ผลิตภัณฑ์ที่จะนำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้น่าจะถูกใจคนที่กำลังประสบกับปัญหาสิวและรอยสิวเป็นแน่แท้ เพราะว่าทาง La Roche-Posay ได้ปรับสูตรหนึ่งในผลิตภัณฑ์ขายดีของเขาใหม่ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอุดตัน ลดการอักเสบของสิว ให้ความชุ่มชื้นบางเบา ลดความมันของผิว แถมยังช่วยลดการเกิดรอยด่างดำจากสิวอีกด้วย ทั้งหมดนี้ในหนึ่งเดียว

 photo LRPEffaclarDuo01.png
ส่วนผสมหลักที่ถูกเพิ่มเข้าในผลิตภัณฑ์ La Roche-Posay : Effaclar Duo [+] (40ml , 960 THB) นั่นก็คือ Procerad หรือ 2-OLEAMIDO-1,3-OCTADECANEDIOL ซึ่งเป็น Ceramide ที่ทางเครือ L’Oreal พัฒนาขึ้นมาเองและถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในเครืออยู่หลายชนิด ตั้งแต่แชมพู ครีมนวดผม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า เนื่องจากประโยชน์อันหลากหลายของมัน

Ceramide เป็นไขมันที่มีอยู่แล้วในผิวแลเส้นผมของเรา ในผิวของเรานั้นเซราไมด์จะช่วยให้ปราการปกป้องผิวแข็งแรง เก็บกักความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น และทำให้เซลล์ผิวมีความยืดหยุ่น แต่เดิมเราจะเข้าใจกันว่าเมื่อทาเซราไมด์ลงไปแล้วจะช่วยเคลือบผิวไม่ให้ผิวแห้งเฉย ๆ แต่ปัจจุบันเราพบว่า Ceramide สามารถทำให้เกิดการสื่อสารระหว่างเซลล์และมีคุณสมบัติที่น่าประหลาดใจทีเดียว หนึ่งในนั้นคือไปลดการสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งช่วยเป็นไวท์เทนนิ่งได้ด้วย

 photo CeramideR.png

เนื่องจาก Ceramide มีอยู่หลายชนิด และก็อาจจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป โดยส่วนตัวยังไม่พบข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณะว่า Ceramide ชนิดที่ทาง L’Oreal พัฒนาขึ้นนั้นลดการผลิตเม็ดสีด้วยวิธีใด แต่จากข้อมูลการศึกษาของ Ceramide PC102 ที่ใช้ทั่วไปในวงการเครื่องสำอางบ่งชี้ว่าการผลิตเม็ดสีที่ลดลงนี้อาจมาจากการที่ Ceramide เข้าไปเร่งการเสื่อมสายของเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของการเปลี่ยน Tyrosine ไปเป็นเม็ดสี Melanin

แม้จะมีตัวเลือกของสารไวท์เทนนิ่งอยู่หลายชนิด แต่การเลือกใช้ Ceramide ในสูตรอาจเป็นเพราะมันมีความอ่อนโยน และให้ผลในการเสริมแข็งแรงของชั้น Skin Barrier ไปด้วยในตัว ซึ่งเหมาะกับคนที่กำลังใช้ยารักษาสิวที่มักก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายอยู่แล้ว

(Source : Delayed ERK activation by ceramide reduces melanin synthesis in human melanocytes.
, Ceramide PC102 inhibits melanin synthesis via proteasomal degradation of microphthalmia-associated transcription factor and tyrosinase.
)

 photo LinoleicAcid.png
ส่วนผสมหลักที่เคยมีในสูตรเก่าก็ยังคงมีอยู่ครบถ้วน ตัวที่น่าสนใจและคิดว่าอยากเอามาพูดถึงก็คือ Linoleic Acid ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง ต้องรับมาจากแหล่งภายนอกเท่านั้น

หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีว่าคนผิวมันหรือเป็นสิวไม่ควรใช้เครื่องสำอางบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือแม้แต่ไม่ทานของมัน ๆ แต่นี่เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะไขมันก็มีทั้งที่ดีและไม่ดีกับร่างกายและผิวพรรณ

