ทาง Her Hyness ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่มาให้ เป็นเซรั่มและเจลครีมที่แอคทีฟหลักเหมือนกันคือเน้นไปที่ค็อกเทลของเปปไทด์ที่มุ่งเป้าไปยังคุณภาพผิวในหลายมิติไม่ว่าจะเป็นเรื่องริ้วรอย ความกระจ่างใส จุดด่างดำ ความชุ่มชื้นและความแข็งแรงของผิว หลายตัวเป็นเปปไทด์ที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน แต่ที่ปูเป้สนใจคือแนวคิดของระบบนำพาที่เจาะจงเซลล์เป้าหมายของหนึ่งในส่วนผสมที่มีในครีมตัวนี้ล่ะ
เปปไทด์อาจไม่ใช่ส่วนผสมที่ฟังดูใหม่สำหรับปัจจุบัน แต่ก็ต้องบอกว่าเทคโนโลยีทำให้การพัฒนาเปปไทด์ในเชิงพาณิชย์ทำได้ง่ายขึ้นและมีราคาที่ต่ำลงกว่าสมัยที่เปปไทด์ออกสู่ตลาดเครื่องสำอางในช่วงแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนมาก มีการพยายามก้าวข้ามข้อจำกัดสำคัญของเปปไทด์อย่างเรื่องของการดูดซึมสู่ผิวที่ไม่ดีเนื่องจากเป็นสารที่ละลายน้ำด้วยการใช้ระบบนำพา และระบบนำพาปัจจุบันก็ทันสมัยขึ้นมากขนาดที่เจาะจงประเภทของเซลล์เป้าหมายได้ด้วย
ในแง่ของส่วนประกอบของ Her Hyness : Bio-Peptide Advanced Youth Plus Glow Cream (30ml / 1,490 BAHT) นั้นส่วนผสมของสารสำคัญที่เหมือนกับเซรั่มในชื่อคล้าย แต่ด้วยโพซิชั่นและราคา ก็มีความเป็นไปได้ที่ตัวครีมนี้อาจจะใส่สารสำคัญมาในความเข้มข้นที่น้อยกว่า แต่เหตุผลที่ปูเป้เลือกลองตัวนี้เพราะช่วงที่ผ่านมาลองเซรั่มเยอะมาก และอยากลองเปลี่ยนสกินแคร์ขั้นตอนอื่นดูบ้าง
ส่วนผสมสำคัญที่ปูเป้สนใจก็คงจะหนีไม่พ้นสารประกอบเชิงซ้อนที่มีชื่อทางการค้าว่า X50 PureWhite ของบริษัท Infinitec Activos จากสเปน อันประกอบไปด้วย [Water, Glycerin, Xanthan Gum, Phenoxyethanol, Caprylyl Glycol, Glyceryl Caprylate Lactic Acid/Glycolic Acid Copolymer, Phenylpropanol, Palmitoyl Sh-Octapeptide-24 Amide, Polyvinyl Alcohol, PalmitoylSh-Tripeptide-5 Norisoleucyl Sh-Nonapeptide-1]
โดยแคปซูลด้านนอกที่มี Palmitoyl Sh-Tripeptide-5 Norisoleucyl Sh-Nonapeptide-1 เป็น Ligand Peptide ที่มีความจำเพาะกับ MC1R รีเซพเตอร์ที่สำคัญต่อกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานิน Ligand Peptide ตัวนี้ทำหน้าที่ไปแย่งที่กันซีนปาดหน้าเค้กไม่ให้ ตัวสัญญาณที่เซลล์ผิวส่งมากระตุ้นการสร้างเมลานินอย่าง α-MSH (α-Melanocyte-stimulating hormone) มาจับกับ MC1R ที่อยู่ตรงผนังเซลล์ของเมลาโนไซต์ได้ การที่แคปซูลมีความจำเพาะกับชนิดของเซลล์โดยการเลือกใช้ Ligand Peptide เป็นตัวเลือกจับเป้าหมายนี้ เปรียบเหมือนกับโดรนชี้เป้าหมาย เขาจึงเรียกสิ่งนี้ว่า The Cosmetic Drone นั่นเอง
