นี่เป็นครั้งแรกที่ปูเป้ได้ทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ POLA และนำมาทำรีวิวให้อ่านกันอย่างจริงจัง กับสกินแคร์ชั้นสูงของแบรนด์อย่างกลุ่ม BA ที่เน้นไปยังผู้ที่ต้องการดูแลผิวที่มีความร่วงโรยแห่งวัย
จริง ๆ เรารู้จักกับ POLA มานานแล้วแต่รู้จักในลักษณะของธุรกิจแบบ door-to-door แต่ในระยะหลังก็มีการปรับมาเปิดเป็นเคาน์เตอร์เครื่องสำอางในห้างด้วยซึ่งทำให้เราเข้าถึงตัวผลิตภัณฑ์ได้สะดวกขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ปูเป้หันมาสนใจแบรนด์ POLA จริงๆ คือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นข่าวดังมากในวงการเครื่องสำอางกับการได้ Quasi-Drug ในหมวด Anti-Aging เป็นชิ้นแรกของญี่ปุ่นด้วยส่วนผสมที่พัฒนาขึ้นเองและเจาะจงด้วยกลไกในการเกิดริ้วรอยที่ไม่เหมือนใครเลย คือเรารู้นะว่า POLA คือเครือที่ใหญ่พอสมควรในญี่ปุ่น แต่ก็ยอมรับว่าเราไม่ได้คลุกคลีกับเครือนี้จนพลาดข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรมของเขาไปพอสมควรเลยเหมือนกัน
POLA เป็นแบรนด์ในเครือ POLA ORBIS ซึ่งมีแบรนด์ในเครือที่เรารู้จักกันดีอีกหลายแบรนด์ โดยส่วนผสมและเทคโนโลยีหลายอย่างก็ถูกวิจัย จดสิทธิบัตร และผลิตขึ้นมาเองโดย POLA Chemical Industries และภายใต้แบรนด์ POLA เองก็มีแบรนด์ย่อยเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์มากมายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ราคาตั้งแต่หลักร้อยยันไปถึงหลักหมื่นเลยทีเดียวเชียว
จากการหาข้อมูลพบว่าเครือนี้จะเน้นไปที่การหากลไกหรือค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ และนำไปเผยแพร่ในงานประชุมทางวิชาการอย่าง IFSCC หรือตีพิมพ์เป็นงานวิจัย และทำการสกรีนหาส่วนผสมที่สามารถทำงานในกลไกที่ค้นพบมาได้และทำการจดสิทธิบัตรเอาไว้ ปูเป้จะต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่หาเจอเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำให้การหาข้อมูลของปูเป้มีข้อจำกัดที่สำคัญด้านภาษาอย่างมาก เพราะลำพังพวกสิทธิบัตรเป็นภาษาอังกฤษก็เข้าใจยากมากแล้ว แปลด้วย Google Translate ยิ่งงงหนักกว่าเดิมไปอีก ก็พยายามเต็มที่แล้วแหล่ะแต่หากมีตรงไหนที่ขาดตกบกพร่องไปต้องขออภัยเอาไว้ล่วงหน้านะฮะ
ผลิตภัณฑ์ที่ปูเป้ได้ทดลองและเลือกที่จะนำมาพูดถึงในวันนี้คือ POLA : BA Lotion (120ml / 7,200 Baht) ซึ่งเป็นตัวที่เหมาะแก่การเริ่มต้นที่จะลองใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ โดย BA ย่อมาจากคำว่า Bio-Active ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1985 และมีพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 5 แล้ว โดยที่ผ่านมาก็มีการโฟกัสไปที่กลไกที่เป้นการค้นพบใหม่ ๆ ในช่วงนั้น อย่างเช่นการสร้างผิวใหม่ การเน้นไปที่การฟอร์มตัวของคอลลาเจน การจัดการกับโปรตีนเสื่อมสภาพจาก AEGs (ไกลเคชั่นที่ทำให้โปรตีนอย่างคอลลาเจนมีความเหลืองและเปราะบาง) และรุ่นล่าสุดก็เน้นไปที่ Versican
