เราเชื่อว่ารีวิวนี้หลายคนรอคอยเพราะนี่เป็นสกินแคร์ที่เราออกตัวแรงมากว่าเลิฟสุด ๆ ตอน LIVE เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาถูกช่วงเวลา ถูกกับไลฟ์สไตล์ และปัญหาผิวของเราแบบพอดิบพอดี กับ IPSA : ME Ultimate รุ่นล่าสุดของ Metabolizer ที่อัดเทคโนโลยีทั้งหมดที่แบรนด์เขาใช้เพื่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นขั้นสุดของเขา แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงรีวิวตัวผลิตภัณฑ์เราจะขอเล่าความเป็นมานิดหน่อยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Metabolizer และความเป็นมาของ IPSA
IPSA เป็นแบรนด์ในเครือ Shiseido ที่ก่อตั้งมากว่า 30 ปีแล้วโดยเป็นแบรนด์ที่มีคอนเซปต์ล้ำสมัยเกินกว่ายุคสมัยมากนั่นคือการสร้างตำรับความงามที่เหมาะกับแต่ละบุคคล (Customization / Personalization) โดยเน้นที่การตรวจวัดสภาพผิวด้วยเครื่องมือ IPSALYZER ที่สามารถวัดระดับการหลั่งน้ำมัน ความชุ่มชื่นของผิว วัดเนื้อผิว โทนสีผิว ความผิดปกติของเม็ดสี เพื่อประเมิณคุณภาพผิว และยังไปถึงการเลือกสีของรองพื้นและเครื่องสำอางที่เหมาะกับผิวอย่างดิบพอดีได้ด้วย
คอนเซปต์ของแบรนด์ IPSA คือความเรียบง่ายแต่ให้ผิวที่สวยเป็นธรรมชาติเน้นการทำให้พื้นฐานผิวกลับมามีสุขภาพที่ดีเพื่อความมั่นใจในการเผยผิวที่เปลือยเปล่าอย่างมั่นใจ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นหัวใจของแบรนด์อย่าง Metabolizer ทำขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เหล่านี้ด้วยการเป็นผลิตภัณฑ์ที่เปรียบเสมือนกับเซรั่มและมอยซ์เจอไรเซอร์ในตัวเดียวที่ปัจจุบันมีมากถึง 17 สูตร เพื่อระดับของการบำรุงผิวและสภาพผิวที่แตกต่างกันไป เพียงแค่ปั้ม Metabolizer แล้วเช็ดทาลงบนผิวที่สะอาดก็เป็นอันจบขั้นตอนในการบำรุงผิว ถ้าตอนกลางวันก็แค่ทากันแดดเพิ่มเท่านั้นเอง แต่หากต้องการดูแลปัญหาอื่นเพิ่มเติมอย่างเช่นผิวมีเซลล์ผิวเสื่อมสภาพสะสมอยู่ก็ใช้ ME Preparing Lotion ถ้าผิวขาดน้ำมากก็เพิ่ม Time Reset Aqua เข้าไป
มันเรียบง่ายมาก แต่ก็ต้องการการสื่อสารที่ค่อนข้างจะมีความซับซ้อนอยู่บ้างพอสมควร และการที่จะโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงผิวให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นได้นั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักเลย ที่สำคัญ IPSA เป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างจะเป็นระบบปิดในแง่มุมหนึ่ง คือผลิตภัณฑ์ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้เสริมกัน เข้ากัน แต่เมื่อคุณพยายามเอาผลิตภัณฑ์อื่นใส่เข้ามา หรือพยายามเอา IPSA ใส่เข้าไปในแบรนด์อื่น ๆ จะเกิดความสับสนได้ง่ายว่าเราควรจะลงอะไรก่อนหลัง ตัวอย่างเช่น Metabolizer ที่เป็นขั้นตอนของเซรั่มและมอยซ์เจอไรเซอร์นั้น บางสูตรสำหรับผิวมันก็เหลวกว่าเซรั่มหรือแม้แต่เอสเซนส์น้ำของแบรนด์อื่น ๆ เสียอีก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า IPSA เป็นแบรนด์ที่ทำให้เนื้อสัมผัสและความรู้สึกหลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยม มันเป็นผิวที่เป็น “ผิว” จริง ๆ เมื่อเลือกผลิตภัณฑ์สูตรที่เหมาะกับผิวเรา