หลังจากที่แคปซูลโดรนจับยังเป้าหมายของเซลล์ เปลือกแคปซูลจะแตกและคลายแอคทีฟที่ถูกเก็บไว้ข้างใน ซึ่งในนี้ก็คือ Palmitoyl Sh-Octapeptide-24 Amide ที่ไปกดการทำงานของยีนที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ไทโรซิเนสที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เมลานิน โดยรวมถึงทำหน้าที่ทั้งขัดขวางการรับสัญญาณกระตุ้นการสร้างเมลานินและขัดขวางเอนไซม์สำคัญที่ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เมลานิน โดยมีความปลอดภัยสูงและใช้ในความเข้มข้นที่น้อยก็ได้ผล เพราะสารสำคัญไปทำงานอย่างเจาะจงเป้าหมาย มองในทางทฤษฏีและข้อมูจากผู้ผลิตสารตัวนี้ก็ต้องบอกว่าว้าวมากและล้ำมาก แต่เราก็ยังไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นให้สืบค้นเท่าไหร่ ต้องไปดูผลของการใช้กันอีกที
อีกส่วนผสมเชิงซ้อนอีกอันที่คิดว่าน่าสนใจดีคือ BIO-Placenta ของบริษัท LABIO จากเกาหลี อันประกอบไปด้วย [Water, Lecithin, Acetyl Glutamine, sh-Oligopeptide-1, sh-Oligopeptide-2, sh-Polypeptide-1, sh-Polypeptide-9, sh-Polypeptide-11, Bacillus/folic Acid Ferment Filtrate Extract, Sodium Hyaluronate, Caprylyl Glycol, Butylene Glycol, 1,2-Hexanediol] ซึ่งเป็น Growth Factor สังเคราะห์เลียนแบบ Growth Factor พบได้ใน Placenta หรือรกของมนุษย์ (สังเคราะห์ขึ้นมาในห้องแลป ไม่ได้เอามาจากรกมนุษย์จริง ๆ) ซึ่งเคลมถึงคุณสมบัติในการฟื้นบำรุงผิวและต่อต้านริ้วรอยรวมไปถึงช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น
ส่วนผสม Growth Factor นั้นมีข้อมูลว่าช่วยเสริมการฟื้นฟูผิวได้จริง แต่ข้อมูลส่วนมากมักทดสอบในเซลล์หรือบนผิวที่มีบาดแผลซึ่งทำให้สารกลุ่ม Growth Factor สามารถเข้าไปสู่เซลล์เป้าหมายที่ชั้นลึกได้ทันทีผ่านช่องเปิดเหล่านั้น แต่บนผิวที่ปิดสนิทนั้นยากต่อการแทรกซึมของสารประเภทนี้ ช่องทางที่เป็นไปได้มากที่สุดในการนำพาสารคือการหุ้มด้วยแคปซูลและส่งผ่านไปยังช่องทางรูขุมขน เราเองก็ไม่มีข้อมูลว่าสารตัวนี้จะไปในผิวได้แค่ไหน แต่อย่างน้อยคุณสมบัติพื้นฐานของโปรตีนก็เป็นสารให้ความชุ่มชื้นและต้านอนุมูลอิสระได้
ในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังมีเปปไทด์อีกหลายตัว ซึ่งปูเป้จะอ้างอิงข้อมูลจากบทความในฐานข้อมูลแบบเปิดอย่าง MDPI ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเปปไทด์ในเครื่องสำอางเอาไว้
Acetyl Hexapeptide-8 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Argireline ถูกเคลมในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอยผ่านการกดการทำงานของสารที่จะไปสั่งให้กล้ามเนื้อหดตัว เป็นเปปไทด์ตัวแรก ๆ ในวงการเครื่องสำอางที่ปลุกกระแสว่าเป็น Botox-in-a-Bottle (แต่ส่วนตัวเราว่ามันใช้แทนกันไม่ได้) การทดสอบในมนุษย์พบว่าเปปไทด์ตัวนี้ช่วยลดริ้วรอยและลดความหยาบกร้านของผิวได้
