที่ทางแบรนด์เคลมเอาไว้ก็คือ Time Release Gel Matrix ที่เป็นระบบส่งสารบำรุงต่าง ๆ ลงไปในผิวอย่างต่อเนื่องตลอดคืน ปูเป้ไม่แน่ใจว่าระบบส่งสารสำคัญนี้จะช่วยรักษาความเสถียรของสารสกัดเอาไว้ให้คงทนได้ด้วยรึเปล่า แต่หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าบรรจุภัณฑ์แบบกระปุกก้เป็นปรปักษ์กับสารสกัดและวิตามินที่ไวต่อแสงและออกซิเจนเหมือนกัน

Ingredients : Aqua/Water/Eau, Cyclopentasiloxane, Glycerin, PEG-10 Dimethicone, Butylene Glycol, Pentylene Glycol, Disteardimonium Hectorite, Diphenylsiloxy Phenyl Trimethicone, PEG-75, Achillea Millefolium Extract, Algae Extract, Aspalathus Linearis Extract, Cladosiphon Okamuranus Extract, Rosa Roxburghii Fruit Extract, Tocopherol, Dimethicone, Dimethicone/Vinyl Dimethicone Crosspolymer, Dipotassium Glycyrrhizate, Hydrolyzed Conchiolin Protein, Phytosteryl Isostearyl Dimer Dilinoleate, Sucrose Palmitate, Sucrose Stearate, Trisiloxane, Phenoxyethanol, Parfum/Fragrance, Limonene, Linalool.

โดยภาพรวมแล้วปูเป้มองว่า h2o+ : Total Source Night Cream ถือเป็นก้าวใหม่ของแบรนด์ที่ดี ส่วนผสมของสารบำรุงที่นำมาใช้เกือบทั้งหมดมีการศึกษารองรับเอาไว้แล้ว และมีการใช้เทคโนโลยีและส่วนผสมจากญี่ปุ่นมากขึ้น

ในแง่ของประสิทธิภาพ ปูเป้มองว่านี่เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับกลางคืนที่ให้สุนทรีย์ในการใช้ เนื้อสัมผัสเนียนลื่น ให้ความรู้สึกนุ่มนวลกับผิว ให้ความชุ่มชื้นได้นาน ตื่นมาแล้วผิวรู้สึกสดใส อิ่ม ฟู แน่น ในเรื่องริ้วรอยปูเป้ยังไม่มีปัญหาตรงนี้จึงมองเห็นผลเรื่องนี้ไม่ชัดเจนนัก

h2o+ : Total Source Night Cream ดูจะเป็นทางเลือกให้สำหรับผู้ที่มีสภาพผิวธรรมดา ค่อนไปทางผิวผสม และผิวแห้ง และมีปัญหาผิวหลายอย่างที่ต้องการดูแลในคราวเดียวกัน เพราะตัวสารบำรุงให้ผลค่อนข้างกว้างและครอบคลุมปัญหาทั้งริ้วรอย สีผิวไม่สม่ำเสมอ ความชุ่มชื้น ความแน่นของผิว

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

ข้อดี

– ส่วนผสมของสาร Actives หลายชนิด
– ให้ผลในการบำรุงผิวที่หลากหลาย ทั้งริ้วรอย สีผิวไม่สมำเสมอ ความเรียบเนียน ความชุ่มชื้น
– สารสกัดส่วนใหญ่มีการศึกษารองรับ
– เนื้อสัมผัสดีมาก (เป็นความชอบส่วนตัว)
– ให้ความชุ่มชื้นดี ตื่นมาแล้วผิวอิ่มเอิบ

ข้อเสีย

– มีน้ำหอม
– บรรจุภัณฑ์แบบกระปุก

***Sponsored Item***

– h2o+ : Total Source Night Cream