เมื่อบริษัทผู้จำหน่ายส่วนผสมเครื่องสำอางออกมาทำสกินแคร์ของตัวเองจะเป็นอย่างไร? มันก็เป็นแบบ Klairé : Anti-Pollution Essence (50ml /1,390 Baht – 30ml / 890 Baht) ที่อัดส่วนผสมของ Active ingredients มาแบบไม่อั้นนี่แหล่ะ

พอดีเมื่อประมาณสองปีที่แล้วปูเป้ไปเดินงานแสดงนวัตกรรมด้านส่วนผสมเครื่องสำอางและได้เจอกับบริษัทหนึ่งที่พนักงานของเขาก็ติดตามบล็อกเราอยู่จึงได้มีการแลกคอนแทคกันเอาไว้ และเมื่อช่วงต้นปีนี้เองเขาก็ได้ส่งผลิตภัณฑ์ที่เขาพัฒนาขึ้นมาให้ได้ลองใช้ดูและก็พบว่ามันน่าสนใจทีเดียวล่ะ รีวิวนี้ควรจะออกมานานแล้วเพราะว่าก็ใช้จนจะหมดขวดแต่ว่าปูเป้คิดว่ารอให้เขาทำตามแพลนที่จะปรับแพคเกจและรูปลักษณ์ใหม่ฉลองครบรอบ 1 ปีไปเลยน่าจะดีกว่า โดยในรูปด้านล่างทางซ้ายคือแพคเกจแบบใหม่ ส่วนด้านขวาคือแพตเกจแบบเก่าที่มีขนาดใหญ่บึ้มถึง 125ml เลยนะ

ผลิตภัณฑ์ของ Klairé (อ่านว่า แคลเอ่ย์) ตัวนี้ทำขึ้นมาเพื่อตอบสนองของชีวิตคนเมืองที่ต้องเผชิญกับมลภาวะและความเครียดในทุกวันซึ่งส่งผลกระทบต่อความสวยงามและความแข็งแรงของผิวและเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมกันมาสักพักแล้วในเอเชียโดยเฉพาะในประเทศจีน

ปูเป้เคยทำข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องผลกระทบของมลภาวะที่มีต่อผิวของเราเอาไว้แล้ว ซึ่งโดยสรุปแล้วมลภาวะมีทั้งที่เป็นก๊าซและที่เป็นอานุภาค ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือการก่อการอักเสบ เกิดอนุมูลอิสระ บั่นทอนความแข็งแรงของชั้นปราการปกป้องผิวทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่นได้ง่ายขึ้น ระคายเคืองง่าย และกระตุ้นการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำได้ กลไกหลักในการปกป้องจากสิ่งเหล่านี้คือการต้านอนุมูลอิสระ  ลดการเกาะติดของมลภาวะบนผิวและทำให้ผิวมีความแข็งแรงชุ่มชื่นขึ้นนั่นเอง และนั่นก็คือสิ่งที่เอสเซนส์ตัวนี้พยายามมอบให้เรา

ใครอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องมลภาวะ สามารถไปอ่านได้ที่ Air pollution and it’s effects on skin quality เลยจ้า

Product’s Formula

ในแง่ของส่วนประกอบนั้นเอสเซนส์ตัวนี้ประกอบไปด้วยส่วนผสมหลายชนิดทีเดียว

สารกลุ่มแรกคือสารที่ได้จากแบคทีเรียหรือการหมักบ่มทางชีวภาพด้วยแบคทีเรีย การรับประทานแบคทีเรียที่ดีนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้านำมาทาบนผิวล่ะมันจะมีประโยชน์ด้วยรึเปล่า? ส่วนผสมจากแบคทีเรียเหล่านี้กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจมากและเป็น Mega Trend ของวงการเครื่องสำอางในตอนนี้และในอนาคตอันใกล้ เพราะว่าผิวของเราก็มีแบคทีเรียประจำถิ่นอาศัยอยู่เพื่อคงสมดุล แต่สารสกัดหรือสารที่เป็นผลพลอยได้จากแบคทีเรียเหล่านี้ก็ไม่นับเป็น Probiotics เพราะไม่ได้เป็นเชื้อที่สมบูรณ์หรือมีชีวิต (และจริง ๆ แล้วในเครื่องสำอางก็ห้ามมีสิ่งมีชีวิตด้วยแหล่ะ) แต่ส่วนผสมเหล่านี้อาจมีคุณสมบัติเป็น Prebiotic เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับแบคทีเรียที่ดีและมีความหลากหลาย ก็นำมาสู่ผิวที่สุขภาพดีขึ้นได้