Palmitoyl Tripeptide-38 หรือ MATRIXYL synthe’6 โดยบริษัท Sederma ที่เน้นไปในการเสริมโมเลกุลที่สำคัญต่อโครงสร้างผิวและความอิ่มเอิบ (Collagen I / Collagen III / Hyaluronic Acid) และชั้น DEJ ที่เชื่อมระหว่างผิวชั้นในและผิวชั้นนอก (Collagen IV / Laminin 5 / Fibronectin) เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวยืดหยุ่นมีวอลลุ่มอิ่มฟูขึ้น การศึกษาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ดังกล่าวก็แสดงให้เห็นผลในเรื่องการลดเลือนริ้วรอยได้ แต่ข้อจำกัดคือผลิตภัณฑ์ที่ศึกษาไม่ได้มีแต่เปปไทด์จึงอาจไม่สามารถสรุปได้อย่างเต็มที่ว่าผลทั้งหมดมาจากเปปไทด์อย่างเดียว
Tripeptide-32 เป็นเปปไทด์ที่มีใช้กันอย่างยาวนานในแบรนด์ชั้นนำ ปัจจุบันมีผู้ผลิตสารอยู่หลายเจ้า โดยเคลมในเรื่องคุณสมบัติในการปรับการทำงานของ CLOCK Gene และ PER-1 เพื่อช่วยทำให้นาฬิกาชีวภาพของเซลล์ที่อาจทำงานไม่สอดประสานเพราะไลฟ์สไตล์ให้กลับกลับมาสู่วงจรปกติ ช่วยให้วงจรผิวควรกลับมาทำงานแบบที่ควรจะเป็น นี่เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่นอกจากคำเคลมของผู้ผลิตสารและเอกสารการจดสิทธิบัตร ก็ไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นให้เราอ้างอิงเท่าไหร่
Tripeptide-1 กับ Copper Tripeptide-1 นี้เป็นที่พูดถึงกันในหมู่คนที่สนใจส่วนผสมสกินแคร์อย่างมากเมื่อช่วงเกือบสิบปีที่แล้ว โดยเฉพาะคอปเปอร์เปปไทด์ที่มีการศึกษาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเปปไทด์อื่น ๆ โดยมีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน อีลาสตินเพื่อลดริ้วรอย ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ เสริมการสมานผิว ส่วนตัวคิดว่าหากอิงจากข้อมูลที่เรามี ตัวนี้มีภาษีดีที่สุด
ส่วนผสมเปปไทด์นั้นน่าสนใจ แต่ข้อจำกัดที่สำคัญนอกจากเรื่องของการมีข้อมูลค่อนข้างจำกัด ก็คือเรื่องของการพยายามทำให้ดูดซึมเข้าผิวให้ได้ อย่างไรก็ดี ในระหว่างทำข้อมูลอันนี้ก็ไปอ่านเจอการศึกษาอันหนึ่งที่เปรียบเทียบการทา เซรั่มผสมเปปไทด์ เทียบกับการทา มอยซ์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีสารบำรุง ลงบนผิวที่ผ่านการทำเลเซอร์แบบไม่เกิดบาดแผลบนพื้นผิว (nonablative fractional laser) ก็พบว่าครึ่งหน้าที่ทาเซรั่มผสมเปปไทด์เห็นผลของโทนผิว รูขุมขน ความกระจ่างที่ดีกว่าข้างที่ทาแต่มอยซ์เจอไรเซอร์เปล่า ๆ ในทุกมิติ ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ผ่านการทำเลเซอร์แม้จะไม่เกิดบาดแผลที่ผิวด้านนอก ก็น่าจะได้ประโยชน์กับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์เนื่องจากมีความปลอดภัยและมีโอกาสระคายเคืองผิวต่ำ เนื่องจากเป็นสารที่คล้ายกับที่มีในผิวตามธรรมชาติ