Linoleic Acid เป็นกรดไขมันที่มีอยู่ใน Sebum หรือน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวของเราอยู่แล้ว ซึ่งเจ้ากรดไขมัน Linoleic Acid นี้จะทำให้ Sebum ของเรานั้นมีความเหลวและช่วยต้านการอักเสบได้ แต่ทว่าในกรณีที่ร่างกายขาด Linoleic Acid หรือมีไม่เพียงพอนั้น ต่อมไขมันของเราจะผลิต Sebum โดยใช้ Oleic Acid ซึ่งทำให้น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมีความข้นกว่าจึงเพิ่มโอกาสในการเกิดการอุดตันและในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวด้วย

มีการศึกษาที่น่าสนใจเมื่อปี 1998 ที่มีการทากรดไขมัน Linoleic Acid ลงบนผิวของผู้ป่วยที่เป็นสิวชนิดไม่รุนแรง (Mild Acne) เทียบกับข้างที่ไม่ได้ทา พบว่าการทา Linoleic Acid ช่วยลดขนาดของ Microcomedones ที่อุดตันในรูขุมลงได้ถึง 25%

ดังนั้นผู้ที่เป็นสิวไม่ได้แปลว่าต้องหลีกเลี่ยงไขมันหรือน้ำมันทุกอย่าง แต่ให้เลือกน้ำมันชนิดที่ดีกับผิว นอกจากจะทาผิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Linoleic Acid แล้ว ยังอาจจะรวมถึงการรับประทานอาหารเสริม หรือปรุงอาหารด้วยน้ำมันที่อุดมไปด้วย Linoleic Acid อย่างเช่นน้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำมันโบราจ น้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส หรือแม้แต่น้ำมันตับปลาเป็นต้น

(Source : Digital image analysis of the effect of topically applied linoleic acid on acne microcomedones.
, Assessment of the potential irritancy of oleic acid on human skin: Evaluation in vitro and in vivo.
, Role of Oils in the Topical Treatment of Acne)

 photo LRPEffaclarDuo02.png
ส่วนผสมหลักตัวอื่น ๆ ก็เป็นที่คุ้นเคยของเราเป็นอย่างดี อย่าง Niacinamide หรือ Vitamin B3 นั้นก็มีสรรพคุณหลากหลาย เริ่ตั้งแต่ช่วยลดการอักเสบของสิวได้เป็นอย่างดีเมื่อใช้ที่ความเข้มข้น 4% และยังมีการศึกษาที่พบว่าวิตามินชนิดนี้ยังช่วยลดการผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว และยังช่วยขัดขวางการส่งแคปซูลเม็ดสีเมลานินเข้าไปยังเซลล์ผิว จึงช่วยลดการเกิดจุดด่างดำได้ในตัว (เมื่อใช้ในความเข้มข้น 2%) ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มี Niacinamide เท่าไหร่นั้นปูเป้ก็ไม่ทราบ แต่ก็อยู่เป็นลำดับต้นๆ ของส่วนผสม ก็น่าจะมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 2%

ยังมี LHA หรือ CAPRYLOYL SALICYLIC ACID ซึ่งเป็นสารผลัดเซลล์ผิวสิทธิบัตรเฉพาะของเขาอีกเช่นกัน ตัวนี้เคลมว่าช่วยตัดเซลลืผิวเสื่อมสภาพแบบเซลล์ต่อเซลล์จึงอ่อนโยนและไม่ทำให้ผิวลอก ในส่วนผสมยังมี SALICYLIC ACID หรือ BHA มาด้วย แต่ในปริมาณที่น้อย และค่า pH ที่ 5.5 ซึ่งไม่เหมาะกับการทำงานของ BHA (เว้นแต่จะใช้ระบบนำพา หรือ Encapsulation เอาไว้ ซึ่งปูเป้ไม่ทราบว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ใช้เทคโนโลยีนี้หรือไม่) 

ส่วนผสมออกฤิทธิ์หลักที่เหลือคือ ZINC PCA ซึ่งช่วยลดการผลิตน้ำมัน และ PIROCTONE OLAMINE ซึ่งช่วยต้านชุลชีพและเชื้อรา