Schizosaccharomyces Pombe Extract เป็นสารสกัดจากยีสต์ที่ใช้ในการหมักบ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไวน์เป็นต้น เราไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นมาสนับสนุนประโยชน์เมื่อนำมาใช้กับผิว แต่ผู้ผลิตสารเคลมว่ามันอุดมไปด้วยกรดอะมิโนหลายชนิดซึ่งให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้เป็นอย่างดี (ซึ่งคุณสมบัติพื้นฐานของกรดอะมิโนก็คือการให้ความชุ่มชื่นอยู่แล้ว ส่วนจะทำอย่างอื่นได้อีกรึเปล่าก็แล้วแต่ชนิดของมันล่ะ) และยังมีสารประกอบของ Malic Acid ที่ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิวด้วย

Bifida Ferment Lysate กับ Galactomyces Ferment Filtrate คือสารที่มีชื่อทางการค้าว่า  Ferment Complex GB ที่เคลมถึงคณสมบัติในการทำให้ผิวชุ่มชื่น ช่วยต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ข้อมูลจากแหล่งอื่นก็มีบอกว่า Bifida Ferment Lysate ช่วยทำให้ Skin Barrier แข็งแรงขึ้นและผิวชุ่มชื่นมากขึ้นแต่ทดสอบด้วยความเข้มข้น 10% ซึ่งในเอสเซนส์ตัวนี้มีไม่ถึง สารสกัดจากแบคทีเรียกลุ่ม Bifidobacterium บางสายพันธุ์มีรายงานว่าช่วยต้านอนุมูลอิสระและช่วยต่อต้านการสร้างเมลานินได้ ข้อมูลเกี่ยวกับ Galactomyces Ferment Filtrate ที่ช่วยสร้าง Natural Moisturizing Factor และทำให้ Skin Barrier แข็งแรงขึ้นก็มาจาก P&G ที่เขาพัฒนาสารขึ้นมาเอง ซึ่งเราไม่รุ้ว่าให้ผลเหมือนกันรึเปล่า แต่โดยรวมแล้วสารกลุ่มนี้เป็นตัวที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น แข็งแรงได้เป็นอย่างดี

(Source : Probiotic Bacteria Induce a ‘Glow of Health’Outside-in. Probiotic topical agentsPre- and probiotic cosmeticsCould probiotics be the next big thing in acne and rosacea treatmentsBifidobacterium longum lysate, a new ingredient for reactive skin.Effects of galactomyces ferment filtrate on epidermal barrier marker caspase-14 in human skin cellsAntimelanogenic and antioxidative properties of Bifidobacterium bifidum.)

Linum Usitatissimum (Linseed) Seed Extract กับ Sulvia Hispanica Seed Extract และ Polyglutamic Acid เป็นส่วนผสมที่มีชื่อ Mucoplex ที่เคลมถึงคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื่นและลดการระเหยน้ำออกจากผิว ซึ่ง Linum Usitatissimum (Linseed) หรือ Flax Seed นั้นถือเป็น Superfood เพราะอุดมไปด้วยกรดไขมันที่ดีและกรดอะมิโนหลายชนิด แต่ในผลิตภัณฑ์ตัวนี้น่าจะเป็นการนำส่วนของ Polysaccharide มาใช้มากกว่า ซึ่งตัว Sulvia Hispanica Seed หรือ Chai Seed ซึ่งก็เป็น Superfood อีกตัวหนึ่งที่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ เยื่อเมือกก็อุดมไปด้วยสารกลุ่มน้ำตาล ส่วน Polyglutamic Acid มีมากใน Natto หรือถั่วหมักญี่ปุ่น ก็เป็นเปปไทด์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่นและสร้างชั้นฟิลม์บาง ๆ เพื่อปกป้องผิว และช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน

(Source : The Promising Future of Chia, Salvia hispanica L.Polyglutamic Acid: A Novel Peptide for Skin Care)

Hydrolyzed Acacia Macrostachya Seed Extract หรือ Aqualicia เคลมถึงคุณสมบัติในการเพิ่มขึ้นของ Filaggrin ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นของ Natural Moisturising Factor และเสริมการทำงานของ Aquaporin-3 ซึ่งเป็นช่องทางลำเลียงน้ำเข้าสู่เซลล์ ทำการหมุนเวียนความชุ่มชื่นในผิวดีขึ้น แต่เราไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นมาเสริมตรงนี้