ทำความรู้จักกับแบรนด์แล้วก็มาทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์กันต่อ IPSA : ME Ultimate (50ml / 3,900 Baht) มีทั้งหมด 3 สูตรโดยมีเนื้อสัมผัสที่เหมาะกับสภาพผิวที่ต่างกันไป แต่ทั้งหมดมีส่วนผสมของสารบำรุงทั้งหมดที่เหมือนกัน คือไม่ต้องมโนไปเองว่าสูตร 3 เข้มข้นสุดแปลว่ามีสารบำรุงมากกว่า เพราะสูตร 1 ที่เบาบางก็มีสารเหล่านี้เท่ากันกับสูตร 3 ที่เนื้อเข้มข้นกว่า
ส่วนผสมหลัก ๆ ในนี้เริ่มต้นด้วย Amino A5 Gene EX ซึ่งเป็นกรดอะมิโน 5 ชนิด ได้แก่ Betaine (Trimethylglycine), Hydroxyproline, Arginine HCL, Serine, Natto Gum (Polyglutamic Acid) และเสริมส่วนผสม Skin Activating Complex EX ซึ่งเขาไมไ่ด้บอกว่าว่าคือส่วนผสมอะไร เขาเคลมว่ากรดอะมิโนเป็นเหมือนกับรากฐานของสิ่งมีชีวิตและส่วนผสมเหล่านี้จะเป็นเหมือนกับตัวที่ช่วยเปิดสวิตช์ให้เซลล์ผิวกลับมาอ่อนเยาว์ได้อีกครั้งประมาณนี้แหล่ะ
แต่ยกที่แบรนด์เคลมออกไปก่อน มาดูว่าข้อมูลจากแหล่งอื่นกันดีกว่า คือกรดอะมิโนคือหน่วยย่อยสุดของโปรตีน โดยเซลล์จะทำงานโดยการสั่งงานของยีนให้ไปเอากรดอะมิโนเหล่านี้มาผลิตเป็นโปรตีนที่ซับซ้อนขึ้น เป็นเอนไซม์ เป็นเปปไทด์ เพื่อที่จะใช้เป็นทั้งตัวที่สื่อสาร เป็นโครงสร้างต่าง ๆ แต่ว่าการทากรดอะมิโนลงไปบนผิวมันมีประโยชน์อย่างไร? มันมีประโยชน์จริงไหม? แล้วทาลงไปมันจะสามารถแทรกซึมผ่านเข้าไปได้รึ?
การทาสารกลุ่มกรดอะมิโนลงไปบนผิวนั้นบอกว่ามันดูดซึมได้และก็ทำได้ดีด้วย แต่ว่าจะมีดีมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับประจุ น้ำหนักโมเลกุล แต่บ้างก็บอกว่าค่า pH ก็เกี่ยว คือโดยสรุปแล้วมันดูดซึมได้แหล่ะ แต่ก็มีหลายอย่างที่ยังไม่เคลียร์ในเรื่องปัจจัยในการดูดซึมและการวัดผลต่าง ๆ
Betaine (Trimethylglycine) เป็นส่วนผสมที่ถูกใช้กันเยอะมากเพราะใช้ง่าย ให้ความชุ่มชื่นดีเยี่ยมและทำให้เนื้อสัมผัสมีความเหนอะหนะน้อยลงด้วย การศึกษาพบว่า Betaine ช่วยลดผลกระทบอย่างการระคายเคืองจากพวกสารทำความสะอาดได้ และการศึกษาที่ทำโดยผู้ผลิตสารเองก็จะออกมาสนับสนุนเพื่อเคลมว่ามันช่วยทำให้ผิวเราแข็งแรงขึ้นและต่อต้านการอักเสบได้ ซึ่งการศึกษาใหม่ ๆ ก็พบว่าผลเหล่านี้อาจมาจากการที่สารตัวนี้มีผลต่อการแสดงออกยีนต่าง ๆ ในเซลล์ผิว
(Source : A Dermatological View—Percutaneous Penetration of Amino Acids, The ability of betaine to reduce the irritating effects of detergents assessed visually, histologically and by bioengineering methods., Betaine – Trimethyl Glycine: A Review, The organic osmolyte betaine induces keratin 2 expression in rat epidermal keratinocytes – A genome-wide study in UVB irradiated organotypic 3D cultures.