โครงสร้างของผิวชั้นในนอกจากจะมีคอลลาเจนและอีลาสตินแล้วก็ยังประกอบไปด้วยสารกลุ่ม Glycosaminoglycans (GAGs) อย่างพวก Hyaluronic Acid หรือ Proteoglycan ด้วย โดยสารกลุ่ม Proteoglycan ที่สำคัญและพบมากในผิวหนังของมนุษย์คือ Decorin ซึ่งมีส่วนในการสร้าง Collagen I ซึ่งเป็นคอลลาเจนชนิดหลักบนผิวของเรา และ Versican เป็นหนึ่งในตัวยึดโยงระหว่างเส้นใย Elastin กับ Hyaluronic Acid จึงเป็นตัวที่ช่วยเรื่องความชุ่มชื่นและความยืดหยุ่นของผิว การศึกษาพบว่าอายุที่เพิ่มขึ้นนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบของ Versican ไป ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้การซ่อมสร้างของผิวผู้ใหญ่นั้นช้ากว่าผิวของเด็ก และยังทำให้ผิวเสียความยืดหยุ่นไปอีกด้วย ปัจจุบัน Versican เป็นที่สนใจมากขึ้นเพราะมันมีความจำเป็นในการพัฒนาตัวของชั้นผิว
ในงาน IFSCC เมื่อปี 2015 ทางทีมวิจัยของ POLA Chemical Industries ได้นำเสนอว่าการเสริมการสร้าง Versican นั้นมีส่วนสำคัญในการเสริมการแสดงของยีนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของชั้นผิวอย่าง COL1A1, COL1A2, COL3A1, DCN และ ELL (พวกคอลลาเจนและอีลาสตินทั้งหลาย) และสารสกัดที่ได้มาจากรังไหมสีทอง Golden Silk Extract ที่เขาสกัดขึ้นมาเองนั้นสามารถเสริมการสร้าง Versican ได้
การทดสอบกับมนุษย์เป็นระยะเวลา 3 เดือนโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Golden LP Extract ช่วยทำให้ผิวมีความแน่นขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากกว่าก่อนเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนผสมสารสกัดรังไหมสีทองนี้ระบุในส่วนผสมในชื่อ Hydrolyzed Silk
(Source : Age-related changes in the proteoglycans of human skin., Age-related differences in human skin proteoglycans., Small proteoglycans in the skin: new targets in the fight against skin aging, Versican A-subdomain is required for its adequate function in dermal development., Versican: the potent player for anti-aging skin care by compensating loss of sex-hormone effects, 442 The effect of golden silk extract Y on the mechanical properties of the dermis is mediated through up-regulation of versican)
ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังมีเทคโนโลยีในรุ่นก่อนหน้าซึ่งเน้นไปที่เรื่องของ AEGs หรือ Advance Glycation End Products ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างโปรตีนกับน้ำตาล แต่เดิมนั้นการศึกษาเกี่ยวกับ AEGs จะเน้นไปที่ผิวชั้นในเป็นหลัก แต่การศึกษาของ POLA พบว่าในผิวชั้นนอกอย่าง Stratum Corneum ก็มีการสะสมตัวของ AEGs เช่นกันและทำให้ผิวมีความหยาบกร้าน ทาง POLA ได้ทำการจดสิทธิบัตรสารสกัด Astragalus Sinicus Extract (EG Clearing Extract) โดยเคลมว่าช่วยลดไกลเคชั่นที่ผิวชั้นนอกได้ ส่วน Artemisia Princeps Leaf Extract (น่าจะเป็น YAC Extract) ก็ถูกเคลมว่าเป็นส่วนผสมที่ช่วยลดไกลเคชั่นได้เช่นกัน
