เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปูเป้รับการแจ้งข่าวว่าทาง Kiehl’s จะมีการจัด Blogger Party เล็ก ๆ ขึ้นเพื่อทำความรู้จักกับแบรนด์ดังจาก New York ให้มากขึ้น งานนี้จัดขึ้นแบบเป็นงานเองและไม่เป็น Commercial ด้วย ก็เลยตอบตกลงว่าจะไปร่วมงาน (ถึงจะเป็น Commercial ก็คงไปอยู่ดีเพราะกำลังสนใจแบรนด์นี้มากมาย)
พอถึงวันงาน เจ้ามือถือที่ซื้อมาไม่ถึงครึ่งปีทำพิษ ไม่มีเสียงปลุกกว่าจะตื่นก็ล่อไป 9 โมงกว่า รีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างด่วนจี๋ ตอนออกจากบ้านผมยังไม่แห้งดีเลยด้วยซ้ำ ผมเลยเป็นเป็ดหน่อย ๆ (เสียชื่อ Blogger ความงามจริง ๆ) ขอบคุณที่รถไฟฟ้ามาถึงฝั่งธนแล้วทำให้ไม่ต้องไปติดแหง่กอยู่บนสะพานสาทร ผลก็คือไปถึงที่ร้าน Kiehl’s สาขา Siam Paragon ชั้น 1 ทันเวลาพอดีเป๊ะ
Kiehl’s มีต้นกำเนิดมาจากร้านขายยาเล็ก ๆ ในเมืองนิวยอร์คตั้งแต่ปี คศ. 1851 หรือกว่า 150 ปี มาแล้วและมีประวัติที่เกี่ยวข้องกับชาวเมืองนิวยอร์คมาเป็นเวลานานจนถึงขนาดมีการยกย่องให้ทุก ๆ วันที่ 12 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวัน Kiehl’s Day
ถ้าลองสังเกตสักเล็กน้อยเราจะพบว่า Kiehl’s ไม่มีการใช้รูปดารา นักแสดง หรือคนดังผู้มีชื่อเสียงมีเป็นพรีเซนเตอร์เลย แต่กลับให้ความสำคัญกับพนักงานที่ทำการแนะนำสินค้าหรือ KCR (Kiehl’s Customer Representative) มากกว่า
กระผมมีความประทับใจในการบริการของ KCR เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะปูเป้เคยแวะเข้าไปเยี่ยมชมและเก็บข้อมูลสินค้าที่ Shop บนชั้น 1 ของ Siam Paragon อยู่สองสามครั้ง และทุกครั้งผมจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ไม่มีการกดดันให้ซื้อ แต่กลับกระตุ้นและสนับสนุนให้กระผมทดลองใช้สินค้าได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ และถึงจะไม่ซื้อหรืออุดหนุนเลย พนักงาน KCR ก็เสนอให้ Sample กลับไปลองใช้ด้วยความยินดี นี่เป็นหนึ่งในนโยบาย “Try Before Buy” หรือ “ลองใช้ก่อนซื้อ” ซึ่งเป็นจุดเด่นและจุดแข็งของ Kiehl’s ที่ทำให้กระผมประทับใจในความจริงใจต่อผู้บริโภคมาก
เรื่องที่ชอบใจมากอีกเรื่องหนึ่งก็คือการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งโบชัวร์ แคตาลอค บัตรสมาชิก และ บรรจุภัณฑ์ของ Kiehl’s ล้วนจะทำมาจากวัสดุรีไซเคิลหรือสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์จนหมดก็สามารถเอาบรรจุภัณฑ์เปล่ามาคืนที่ร้านเพื่อแลกแสตมป์ สะสมครบ 4 ชิ้นก็สามารถแลกของขวัญสุดพิเศษจากทางแบรนด์ได้อีกด้วย ช่วยลดมลภาวะแถมยังได้ของฟรีติดไม้ติดมือกลับมาอีกแบบนี้นี่เลิศจริง ๆ