Hydroxyproline เป็นกรดอะมิโนตัวหลักของเส้นใยคอลลาเจนของเรา มีข้อมูลน้อยมากว่าทาแล้วได้ประโยชน์อะไร แต่รูปแบบของ N-acetyl-L-hydroxyproline นั้นช่วยกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้
Arginine HCL สามารถกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของ Urea เพื่อให้ผิวชุ่มชื่น และอาจเสริมการเยียวยาบาดแผลให้เร็วขึ้นด้วยซึ่งอันนี้ทดสอบในสัตว์ทดลอง
Serine เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เอง มีข้อมูลไม่มาก แต่อนุพันธุ์ของกระอะมิโนตัวนี้มีข้อมูลว่าช่วยเสริมการสร้างเซราไมด์ได้ แต่ลำพังคุณสมบัติของกระอะมิโนทุกชนิดคือเป็นตัวให้ความชุ่มชื่นอยู่แล้ว
Natto Gum (Polyglutamic Acid) คือสายโพลิเมอร์ของ Glutamic acid ซึ่งเป็นตัวให้ความชุ่มชื่นที่ดีและทำให้เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ดีขึ้น มีคุณสมบัติในการเสริมการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนด้วย
ส่วนผสมของกรดอะมิโนเหล่านี้มีประโยชน์ร่วมกันแน่นอนคือการให้ความชุ่มชื่น ส่วนจะมีคุณสมบัติแยกเป็นการเสริมการสร้างนู่นนี่นั่น ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ลดการะคายเคืองก็จะแยกไป ยังต้องมีการศึกษาอีกมากที่จะยืนยันว่าการทำงานเบื้องหลังของการทากระอะมิโนมันไปถึงขั้นไหนกัน แต่ถึงกระนั้นการกล่าวถึงเรื่องยีนในผลิตภัณฑ์เครื่อสำอางก็แลดูจะเป็นเรื่องต้องห้ามเพราะความล้าสมัยของนิยามเครื่องสำอางเอง
(Source : Topical effects of N-acetyl-L-hydroxyproline on ceramide synthesis and alleviation of pruritus., Topically applied arginine hydrochloride. Effect on urea content of stratum corneum and skin hydration in atopic eczema and skin aging., Poly-L-arginine topical lotion tested in a mouse model for frostbite injury., Pilot Experimental Study on the Effect of Arginine, Glutamine, and β-Hydroxy β-Methylbutyrate on Secondary Wound Healing., Polyglutamic Acid: A Novel Peptide for Skin Care)
ส่วนผสมกลุ่มต่อไปเป็นเรื่องของไวท์เทนนิ่งซึ่งก็มีการใช้ Potassium Methoxysalicylate หรือ 4MSK เป็นตัวขัดขวางการทำงานของเอนไซ์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานิน กับ 2-O-Ethyl Ascorbic Acid ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดผลกระทบจากรังสี UVA ส่วนผสมของ Citrus Limon (Lemon) Fruit Extract นั้นมีข้อมูลจากการจดสิทธิบัตรของ Shiseido ว่ามันช่วยลดการคล้ำเหลืองของโปรตีนที่ส่งผลต่อโทนผิวได้ ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ IPSA : White Process Essence EX ที่ใช้เป็นสารสกัดจากใบมะกอก มาคู่กับ Zingiber Aromaticus Extract แทน
(Source : Method for preventing or treating yellowish discoloration of skin, Dermal carbonyl modification is related to the yellowish color change of photo-aged Japanese facial skin.)