Gossypium Herbaceum (Cotton) Callus Culture หรือสารสกัดที่ได้จากเซลล์ของฝ้ายอาหรับนั้นเคลมถึงคุณสมบัติในการแอนติออกซิแดนท์จากสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และกลุ่มฟีนอล ลดการอักเสบของเซลล์ ปกป้องผิวจากความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากรังสี UV ซึ่งสารกลุ่มโฟลีฟีนอลและฟลาโวนอยด์ในพืชมักมีคุณสมบัติตรงนี้อยู่แล้ว ทางผู้ผลิตยังเคลมว่าสารสกัดของเขาเปรียบเสมออาหารของผิวที่อุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน ลิพิด สารกลุ่มน้ำตาล  phytosterols และสารแอนติออซิแดนท์อีกหลากหลาย เป็นส่วนผสมที่น่าสนใจแต่ก็เป็นข้อมูลจากฟากของผู้ผลิตเอง

Hydrolyzed Lepidium Meyenii Root หรือ Skinergium Bio เป็นสารสกัดจากรากโสมเปรูที่มีการใช้กันมาหลายพันปีเนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหาร จากข้อมูลที่หามาได้รากโสมเปรูนั่นเต็มเปี่ยมได้วยกรดอะมิโนจำเป็น น้ำตาล และลิพืดต่าง ๆ โดยกรดอะมินที่มีอยู่มากได้แก่ Arginine กับ Aspartic Acid และ Glutamic Acid ซึ่งมีประโยชน์กับผิวอยู่แล้ว ผู้ผลิตส่วนผสมตัวนี้เคลมถึงคุณสมบัติในการทำให้เซลล์ไฟโบบลาสที่ทำงานลดด้อยถอยลงตามวัยกลับมาคึกคักอีกครั้งเพื่อลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวดูสดใสและยังทำให้พื้นผิวชั้นนอกเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย 

(Source : Ethnobiology and Ethnopharmacology of Lepidium meyenii (Maca), a Plant from the Peruvian Highlands)

ส่วนผสมที่เหลือก็คือ Hydrolyzed Sodium Hyaluronate กับ Sodium Hyaluronate ซึ่งมีขนาดที่ต่างกันจึงช่วยให้ความชุ่มชื่นในระดับชั้นผิวที่ต่างกัน นอกจากนี้ก็คือสารกันเสียกับ Stabilizer และสารปรับค่า  pH ที่ใส่มาหรือติดมากับสารสกัดต่าง ๆ ที่ใช้

โดยรวมแล้วในแง่ส่วนผสมจะเด่นไปในการทำให้ผิวมีความชุ่มชื่นที่ดี และทำให้ Skin Barrier แข็งแรงขึ้น พ่วงมาด้วยกับคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและต้านผลกระทบที่มาจากรังสี UV ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะทางอากาศที่เราจะต้องเจอในแต่ละวัน

Ingredients : Water, Butylene Glycol, Schizosaccharomyces Pombe Extract, Propylene Glycol, Sodium Citrate, Linum Usitatissimum (Linseed) Seed Extract, Hydrolyzed Sodium Hyaluronate, Hydrolyzed Acacia Macrostachya Seed Extract, Gossypium Herbaceum (Cotton) Callus Culture, Hydrolyzed Lepidium Meyenii Root, Gluconolactone, Sulvia Hispanica Seed Extract, Sodium Hyaluronate, Bifida Ferment Lysate, Polyglutamic Acid, Calcium Gluconate, Galactomyces Ferment Filtrate, Phenoxyethanol, Sodium Benzoate, Ethylhexylglycerin, Disodium EDTA, Maltodextrin, Propanediol, Citric Acid, Glycerin.

Usage & Result

เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเอสเซนส์น้ำเหลวใสสีเหลืองอ่อน มีความหนืดเล็กน้อย ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมแต่กลิ่นก็บางเบาไม่เหม็นหรือรู้สึกไม่น่าใช้แต่อย่างใด ปริมาณในการใช้ส่วนตัวจะแนะนำที่ประมาณ 2 ปั้ม เวลาตบลงบนผิวและแห้งก็จะเซ็ทตัวแบบเบาสบายผิว ชุ่มชื่นดี แต่ถ้าใช้ในปริมาณเยอะจะรู้สึกมีความหนึบบนผิวบ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลเยอร์คู่กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ไปอีก

การนำมาใช้จะใช้เป็นเอสเซนส์น้ำตบ ๆ ผิวก่อนลงเซรั่มก็ได้ หรือจะใช้เป็นเซรั่มขั้นตอนเดียวก่อนลงกันแดดในตอนกลางวันสำหรับคนผิวผสมถึงผิวมันก็ไม่มีปัญหา หรือจะนำมาเทลงสำลีหรือแผ่นมาสก์เปล่าไว้มาสก์เพิ่มความชุ่มชื่นเป็นพิเศษก็ทำได้ (แต่เปลือง เพราะราคาต่อปริมาณก็ไม่เบาเหมือนกันนะ)