ส่วนผสมอื่น ๆ ก็มี Niacinamide หรือ Vitamin B3 ที่เสริมคุณภาพผิวในหลายมิติทั้งการช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นผ่านการเสริมเซราไมด์ และการเสริมกลไกลดเลือนจุดด่างดำ ต้านการอักเสบ และอีกสารพัด Ectoin เป็นหนึ่งในสารกลุ่ม Extremolyte ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่โหดสุดขั้วสร้างมาเพื่อใช้ในการปกป้องเซลล์ให้สามารถดำรงชีวิตในสภาพสุดโต่ง ถ้าอิงจากการศึกษาก็จะบอกว่าส่วนผสมตัวนี้อุ้มความชื้นได้สูงและยาวนานมากแบบสุด ๆ (แต่ส่วนตัวใช้แล้วพบว่าถ้าไม่มีตัวเคลือบล็อคที่ดีพอก็เอาไม่อยู่) แต่คุณสมบัติที่เราว่าน่าสนใจจริง ๆ คือการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ช่วยลดผลกระทบจากการเผชิญรังสี UV รวมไปถึงมลภาวะอย่าง PM2.5 และแม้แต่แสงสีน้ำเงินอีกด้วย จึงมักถูกใส่มาในผลิตภัณฑ์ที่เคลมว่าปกป้องผิวจากมลภาวะ มีข้อมูลว่าส่วนผสมตัวนี้ช่วยฟื้นฟูผิวหนังอักเสบ Atopic Dermatitis ได้อีกด้วย
Dipotassium Glycyrrhizate เป็นสารต้านการระคายเคือง ต้านการอักเสบที่ได้จากรากชะเอม ส่วนสารสกัดจากเปลือกต้นหลิว Salix Nigra (Willow) Bark Extract นั้นมักถูกเคลมว่าเป็น BHA ธรรมชาติเพื่อเสริมการผลัดเซลล์ผิว แต่ส่วนตัวไม่ค่อยคาดหวังในเรื่องนี้ แต่จะมองเป็นตัวต้านการอักเสบมากกว่า ส่วน Royal Jelly เป็นส่วนผสมยืนพื้นของแบรนด์ โดยมีข้อมูลที่ชี้ว่าสารสำคัญในนมผึ้ง อย่าง 10-hydroxy-trans-2-decenoic acid หรือ 10H2DA เป็นกรดไขมันที่ใช้ชี้วัดคุณภาพของนมผึ้งก็มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและสมานผิวโดยการเสริมการสร้างคอลลาเจน
ตัวเบสมีส่วนผสมของ Isododecane กับ Squalane เพื่อเป็น Emollients และขึ้นเป็นเนื้อเจลครีมด้วย Acrylates/Beheneth-25 Methacrylate Copolymer กับ Sodium Polyacrylate ผลิตภัณฑ์ไม่มีส่วนผสมของสี น้ำหอม และสารที่อาจระคายเคืองผิวได้ ทางแบรนด์ยังชูจุดขายเรื่องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมซิลิโคน ซึ่งก็ต้องบอกว่าซิลิโคนเป็นสารที่กว้างมาก และไม่ใช่ส่วนผสมที่ไม่ดี แต่สำหรับคนที่ไวต่อส่วนผสมดังกล่าวหรือต้องการเลี่ยงด้วยเหตุผลส่วนตัวใด ๆ ก็ตาม ก็ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ได้
Ingredients : Aqua, Isododecane, Acetyl Hexapeptide-8, Niacinamide, Sh-Oligopeptide-1, Acrylates/Beheneth-25 Methacrylate Copolymer, Glycerin, Hydroxypropyl Cyclodextrin, Palmitoyl Tripeptide-38, Salix Nigra (Willow) Bark Extract, Tripeptide-1, Copper Tripeptide-1, Tripeptide-32, Dextran, Lecithin, Acetyl Glutamine, Sh-Oligopeptide-2, Sh-Polypeptide-1, Sh-Polypeptide-9, Sh-Polypeptide-11, Squalane, Bacillus/Folic Acid Ferment Filtrate Extract, Sodium Polyacrylate, Ectoin, Aloe Barbadensis Leaf Extract, Xanthan Gum, Phenoxyethanol, Caprylyl Glycol, Glyceryl Caprylate, Lactic Acid/Glycolic Acid Copolymer, Phenylpropanol, Palmitoyl Sh-Octapeptide-24 Amide, Polyvinyl Alcohol, Palmitoyl Sh-Tripeptide-5 Norisoleucyl Sh-Nonapeptide-1, Sodium Hyaluronate, Royal Jelly, Butylene Glycol, Dipotassium Glycyrrhizate, Tocopheryl Acetate, Ethylhexylalycerin, Disodium EDTA.