Bupleurum Falcatum Root Extract เป็นการเอาสาร Saikosaponins มาใช้ซึ่งทาง Shiseido ก็มีการจดสิทธิบัตรในการเอาสารตัวนี้มาช่วยเสริมการสร้างพวก Extracellular Matrix อย่างพวกคอลลาเจน ไฮยาลูโรนิคแอซิด และสารกลุ่มแซคคาไรด์ในชั้นผิวเพื่อช่วยต่อต้านริ้วรอยและให้ความชุ่มชื่นกับผิว (เขายังจดสิทธิบัตรการเพาะปลูกพืชชนิดนี้เพื่อให้มีสารเหล่านี้ที่เขาต้องการในระดับที่ต้องการด้วยนะ) ข้อมูลจากแหล่งอื่นระบุว่า Saikosaponins มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบได้
(Source : Extracellular matrix production promoter , Anti-Inflammatory Effect and Chemical Composition of Bupleurum chinense and Bupleurum kaoi, Current Understanding on Antihepatocarcinoma Effects of Xiao Chai Hu Tang and Its Constituents)
นอกจากในส่วนนี้แล้วก็ยังมีสารสกัดจากสาหร่ายซึ่งทาง IPSA ตั้งชื่อว่า Algaelumina EX และเคลมว่าช่วยเสริมการเมตาบอลิซึมให้ผิวกลับมาสู่สมดุลของมันเอง ทางแบรนด์ระบุว่า Algae Extract นี้มาจากสาหร่าย 3 สายพันธุ์ ผสานกับแร่ธาตุสองชนิด Magnesium Chloride กับ Calcium Chloride และสารสกัดจาก Lemon ซึ่งเรายังหาข้อมูลตรงนี้ไม่ได้ แต่คำเคลมจากทางแบรนด์คือมันช่วยต้านการผลิตเอนไซม์ที่ทำให้การผลิต Filaggrin น้อยลง ซึ่งFilaggrinเป็นตัวชี้วัดของ Natural Moisturizing Factor การต้านเอนไซม์ที่ไปขักขวางการสร้างสารตัวนี้หมายถึงการคงให้ผิวมีความชุ่มชื่นตามธรรมชาติได้นั่นเอง
โดยรวมแล้ว ME Ultimate เป็นการรวมเอาเทคโนโลยีเกือบทั้งหมดที่แบรนด์ IPSA มีมาเอามารวมไว้ในผลิตภัณฑ์เดียว Amino A5 Gene EX ที่เน้นเรื่องการฟื้นฟูผิวและริ้วรอยเอามาจาก Premiere Line ที่มาถูกแทนที่ด้วยผลิตภัณฑ์นี้ กับ Algaelumina EX ที่มีอยู่ใน Metabolizer ทุกสูตร และคุณสมบัติของไวท์เทนนิ่งพร้อมกันการคล้ำเหลืองของผิวที่ประยุกต์มาจาก White Process Essence EX (ที่ตัดTranxamic Acid ออกไป เว้นที่เหลือให้ขายของอย่างอื่นบ้าง) สูตรผสมปราศจากสี น้ำหอม มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มาทุกสูตรแต่ในระดับที่มากน้อยไม่เท่ากัน
ME Ultimate 1 Ingredients : Water, Alcohol, Dipropylene Glycol, Glycerin, Betaine, Hydrogenated Polydecene, PEG-400, Triethylhexanoin, Dimethicone, Potassium Methoxysalicylate, PEG/PPG-14/7 Dimethyl Ether, Phytostearyl/Octyldodecyl Laurel Glutamate, Isostearic Acid, Phenoxyethanol, Aminomethyl Propanediol, PEG-60 Hydrogenated Castor Oil, Carbomer, Butylene Glycol, Laurel Betaine, Xanthin Gum, Disodium EDTA, Prunus Armeniaca (Apricot) Juice, Tocopherol Acetate, Acrylates/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer, 2-O-Ethyl Ascorbic Acid, Citrus Limon (Lemon) Fruit Extract, Hydroxyproline, Arginine HCL, Serine, Magnesium Chloride, Natto Gum, Calcium Chloride, Bupleurum Falcatum Root Extract, Sodium Benzoate, Sophora Angustifolia Root Extract, Pyrola Incarnata Extract, Tocopherol, Zingiber Aromaticus Extract, Algae Extract, Salicylic Acid.