(Source : Glycative stress and anti-aging: 3. The evaluation of glycative Stress: Measurement of advanced glycation end products (AGEs)., Cosmetic)
ส่วนผสมอื่น ๆ ที่พอจะหาข้อมูลสิทธิบัตรเพื่อดูว่าเขาเคลมอะไรและทำงานอย่างไรได้บ้างก็คงจะเป็น สารสกัดจากพืชอย่าง Sophora Angustifolia Root Extract กับ Luffa Cylindrica Fruit/Leaf/Stem Extract ที่เป็นสารไวท์เทนนิ่งโดยทำงานเป็น Proton Pump Inhibitor ซึ่งไปลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเกิดเม็ดสีเมลานิน Origanum Majorana Leaf Extract ก็ถูกเคลมในสิทธิบัตรว่าเป็นสารไวท์เทนนิ่ง
นอกจากนี้ก็มีส่วนผสมที่เน้นเรื่องคามชุ่มชื้นอย่าง Tremella Fuciformis Polysaccharide เป็นสารน้ำตาลเชิงซ้อนจากเห็ดหูหนูขาวที่ช่วยเรื่องการโอบอุ้มความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี และในตัวเบสก็ยังมีส่วนผสมของ PPG-24-Glycereth-24 ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพในการอัดความชุ่มชื้นของ Moisturizing Agent อย่างเช่น Glycerin ได้ นอกจากนี้ยังมี Polymethacryloyl Lysine ซึ่งในเอกสารการจดสิทธิบัตรของ POLA เคลมว่าเป็น Biomimetic Polymer ที่ไปเสริมเรื่อง Skin Barrier ได้ ส่วนที่เหลือกก็เป็นพวกสารอย่างกรดอะมิโนต่าง ๆ กับ Hydrolyzed Conchiolin Protein ที่ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นได้และสารสกัดที่อย่างน้อยก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
(Source : Proton pump inhibitors decrease melanogenesis in melanocytes, External preparation for skin whitening, Skin external preparation, Accelerator for forming tight junction)
Ingredients : Water (Aqua), Butylene Glycol, Alcohol, Glycerin, PEG-8, PPG-24-Glycereth-24, Diglycerin, PEG-10 Dimethicone, Phenoxyethanol, Sucrose Laurate, Methylparaben, Xanthan Gum, Sodium Citrate, Diethoxyethyl Succinate, Sodium Lauroyl Hydrolyzed Silk, Fragrance (Parfum) Poly HEMA Glucoside, Citric Acid, Glycogen, Polymethacryloyl Lysine, Tremella Fuciformis Polysaccharide, Dipropylene Glycol, Astragalus Sinicus Extract, Pentasodium Pentetate, Eugenia Caryophyllus (Clove) Flower Extract, Artemisia Princeps Leaf Extract, Arnica Montana Flower Extract, Luffa Cylindrica Fruit/Leaf/Stem Extract, Hydrolyzed Silk, Rosa Roxburghii Fruit Extract, Akebia Trifoliata Stem Extract, Sophora Angustifolia Root Extract, Hydrolyzed Conchiolin Protein, Glycine Soja (Soybean) Protein, Tocopherol, Propylparaben, Coptis Japonica Root Extract, Valine, Glycine, Sodium Dextrin Sulfate, Disodium Cocoamphodiacetate, Ethylparaben, Origanum Majorana Leaf Extract.