(Source : Topical nicotinamide compared with clindamycin gel in the treatment of inflammatory acne vulgaris., The effect of 2% niacinamide on facial sebum production., The effect of niacinamide on reducing cutaneous pigmentation and suppression of melanosome transfer., 


DEMONSTRATING EFFECTS OF ZINC PCA
., Piroctone Olamine)





Ingredients : AQUA / WATER, GLYCERIN, DIMETHICONE, ISOCETYL STEARATE, NIACINAMIDE, ISOPROPYL LAUROYL SARCOSINATE, SILICA, AMMONIUM, POLYACRYLDIMETHYLTAURAMIDE / AMMONIUM POLYACRYLOYLDIMETHYL TAURATE, METHYL METHACRYLATE CROSSPOLYMER, POTASSIUM CETYL PHOSPHATE, ZINC PCA, GLYCERYL STEARATE SE, ISOHEXADECANE, SODIUM HYDROXIDE, MYRISTYL MYRISTATE, 2-OLEAMIDO-1,3-OCTADECANEDIOL, NYLON-12, POLOXAMER 338, LINOLEIC ACID, DISODIUM EDTA, CAPRYLOYL SALICYLIC ACID, CAPRYLYL GLYCOL, XANTHAN GUM, POLYSORBATE 80, ACRYLAMIDE/SODIUM ACRYLOYLDIMETHYLTAURATE COPOLYMER, PENTAERYTHRITYL TETRA-DI-T-BUTYL HYDROXYHYDROCINNAMATE, SALICYLIC ACID, PIROCTONE OLAMINE, PARFUM / FRAGRANCE.

 photo LRPEffaclarDuo03.png
เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นลักษณะเจลครีมที่ให้ความชุ่มชื้นปานกลาง ช่วยเคลือบผิวแต่ก็ไม่มันเงา แต่ก็ไม่แห้งจน Matte เนื้อผลิตภัณฑ์กระจายตัวได้ง่ายและรู้สึกนุ่มเนียนด้วยส่วนผสมของผงแป้ง METHYL METHACRYLATE CROSSPOLYMER

สำหรับคนที่ชอบอ่านส่วนผสมของเครื่องสำอาง อาจจะสังเกตว่าการปรับสูตรใหม่ของเครือ L’Oreal ในช่วงไม่กี่ปีมานี้นั้นจะไม่มีการใส่ซิลิโคนชนิด Cyclopentasiloxane อยู่เลย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าสนใจดี แต่ยังไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุผลอะไร (แต่มันต้องมีอะไรสักอย่างถึงได้เอาส่วนผสมนี้ออกไปหมดเลย)

มีส่วนผสมของน้ำหอมที่ให้กลิ่นไม่ฉุนมากนัก ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นน้ำหอมที่ผ่านทดสอบแล้วว่ามีโอกาสให้เกิดการแพ้ได้น้อย แต่อย่างไรก็ดี อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน จึงแนะนำให้ขอผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองมาทดสอบก่อนเสมอ

 photo LRPEffaclarDuoDAY0.png
โดยส่วนตัวปูเป้เป็นคนที่เป็นสิวได้ง่าย และเมื่อมีการอักเสบหรือกดสิวก็จะมีรอยแดงซึ่งทำให้เกิดรอยดำตามมา (เพราะการอักเสบใด ๆ ก็ตามบนผิวจะกระตุ้นการผลิตเม็ดสีได้) ยิ่งอายุเยอะขึ้นรอยสิวก็จะเกิดง่ายและหายช้า

ในรูปนี้ถ่ายเอาไว้หลังจากไปกดสิวที่มีการอักเสบอยู่ เมื่อหัวสิวหลุดไปแล้วก็จะเห็นได้ว่ามีรอยแดงจากการอักเสบค่อนข้างชัดเจน


หลังจากใช้ La Roche-Posay : Effaclar Duo [+]วันละ 2 รอบ ในขั้นตอนของมอยซ์เจอไรเซอร์ตามปกติ โดยในระหว่างการทดลองใช้ครั้งนี้ ไม่ได้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งใด ๆ ร่วมด้วย