เริ่มจากทางซ้ายก็คือ “พี่ปู” (กระผมจำชื่อตำแหน่งของคพี่ปูไม่ได้ขอรับ ขออภัยอย่างสูง T-T) ตามมาด้วย พี่จอย (ผู้จัดการฝ่าย PR) ถัดมาก็เป็นคุณเอก คุณพี ปูเป้ ตามมาด้วยคุณกอฟผู้โด่งดัง สาวสวยคนถัดมาก็คือ “พี่ปาล์ม” (ผู้จัดการ Marketing) แล้วก็ “พี่เต้” (Store Manager) ผู้แสนใจดี ก่อนที่จะมาร่วมกิจกรรม คนที่คอยต้อนรับและแจก Sample ให้กระผมได้ลองก็คือพี่เต้คนนี้นี่แหล่ะขอรับ ส่วน “คุณแป้ง” (ผู้ประสานงาน PR และ Marketing) ผู้น่ารักเป็นคนถ่ายรูป จึงไม่เห็นในรูป
พอถ่ายรูปและร่ำลาทีงานแล้ว ปูเป้ก็ต้องขอตัวกลับมาจัดการงานที่บ้านต่อ แอบเสียดายที่ไมได้อยู่คุยกับแก๊งค์สาว Jeban ที่มารอบบ่ายอย่าง พี่เก๋ พี่โอ๋ พี่ทรายเลย… เก็บไว้ไปคุยนอกรอบทีหลังก้ได้เนอะ (จุ๊บ ๆ)
Ingredients :
Aqua/Water, Sodium Methy Cocoyl Taurate, Sodium Coco-Sulfate, Sodium Chloride, Coco-Betain, Wheat Amino Acids, Sodium Lauroyl Glutamate, Quillaia Saponaria/Quillaja Saponaria Bark Extract, Cocos Nucifera/Coconut Oil, Propelene Glycol, Guar Hydroxypropyltrimonium Chloride, Hydrolyzed Wheat Protein, Hydrolysed Wheat Strarch, Lactic Acid, Isobutylparaben, Methylparaben, Salicylic Acid, Propylparaben, Ethylparaben, Butylparaben, Benzoic Acid, Coumarin, Parfum/Fragrance.
Amino Acid Conditioner กลิ่นเดียวกันกับแชมพูแป็นอีกตัวที่ปูเป้ค่อนข้างประทับใจตรงที่ปราศจากส่วนผสมของซิลิโคน เพราะกระผมเป็นคนที่ไม่ค่อยถูกกับผลิตภัณฑ์ที่มีซิลิโคนแบบ Dimethicone เยอะ ๆ สักเท่าไหร่ เวลาใช้ผลิตภัณฑ์พวก Silky Hair Coat และ Leave-On Conditionner รวมถึงครีมนวดผมที่มีพวก Dimethicone หรือสารในกลุ่มเดียวกันเยอะ ๆ ก็จะเป็นสิวทุกที ผมปรกโดนแก้มสิวก็จะขึ้นแก้ม ผมปรกโดนกรมสิวก็จะขึ้นกราม แล้วสิวที่ขึ้นก็จะเป็นตุ่มหัวขาวๆ ฐานสีชมพูที่ยุบยากสุด ๆ ทุกครั้งเลย ดังนั้นนั้น Amino Acid Conditioner ที่ไม่มีส่วนผสมตัวดังกล่าวทำให้ปูเป้ใช้ได้อย่างสบายใจ หลังลองใช้แล้วก็รู้สึกว่าผมมีน้ำหนัก ไม่ชี้ฟู แถมยังเบาสบายหัว ไม่ทำให้ผมลีบแบนหรือมันเยิ้มอย่างรวดเร็ว ปลื้มจริง ๆ แต่ด้วยราคาที่เท่ากันกับแชมพู ทำให้ผมเหมือนจะเห็นแบงค์ 20 ไหลลงท่อไปอีกครั้งตอนล้างออก (ท่าจะคิดมากไปจริง ๆ นั่นแหล่ะ)
Ingredients :
Aqua/Water, Cetyl Alcohol, Behentrimonium Chloride, Cetyl Esters, Myristyl Alcohol, Methylparaben, Parfum/Fragrance, Aloe Barbadensis Leaf Juice, Simmondsia Chinensis (Jojoba) Seed Oil, Cocos Nucifera (Coconut) Oil, Tocopherol, Chlorhexidine Dihydrochloride, Wheat Amino Acid, Hydrolyzed Wheat Protein, Coumarin, Citric Acid, Hydrolysed Wheat Strarch.