ME Ultimate 2 Ingredients : Water, Glycerin, Dipropylene Glycol, Alcohol, Betaine, Dimethicone, Triethylhexanoin, Behenyl Alcohol, Diphenylsiloxy Phenyl Trimethicone, Potassium Methoxysalicylate, PEG-75, Isodecyl Neopentanoate, Phenoxyethanol, Batyl Alcohol, Phytostearyl Macadamiate, Maltitol, Behenic Acid, PEG-60 Glyceryl Isostearate, PEG-10 Dimethicone, Butylene Glycol, Prunus Armeniaca (Apricot) Juice, Sodium Citrate, Potassium Hydroxide, 2-O-Ethyl Ascorbic Acid, Tocopherol Acetate, Citrus Limon (Lemon) Fruit Extract, Disodium EDTA, Hydroxyproline, Citric Acid, Arginine HCL, Serine, Magnesium Chloride, Natto Gum, Calcium Chloride, Isostearic Acid, Bupleurum Falcatum Root Extract, Sophora Angustifolia Root Extract, Pyrola Incarnata Extract, Zingiber Aromaticus Extract, Tocopherol, Algae Extract, Lauryl Betaine, Salicylic Acid, Sodium Benzoate.
ME Ultimate 3 Ingredients : Water, Glycerin, Pentaerythrityl Tetraethylhexanoate, Alcohol, Dipropylene Glycol, Betaine, Xylitol, Hydrogenated Polydecene, Behenyl ALcohol, Petrolatum, Phytostearyl Macadamiate, Dimethicone, Potassium Methoxysalicylate, Beheneth-20, batyl ALcohol, Phenoxyethanol, PEG-32, PEG-6, Butylene Glycol, Sodium Citrate, Prunus Armeniaca (Apricot) Juice, Xanthan Gum, Isostearic Acid, 2-O-Ethyl Ascorbic Acid, Tocopherol Acetate, Citrus Limon (Lemon) Fruit Extract, Hydroxyproline, Lauryl Betaine, Potassium Hydroxide, Disodium EDTA, Citric Acid, Serine, Arginine HCL, Magnesium Chloride, Natto Gum, Calcium Chloride, Tocopherol, Bupleurum Falcatum Root Extract, Sophora Angustifolia Root Extract, Pyrola Incarnata Extract, Zingiber Aromaticus Extract, Algae Extract, Salicylic Acid, Sodium Benzoate.