เพื่อเป็นการควบคุมตัวแปรเท่าที่จะทำได้

 photo LRPEffaclarDuoDAY3.png
ผ่านไป 3 วันพบว่ารอยแดงเริ่มจากลงค่อนข้างเร็วกว่าปกติที่จะเป็นอยู่เล็กน้อย ในช่วงแรก ๆ ที่ยังมีแผลของสิวจะรู้สึกแสบยิบ หลังทาผลิตภัณฑ์บ้างแต่อาการเหล่านี้จะหายไปในระยะเวลาไม่นาน

 photo LRPEffaclarDuoDAY7.png
หลังจากผ่านไป 7 วัน จะเห็นได้ว่าผิวที่เคยเป็นรอยแดงจากการอักเสบของสิวนั้นดูเกือบเป็นปกติและกลมกลืนกับสีผิวรอบข้าง ไม่มีรอยดำเกิดขึ้นหลังจากรอยแดงจางลงไป ทางด้านรอยสิวจาง ๆ ที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านั้นยังดูไม่มีความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ในระยะเวลา 7 วัน

ปูเป้คิดว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะเน้นไปทางด้านการลดรอยแดงและป้องกันการเกิดรอยดำจากการอักเสบมากกว่า ถ้าเป็นจุดด่างดำอยู่แล้วอาจจะต้องใช้ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งเพิ่มเติมครับ

สำหรับสภาพผิวโดยรวม ปูเป้พบว่าสิวไม่ได้เพิ่มขึ้น และสิวเก่าที่การอุดตันหรืออักเสบเล็กน้อยก็แห้งและสามารถกดหรือสะกิดออกได้ง่าย ผิวไม่แห้ง ไม่ลอก และสามารถใช้เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์คู่กับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้ตามปกติได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ

 photo LRPEffaclarDuo04.png
โดยสรุปแล้ว La Roche-Posay : Effaclar Duo [+]เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันและสิวอักเสบในระดับที่ไม่รุนแรง ช่วยลดการอักเสบและรอยแดงของสิวได้ไวขึ้นและช่วยลดโอกาสการเกิดรอยดำหลังจากสิวหายแล้ว ใช้ได้ทั้งวัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่ยังมีปัญหาสิวอยู่ เนื้อผลิตภัณฑ์ค่อนข้างดี ให้ความชุ่มชื้นพอเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา ไม่มันวาวแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแห้งจนเกินไป นอกจากนี้ก็ยังมีราคาที่ไม่สูงมาก หาซื้อได้ง่าย และมีตัวอย่างผลิตภัณฑ์ให้ทดลองใช้ด้วย

สำหรับคนที่สงสัยว่ามันต่างจาก La Roche-Posay : Effaclar K อย่างไร เอาเป็นว่าใครที่มีปัญหาสิวอุดตันเป็นหลัก ให้เลือกใช้ K เพราะมีส่วนผสมของวิตามินเอ + LHA จึงเน้นลดการอุดตันมากกว่า ส่วนใครที่มีปัญหาอุดตันบ้าง อักเสบบ้าง และต้องการป้องกันการเกิดรอยสิวก็เลือกเป็น Duo [+] ละกันครับ

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

ข้อดี

– มีส่วนผสมที่เน้นจัดการปัญหาหลัก ๆ สำหรับผิวเป็นสิวได้ครบในหนึ่งเดียว
– ใช้สารออกฤิทธิ์หลักที่ค่อนข้างอ่อนโยน ลดโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองในระหว่างการรักษาสิว
– เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวในระดับไม่รุนแรง และสามารถใช้เพื่อคงสภาพผิวให้เกิดสิวได้ยากหลังจากรักษาสิวเป็นผลสำเร็จแล้ว
– ให้ความชุ่มชื้นพอดีสำหรับผิวผสมและผิวมัน ไม่มันวาวแต่ก็ไม่แห้งจนเกินไป
– ช่วยให้รอยแดงสิวจางไวขึ้นและลดโอกาสที่จะเกิดรอยดำหลังจากการอักเสบ

ข้อเสีย

– มีส่วนผสมของน้ำหอม

***Sponsored Item***

– La Roche-Posay : Effaclar Duo [+]