Her Hyness : Bio-Peptide Advanced Youth Plus Glow Cream เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์เนื้อเจลครีมที่บางเบา เคลือบผิวเล็กน้อย โดยรวมเหมาะกับผิวผสมค่อนไปทางผิวมัน โดยส่วนตัวปูเป้ใช้เจลครีมตัวนี้ในตอนกลางวันร่วมกับสกินแคร์อื่น ๆ ได้ดี รู้สึกสบายผิว แต่ในตอนกลางคืนจะรู้สึกว่าการเคลือบเก็บกักความชุ่มชื้นนั้นยังไม่มากพอสำหรับตัวเองครับ
ส่วนตัวได้ลองพกตัวนี้ไปใช้ที่ญี่ปุ่นในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาด้วย ซึ่งอากาศเริ่มหนาวและมีความแห้งมากจากการที่ห้องพักหรือในรถโดยสารมีการเปิดฮีตเตอร์ ตัวนี้ก็เอาไม่อยู่ครับ ดังนั้นในแง่ของการเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ก็คือทำมาเพื่ออากาศร้อนชื้น กับผิวผสมหรือผิวมัน
บรรจุภัณฑ์เป็นกระปุกแบบ air-less ซึ่งดีในแง่ของการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เอาไว้ข้างใน แต่ส่วนตัวนี่เป็นรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ปูเป้รู้สึกว่ากดปาดออกมาใช้แล้วต้องมานั่งเช็ดทุกครั้ง เนื้อเจลครีมนี้ไม่ได้ข้นอะไรมาก สามารถอยู่ในขวดปั้มแบบ air-less ปกติที่ปั้มแล้วไม่ต้องมานั่งเช็ดทุกครั้ง จะสะดวกในการใช้งานกว่ามาก แต่ก็เข้าใจได้ว่าทรงกระปุกมันดูสวยในเชิงของการออกแบบ
สำหรับผลในการใช้ แม้ปูเป้จะคิดว่าตัวนี้ไม่ตอบโจทย์นักในแง่ของการเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ คือยังไม่เข้มข้นหรือเคลือบผิวมากพอสำหรับสภาพผิวของตัวเองในวัย 40 ที่ผิวแห้งลงและขาดน้ำง่ายกว่าสมัยก่อนอย่างมาก แต่ในแง่ของผลที่ได้ก็พบว่าโทนผิวดูกระจ่างขึ้น และรอยดำที่ตกค้างจากสิวอักเสบก็จางและมีขนาดที่เล็กลง โดยที่ในระหว่างที่ทดลองใช้ปูเป้ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งอื่น ๆ ร่วมเลย
ส่วนในแง่ของผลของเรื่องการลดเลือนริ้วรอยนั้น ปูเป้คิดว่ายังไม่สามารถที่จะบอกอะไรได้จากระยะเวลาที่จำกัดในการลองใช้เพียง 14 วันครับ
โดยสรุปแล้ว Her Hyness : Bio-Peptide Advanced Youth Plus Glow Cream เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์เนื้อเจลครีมที่เหมาะกับคนที่มีผิวผสมถึงผิวมันในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเราได้เป็นอย่างดี ส่วนผสมของสารบำรุงอัดแน่น และจากช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์ที่ทดลองใช้ก็รู้สึกว่าสิ่งที่รู้สึกได้คือเรื่องของโทนผิวที่กระจ่างขึ้นและจุดด่างดำรอยสิวที่ค่อย ๆ จางลง แม้จะไม่ใช่ตัวที่รู้สึกว่าเห็นผลเร็วที่สุด แต่เมื่อถือว่านี่เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ ไม่ใช่เซรั่ม ก็คิดว่าทำได้ดีทีเดียว ใครที่สนใจเทคโนโลยีเปปไทด์ในสกินแคร์ ตัวนี้ก็อัดมาอย่างไม่ยั้งเลยล่ะ
โดยส่วนตัวปูเป้คิดว่าถ้าให้เลือกใช้ต่อ ปูเป้คงจะเลือกไปใช้เป็น Her Hyness : Bio-Peptide Advanced Youth Plus Glow Serum แทนเพราะคิดว่าผลจากแอคทีฟที่ใส่มาน่าสนใจมาก แต่เจลครีมนี้ยังไม่ตอบโจทย์สภาพผิวของปูเป้ในปัจจุบันที่แห้งลงกว่าเดิมและขาดน้ำสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย เมื่อมองในฐานะของตัวเคลือบผิว / มอยซ์เจอไรเซอร์ ครับ
สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง
***Sponsored Item***
Her Hyness : Bio-Peptide Advanced Youth Plus Glow Cream
Price : 30ml / 1,490 BAHT
Skin Type : Normal to Oily Skin / Sensitive Skin
Outstanding : Skin Clarity, Pigmentation, Light-Weight Hydration
- ส่วนผสมของเปปไทด์หลากหลายอัดแน่น
- ปราศจากส่วนผสมที่ระคายเคืองผิว
- ช่วยให้โทนผิวกระจ่างขึ้นและรอยสิวจางลงโดยไม่ระคายเคืองผิว
- เนื้อเจลครีมนี้ให้ความชุ่มชื้นและเคลือบผิวได้ไม่มากพอสำหรับผิวของปูเป้เอง