ผลิตภัณฑ์มีทั้งหมด 3 สูตรโดยมีเนื้อสัมผัสที่ต่างกันไปสำหรับสภาพผิวที่ต่างกัน เบอร์ 1 จะเหมาะกับคนผิวมัน ผิวผสม เนื้อจะบางเบาที่สุดมีลักษณะเหมือนอีมัลชั่นที่เหลวและเมื่อเซ็ทตัวจะกลืนไปกับผิวไม่เหนอะหนะ เบอร์ 2 จะเหมาะกับผิวผสม ผิวธรรมดา เป็นเนื้อโลชั่นที่อยู่ตัวแต่เมื่อใช้นิ้วเกลี่ยก็จะแตกตัวเหลวเกลี่ยกระจายคลุมผิวได้ง่าย ให้สัมผัสรู้สึกชุ่มชื่นและเซ็ทตัวแบบเคลือบผิวมีความฉ่ำวาวเล็กน้อยดูสุขภาพดี ส่วนเบอร์ 3 จะเป็นเนื้อครีมที่เข้มข้นที่สุดและเคลือบผิวมากสุดแต่ก็ยังไม่เหนียเหนอะหนะอยู่ดี เหมาะกับผิวแห้งถึงแห้งมาก
ขั้นตอนในการใช้คือใช้ทาลงบนผิวที่สะอาดโดยปริมาณในการใช้ที่กำหนดไว้คือ 3 ปั้มสำหรับทาทั่วใบหน้า รอบดวงตา และสามารถมาแปะที่เหลือที่บริเวณลำคอได้ด้วย จริงๆ แล้วเขามีวิธีการนวดเพื่อกระตุ้นให้ผลลัพธ์มากขึ้นด้วยแต่บอกตามตรงว่าไม่ได้ทำ แค่เอามาวอร์มบนฝ่ามือแล้วแปะ ๆ ประคบลงบนผิวให้ทั่วเท่านั้นเอง
เนื้อสัมผัสทั้ง 3 ชนิดนี้สามารถมีการปรับใช้ได้ อย่างเช่นคนที่มีผิวผสม อาจจะเลือกใช้ได้ทั้งสูตร 1 และ 2 ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและสภาพอากาศ ในช่วงกลางวันหรือช่วงหน้าร้อนก็ใช้สูตร 1 ไป หรือหากมีการเดินทางบนเครื่องบินและไปประเทศที่อากาศค่อนข้างแห้งเย็นก็ใช้เป็นสูตรสองจะรู้สึกพอดีกว่า
หรือจะไปปรับที่ผลิตภัณฑ์ข้างเคียงอื่น ๆ แทนได้อย่างเช่นเลือกสูตร 1 ที่เนื้อบางเบาที่สุด ในตอนกลางวันใช้คู่กับ ME Preparing Lotion 1 ที่ช่วยลดความมันส่วนเกินและช่วยให้ผลิตภัณฑ์เซ็ทตัวแบบแมทขึ้นเล็กน้อย ส่วนในตอนกลางคืนที่นอนห้องแอร์หรือต้องการเพิ่มความชุ่มชื่นเป็นพิเศษก็ใช้คู่กับ ME Preparing Lotion 2 ที่เน้นเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวมากกว่าแทน
ในช่วง 2 สัปดาห์แรกปูเป้ยกสกินแคร์ที่เคยใช้อยู่ทั้งหมด และแฮปปี้กับมันมากออกไปหมดเลย โดยมีขั้นตอนของการบำรุงผิวเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ทั้งกลางวันและกลางคืน (ตอนกลางวันเพิ่มครีมกันแดดไปอีก 1 ชิ้น) ซึ่งประกอบไปด้วย ME Preparing Lotion 1 และ 2 คู่กับ The Time Reset Aqua ที่เป็นเหมือนม่านเติมน้ำคลุมผิวบางเบา และตามด้วย ME Ultimate 1
สิ่งที่ชอบมากคือเนื้อสัมผัสหลังใช้ผลิตภัณฑ์มันดีมาก ๆ มันง่าย มันไม่หนักผิว แต่มันพอ ผิวเราชุ่มชื่น และที่เราชอบมากที่สุดคือตลอดช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์แรกนั้นเราไม่มีปัญหาการอุดตันของผิวเพิ่มขึ้นเลย และคุณภาพผิว ความชุ่มชื่น ความนุ่ม ความใสของผิวทุกอย่างยังคงสามารถประคองเอาไว้ได้ เราประทับใจมาก
ในช่วง สัปดาห์ที่ 3 และ 4 เรามีการปรับเพิ่มโดยหาเซรั่มเสริมเข้าไปในส่วนที่เราอยากเพิ่ม โดยเงื่อนไขของเซรั่มเราจะพยายามเน้นตัวที่บางเบาเพื่อไม่ให้เนื้อสัมผัสโดยรวมของการใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเสียไป ซึ่งเราเลือกใช้ IPSA : White Process Essence EX เพื่อเสริมเรื่องการปรับโทนผิวและลดจุดด่างดำให้มากขึ้น โดยผสม Paula’s Choice : RESIST 10% Niacinamide Booster เข้าไปด้วย