สรุปคือประทับใจขอรับ กลิ่นมะพร้าวหอมติดหัวยาวนาน เหมือนเป็นตะโก้แห้วเดินได้ เชิญชวนให้คนที่เดินผ่านไปรี่เข้ามาแทะหัว แต่ถ้าหมดขวดนี้แล้วจะซื้อใหม่รึเปล่านี่ก็………. เอ่อ……….. เอิ่ม……… ก็เป็นเรื่องอนาคตขอรับ ไว้หมดแล้วค่อยมาคิดอีกทีละกัน (ตอนนี้ขอใช้ต่อไปอย่างสบายใจไร้กังวลดีกว่า)
เนื้อผลิตภัณฑ์เนียนข้น จะรู้สึกมัน ๆ ในตอนแรกที่ทาแต่รอสักพักก็จะเริ่มซึมลงผิวไปเรื่อย ๆ แต่ด้วยราคาที่ทำให้ต้องอ้าปากค้าง (125 ml / 950 THB) เลยไม่ค่อยกล้าจะเอามาทาตัวเท่าไหร่ (แบบว่าผิวตัวก็ไมได้แห้งมากนะ โลชั่นที่ใช้อยู่ยังพอเอาอยู่) แต่พอดีว่าช่วงนี้มือเยินมาก โดยเฉพาะจมูกและหนังข้างเล็บที่แห้งแข็งเนื่องจากโดนเจลแอลกอออล์ฆ่าเชื้อบ่อย ๆ เลยทดลองเอา Crème de Corps มานวด ๆ ที่จมูกเล็บดู ปรากฏว่าช่วยเยียวยาหนังรอบเล็บที่ยับเยินเพราะแอลกอฮอล์ได้ดีมาก ดังนั้นปูเป้ขอสงวนครีมขวดนี้เอาไว้เป็นตัวเยียวยาจุดแห้งกร้านจะดีกว่า ถ้าเกิดผิวตัวแห้งมาก ๆ ค่อยเอาครีมตัวนี้ไปอาบตัวก็ยังไม่สาย 😛
Ingredients :
Aqua/Water, Squalane, Hydrogenated Polyisobutene, Glycerin, Propylene Glycol, PEG-100 Stearate, Glyceryl Stearate, Myristyl Alcohol, Stearyl Alcohol, Dimethicone, PEG-5 Pentaerythrityl Ether, PPG-5 Pentaerythrityl Ether, Sesamun Indicum (Sesame) Seed Oil, Phenoxyethanol, Isopropyl Palmitate, Ozokerite, Benzophenone-3, Butyrospermum Parkii (Shea) Butter, Methylparaben, Magnesium Aluminium Silicate, Xanthun Gum, Glycine Soja (Soybean) Sterol, Sodium PCA, Propylparaben, Allantoin, Olea Europaea (Olive) Fruit Oil, Prunus Amygdulas Dulsis (Sweet Almond) Oil, Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil, Theobroma Cacao (Cocoa Seed) Butter, Persea Gratissima (Avocado) Oil, Glycine Soja (Soybean) Oil, Tocopherol, BHT, Lecithin, Butylparaben, Zea Mays (Corn) Oil, Aloe Barbadensis Leaf Juice, CI 75130 / Beta-Carotene.
ปูเป้ลองเอามอยซ์เจอไรเซอร์เนื้อ Balm ที่ค่อนข้างข้นหน่อย อย่าง Clinique : All About Eye Rich ทาริมฝีปากบางๆ ก่อนเพื่อให้ความชุ่มชื้น แล้วค่อยโปะ Kiehl’s Lip Balm #1 ตามลงไปเคลือบล็อคความชุ่มชื้นเอาไว้ ตื่นเช้ามาปากยังนุ่มชุ่มชื้นอยู่เลย นี่ก็ปลื้มมากอีกเหมือนกัน ได้ผลดีกว่าการทาวาสลีนหรือปิโตรเลี่ยมเจลลี่อย่างเดียวเยอะเลย (คงเป็นเพราะมี Squalane อยู่ด้วยล่ะมั้ง)
Ingredients :
Petrolatum, Squalane, Lanolin, Triticum Vulgare (Wheat Germ) Oil, Ethylhexyl Methoxycinamate, Tocopherol, Allantoin, Propylparaben, Butylparaben, Aloe Barbadensis Leaf Extract.
PS. ต้องขอขอบคุณที่ทาง L’Oreal Thailand และทีมงาน Kiehl’s ทุกคนที่เปิดโอกาสให้ปูเป้ได้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ทุกคนคอยดูแลและต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้ปุเป้รู้สึกสนุกมาก ๆ เลย งานนี้เก็บความประทับใจกลับบ้านมาเพียบ (แต่เรื่องรีวิวส่วนผสมนี่ยังไงก็ต้องเอาตามเนื้อผ้านะขอรับ อิอิ)