ผลิตภัณฑ์มาในขวดปั้มสีเข้มที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม ปริมาณในการใช้ต่อครั้งแนะนำมาที่ 2 ปั้ม ซึ่งเพียงพอต่อการใช้ทั่วใบหน้าและลำคอ เนื้อโลชั่นใสมีความหนืดเล็กน้อยแต่ค่อนข้างเข้มข้นเลยทีเดียว เรียกว่าใช้แล้วผิวฉ่ำเลยล่ะ ดังนั้นถึงตัวผลิตภัณฑ์จะมี Alcohol เป็นตัวทำละลายมาด้วยแต่ส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นและตัวคลุมผิวก็ใส่มาชดเชยจนไม่ทำให้ผิวแห้งแต่อย่างใด
ทางแบรนด์ยังเคลมด้วยว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BA มีการออกแบบมาให้ใช้ร่วมกันเพื่อเสริมการดูดซึม โดยการใช้โฟมล้างหน้า BA Wash ของเขาจะทำให้ตัวโลชั่นมีการกระจายตัวบนผิวได้ดีกว่า และถ้าใช้ BA Lotion ตามด้วย BA Milk การดูดซึมและการมอบความชุ่มชื้นจะยิ่งทวีประสิทธิภาพมากขึ้น การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ก็พบว่าตัวโฟมล้างหน้านั้นจะทำให้ผิวรู้สึกหมดจดและตัวโลชั่นจะซึมเข้าผิวได้ไวกว่าใช้คู่กับโฟมล้างหน้าแบบปั้มโฟมสำเร็จยี่ห้ออื่นที่ใช้อยู่ซึ่งใช้ระบบสารทำความสะอาดคนละแบบกัน ส่วนการใช้ BA Lotion ตามด้วย BA Milk ก็ต้องบอกว่าสำหรับสภาพผิวของตัวเอง แค่สองตัวนี้เราก็รู้สึกว่าผิวชุ่มชื้นเพียงพอจนไม่ต้องลงมอยซ์เจอไรเซอร์ตัวอื่นทับแล้ว คือผิวฉ่ำแบบสุด ๆ และก็นุ่ม ยืดหยุ่นดีอีกด้วย โทนผิวรู้สึกสดใสขึ้น
โดยรวมแล้ว POLA : BA Lotion เป็นสกินแคร์ตัวแรกของแบรนด์ที่ทำให้ปูเป้ได้หาข้อมูลและได้เข้าใจว่าเครือนี้มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจหลายอย่างเลยทีเดียวเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์เข้มข้น น่าจะเหมาะกับคนที่มีผิวธรรมดาค่อนไปทางแห้งหรือต้องการผลิตภัณฑ์ที่มอบความชุ่มชื้นสูง เทคโนโลยีเน้นไปที่การปรับโทนของผิวให้ดูสดใส ลดโทนเหลืองของผิวจากไกลเคชั่น การเสริมโครงสร้างชั้นผิวให้มีความยืดหยุ่นและนุ่มนวลขึ้นเป็นหลัก ซึ่งตอบโจทย์กับช่วงวัย 30+ เป็นต้นไป ส่วนตัวมีความเห็นว่าหากทาง POLA จะมีเนื้อสัมผัสที่บางเบากว่านี้สำหรับสภาพอากาศที่ร้อนชื้นอย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผื่อสำหรับคนที่มีผิวค่อนไปทางมันหน่อย หรือสำหรับคนที่อยากเลเยอร์สกินแคร์หลายชั้นเป็นต้น
ข้อจำกัดของข้อมูลที่หามาได้คือการศึกษาที่ตีพิมพ์นั้นหลายส่วนเป็นการศึกษาจากทาง POLA เอง อาจจะมีในเรื่องของ Bias ได้ และข้อมูลหลายส่วนก็แปลอัตโนมัติจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษที่ทำให้ยากต่อการสืบค้นและทำความเข้าใจทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อจำกัดจากความสามารถด้านภาษาของปูเป้เอง ดังนั้นหากมีตรงไหนที่ขาดตกบกพร่องไปต้องขออภัยเอาไว้ล่วงหน้าและหากมีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขก็รบกวนชี้แนะด้วยครับ
สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง
***Sponsored Item***
POLA : BA Lotion
Price : 120ml / 7,200 BAHT
Skin Type : Normal – Dry Skin
Outstanding : Hydration / Anti-Aging / Antioxidant
- เนื้อสัมผัสที่ฉ่ำผิวมาก แม้ใช้ในปริมาณที่ไม่เยอะ ช่วยให้ผิวนุ่มและยืดหยุ่นขึ้น
- มีส่วนผสมที่พัฒนาขึ้นเองอยู่หลายตัว มีความน่าสนใจในแง่ของเทคโนโลยี
- บรรจุภัณฑ์ใช้สะดวก และเก็บรักษาส่วนผสมได้เป็นอย่างดี
- ข้อมูลการศึกษา และสิทธิบัตรส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่น