ตลอด 4 สัปดาห์ที่ได้ทดลองใช้มา นี่เป็นขั้นตอนการบำรุงผิวที่เรียบง่ายมากแต่สามารถประคองผิวที่เคยเคยประโคมโบกสารพัดและมาส์กหน้าทุกวันให้คงอยู่ต่อมาได้ แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือผิวเราไม่เจอปัญหาเรื่องการอุดตันเลย และช่วงที่เราเดินทางไปนิวซีแลนด์ไม่ได้ล้างหน้าและไม่ได้นอนน็อครอบ 24 ชั่วโมง เรามีสิวอุดตันเล็กๆ ขึ้นแค่ 3 เม็ดเท่านั้นจากปกติมันควรจะมากกว่านี้หลายเท่าตัว นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหวังของเราจริง ๆ
โดยสรุปแล้ว IPSA : ME Ultimate เป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมรวบเทคโนโลยีทั้งหมดเท่าที่แบรนด์นี้จะมีให้ได้เอาไว้ในผลิตภัณฑ์ที่รวมขั้นตอนของการบำรุงผิวไว้ในหนึ่งเดียวในรูปแบบของเนื้อสัมผัสที่เหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกันไปและมันถูกทำขึ้นมาอย่างงดงามมาก การใช้คู่กับ ME Preparing Lotion และ The Time Reset Aqua เป็นตัวเสริมที่ดีเยี่ยมที่ทำให้เราได้รับประสบการณ์และผลลัพธ์จาก IPSA : ME Ultimate ได้มากขึ้น เราชอบผิวของตัวเองมาก มันดูสุขภาพดี มันชุ่มชื่น มันนุ่ม มันยืดหยุ่น โทนผิวและความใสมาเต็ม และปัญหาเรื่องสิวอุดตันก็ถูกควบคุมได้
สำหรับคนที่ผิวเป็นสิวอุดตันง่ายตัวนี้จะเป็นสกินแคร์ที่น่าสนใจมากเลยล่ะ แต่ด้วยตัวของมันเองนั้นไม่ได้ช่วยลดสิวหรือการอุดตัน แค่ไม่ได้เพิ่มโอกาสอุดตันผิวเฉย ๆ ดังนั้นใครที่ยังเป็นสิวอยู่ก็ควรมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอุดตันหรือช่วยรักษาสิวด้วย แต่สามารถเลือกผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นตัวบำรุงคู่ไปได้อย่างไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ผลิตภัณฑ์นี้ใช้ได้กับใครก็ได้แหล่ะ แต่เราอยากแนะนำให้สำหรับคนที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปที่อยากได้คุณสมบัติที่ดูแลทั้งความแข็งแรงของผิว ความชุ่มชื่น ดูแลปัญหาริ้วรอย สีผิวและโทนผิวให้สวยในหนึ่งเดียว คือดีอ่ะ อยากให้ลอง มันเลิศมาก นี่เป็นเบสิคสกินแคร์เราประทับใจที่สุดเท่าที่เราเคยใช้มาเลยในชีวิตนี้
สำหรับใครที่สนใจก็สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : IPSA Thailand ได้เลยจ้า
สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง
***Sponsored Item***
- IPSA : ME Ultimate
- เนื้อสัมผัสดีมาก มีให้เลือกตามสภาพผิว และส่วนตัวพบว่ามันมีโอกาสอุดตันผิวต่ำมาก
- ปราศจากสี น้ำหอม และส่วนผสมโดยรวมค่อนข้างอ่อนโยน ใช้กับรอบดวงตาได้
- เรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่ให้ผลได้เทียบกับสกินแคร์หลายขั้นตอนที่ตัวเองเคยใช้
- ส่วนผสมบางตัวหาข้อมูลมาสนับสนุนไม่ได้
- มีแอลกอฮอล์ ถึงส่วนตัวจะใช้แล้วไม่มีปัญหาเรื่องผิวแห้งกร้านเลย แต่ลดคะแนนไปสำหรับคนที่กังวลกับส่วนผสมตรงนี้