การทดลองใช้ส่วนตัวเราประทับใจในแง่ของการทำให้ผิวชุ่มชื่น ยืดหยุ่น และแข็งแรงขึ้น แต่สำหรับคนที่ชอบเลเยอร์ผลิตภัณฑ์หลายขั้นตอนการเซ็ทตัวเป็นฟิลม์ปกป้องผิวอาจจะทำให้รู้สึกหนึบผิวมากขึ้นได้

เอสเซนส์ตัวนี้เป็นเบสน้ำอย่างแท้จริง ไม่มีส่วนผสมของสารที่ละลายในน้ำมันหรือสารที่คล้ายน้ำมัน ไม่มี Emulsifier จึงค่อนข้างที่จะปลอดภัยจากการอุดตันผิวและอ่อนโยนกับผิวมาก ส่วนตัวนี่เป็นเอสเซนส์ที่ปูเป้ใช้ทาผิวหลังล้างหน้าก่อนจะไปออกกำลังกายเพราะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื่น ไม่แห้งตึง และไม่ทำให้ผิวเป็นสิวแม้จะออกกำลังกายมีเหงื่อออกท่วมร่าง

Conclusion

โดยสรุปแล้ว Klairé : Anti-Pollution Essence เป็นแบรนด์ของคนไทยที่ดูดีจนไม่รู้จะติอะไรเลย ทั้งในแง่ของส่วนประกอบที่อัดแน่น จัดเต็ม อ่อนโยน ไม่มีสี น้ำหอม สารก่อการระคายเคือง จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว และให้ผลที่คาดหวังได้ในการทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น นุ่มนวลและชุ่มชื่นมากขึ้นเพื่อต้านผลกระทบจากมลภาวะ การออกแบบบรรจุภัณฑ์และวัสดุที่ใช้ก็ดูพรีเมี่ยมและตั้งใจออกมาเป็นอย่างดี เป็นสินค้าที่มีศักยภาพที่จะส่งออกได้อย่างสบาย ๆ เลยล่ะ

สิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อเสียคือส่วนผสมหลายตัวหาข้อมูลสนับสนุนจากแหล่งอื่นได้น้อย ข้อมูลจากผู้ผลิตสารนั้นแม้จะดูน่าสนใจแต่ตราบใดที่ยังไม่ใช่ Published Research ปูเป้ก็ยังไม่เอามาใช้เป็นอ้างอิงอยู่ดี และส่วนตัวปูเป้คงจะขอแนะนำให้ทางแบรนด์ลองทดสอบประสิทธิภาพในการลดการเกาะติดหรือช่วยทำให้ชำละล้าง PM 2.5 ได้ง่ายขึ้น จะทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีภาษีดีมากขึ้นในแง่ของการต่อต้านมลภาวะ อีกอย่างนึงคือแม้กล่องจะถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม แต่การที่ไม่ระบุส่วนประกอบทั้งหมดที่กล่องด้านนอกแต่ไปใส่ในแผ่นพับด้านใน (แบบแบรนด์เกาหลีบางแบรนด์) แม้จะทำให้ดูสวยงามในแง่ของการออกแบบ แต่สำหรับคนที่ต้องการอ่านส่วนประกอบก่อนอย่างเราอาจจะมองข้ามผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไปได้เพราะไม่มีข้อมูลตรงนี้ให้ตัดสินใจหากไม่ได้มาเปิดกล่องดูครับ

สำหรับใครที่สนใจหรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถไปดูได้ที่ facebook : Klairé Official

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

***Sponsored Item***

  • Klairé : Anti-Pollution Essence
Klairé : Anti-Pollution Essence
FORMULA
GENTLENESS
SENSORY
RESULT
PUPE LOVE IT
PROS
  • เน้นเสริมความชุ่มชื่น แข็งแรง ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ซึ่งล้วนแต่ช่วยต้านผลเสียจากมลภาวะทางอากาศที่เราต้องเจอทุกวัน
  • อ่อนโยน ปราศจากสี น้ำหอม สารระคายเคือง ใช้ได้กับทุกสภาพผิวแม้กับผิวรอบดวงตา
  • เนื้อเบา ไม่หนัก ให้ความชุ่มชื่นดี ใช้เป็นมอยซืเจอไรเซอร์สำหรับคนผิวมันมากไปได้เลยในตัว
CONS
  • ส่วนผสมหลายตัวหาข้อมูลจากแหล่งอื่นมาสนับสนุนได้น้อย
  • ไม่ระบุส่วนผสมข้างกล่อง แต่ระบุในใบแทรกข้างในกล่องแทน
4.0Overall Score