หลังจากดองจนเค็มได้ที่แล้วคงถึงเวลาเอามานั่งเขียนให้ได้อ่านกันซะทีก่อนที่จะลืมหมด กับทริปที่ประเทศสิคโปร์กับ SK-II ซึ่งงานนี้ทาง SK-II Global ได้เชิญ Online Influencer จากหลายประเทศทั่วโลกทั้งจากอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมีจากไทยหลุดไป 1 ติ่ง นั่นก็คือข้าพเจ้านั่นเอง
แต่งานนี้ก็มีน้องเตย PR ของ SK-II ไทยตามติดคอยไปดูแลเราตลอดการเดินทางในครั้งนี้ด้วย ต้องกราบขอบพระคุณงาม ๆ เพราะว่าน้องเตยดูแลดีม๊วกกกกก (โดยเฉพาเรื่องกิน ตามใจเราทุกอย่าง 555)
ทริปนี้เราบินโดน Singapore Airline ในช่วงสาย ๆ ก่อนขึ้นเครื่องก็ต้องแวะมาหน่อยที่แมงดาวเป็นธรรมเนียมเพื่อกินอะไรรองท้องสักหน่อยงิ
ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง เร็วพอ ๆ กับการฝ่ารถติดจากบ้านไปสนามบินเราก็มาถึงสิงคโปร์เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ทุกครั้งเราก็ยังชื่นชอบสนามบินที่ใช้งานง่าย กว้าง บริการเร็ว และชอบตรงที่มีต้นไม้ใหญ่ ๆ เต็มเมืองเลย
ที่พักในทริปนี้ก็คือ St.Regis (อีกแล้ว) ซึ่งมาพักทีไรก็ไม่อยากกลับทุกครั้ง เพราะว่าห้องใหญ่มาก แค่ห้องน้ำก็ใหญ่เท่าห้องนอนเราแล้ว แถมอาหารเช้าก็อร่อยเลิศอีกต่างหาก
ในห้องมีจดหมายต้อนรับจากทางทีม SK-II Global พี้อมทั้งรายละเอียดของทริปในครั้งนี้ แถมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารแนะนำเอาไว้เผื่ออยากจะไปสำรวจเกาะสิงคโปร์ด้วยตัวเอง ช่างละเอียดจริง ๆ ประทับใจฝุด ๆ
สิ่งที่ปูเป้ตั้งตารอในทริปนี้คือการได้เข้าชม P&G Singapore Innovation Center ซึ่งเป็นศูนย์พัฒนาและวิจัยใหม่ล่าสุดที่พึ่งเปิดใช้หมาด ๆ เลย และเราจะเป็นบุคคลภายนอกกลุ่มแรกที่ได้เข้าชม
หลังจากเช็คอินและรอกระเป๋าเสร็จก็ปาไปบ่าย 3 แล้ว ในวันแรกที่ไปถึงนี้เป็นเวลาอิสระ อยากไปไหนก็ได้ คือเราตั้งใจว่าจะไปเที่ยว Universal Studio Singapore เพราะว่ามากี่รอบก็ไม่เคยได้ไป ทว่าพนักงานโรงแรมบอกว่ามันปิด 5 โมงนะยูววววว กว่าจะไปถึงก็ไม่ได้เล่นอะไร ปิดพอดีป่าว แต่โชคดีที่เราไม่เชื่อพนักงานที่โรงแรม เช็คในเวปแล้วมันปิด 6 โมงล่ะ…
ความตั้งใจในครั้งนี้นอกจากไปเที่ยวแล้ว เราอยากใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะของเขาให้จงได้ เพราะมาทริปแบบนี้ทีไรเขาจะดูแลเราดีมากไง นั่งรถลิมูซีน รถบัส ไม่ก็แท๊กซี่ตลอด เราเลยบอกน้องเตยว่าเราขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปกันเถอะ ซึ่งน้องก็น่ารัก ตามใจเราทุกอย่าง เดินกันขาลากจ้าทริปนี้ 555
สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจสำหรับรถไฟฟ้าใต้ดินของเขาคือ บัตรโดยสารที่เราซื้อจากตู้นั้น จะเป็นบัตรกระดาษแบบใช้แล้วทิ้ง แต่เขาก็มีความพยายามในการให้คนนำบัตรโดยสารกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุดด้วยการกำหนดเงื่อนไขว่า
การออกบัตรโดยสารครั้งแรก เราจะต้องจ่ายเพิ่ม 10เซนต์ (2.6 บาท) เป็นค่าธรรมเนียมในการออกตัว ถ้าเรานำตั๋วกลับมาเติมเงินแล้วใช้เป็นครั้งที่ 3 ก็จะได้เงิน 10 10เซนต์คืน และถ้านำกลับมาใช้เป็นครั้งที่ 6 ก็จะได้ส่วนลดเพิ่ม 10เซนต์
การเติมเงินก็ง่ายมาก เพราะว่าตั๋วเป็นระบบสัมผัส แค่วางบนแท่น แล้วก็เลือกสถานี หยอดเงิน มันก็จะอัพเดทข้อมูลในบัตรโดยสารแล้วก็นำไปใช้งานได้ทันที
ข้อดีของตั๋วแบบกระดาษนี้เราคิดว่ามันต้องคุ้มในแง่ของต้นทุนด้วย และที่สำคัญคือเรื่องของอนามัย เพราะว่าตั๋วพลาสติกที่นำกลับมาใช้นี่ผ่านขี้มือใครมาบ้างแล้วก็ไม่รู้เนอะ
เรานั่งรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Orchard เปลี่ยนสายไปมาจนมาถึงสถานี Habour Front ทะลุขึ้น Vivo City แล้วนั่งโมโนเรลราคา 4 ดอลล่า เข้ามายังเกาะ Sentosa เพื่อมาที่ Universal Studio ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีโดยประมาณ มาถึงก็เกือบ 4 โมงเย็นได้ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะว่าวันนี้เป็นวันธรรมดา 2 ชั่วโมงบอกได้เลยว่าเหลือเฟือ เพราะ Universal Studio ที่นี่เล็กจริง ๆ และวันธรรมดา คนน้อย ไม่ใช่ไฮซีซั่นด้วย แต่ละเครื่องเล่นใช้เวลาต่อคิวไม่เกิน 5 นาทีขาดตัว
เครื่องเล่นที่นี่มีหลายชิ้น แต่ว่าการเล่นแต่ละรอบจะไม่ค่อยนานนักเพราะพื้นที่เล็กจึงทำรางได้สั้น ๆ ลงจากเครื่องเล่นด้วยอารมณ์แบบว่า แค่เนี๊ยะ??? แต่โดยรวมก็ถือว่าใช้ได้นะ เทคโนโลยีของเครื่องเล่นค่อนข้างทันสมัยดี (แต่เล็กไปหน่อย ไม่สะใจ)
ภาพรวมการตกแต่งในสไตล์ Theme Park นั้นก็จัดเต็มอยู่ แต่การเก็บรายละเอียดเล้ก ๆ น้อย ๆ ยังทำได้ไม่ดีนัก ถ้าเทียบ Theme Park ที่เก็บรายละเอียดดีเลิศอย่าง Tokyo Disney Sea แล้วยังถือว่าห่างชั้น
โซนที่ตั้งใจมาเป็นอย่างยิ่งคือ The Lost Word เพราะเป็นคนที่ชื่นชอบไดโนเสาร์ มันจะมีเครื่องเล่นอันหนึ่งที่เรียกว่า Jurassic Park Rapids Adventure ซึ่งเราจะนั่งเรือกลม ๆ ฝ่าเส้นทางน้ำเชี่ยวไปชมหุ่นไดโนเสาร์ ซึ่งต่างจาก Univeral Studio อื่น ๆ ซึ่งใช้เรือลำใหญ่ ๆ เหตุผลเพราะว่าที่สิงคโปร์มันแคบ ทำเรือใหญ่แบบเขาไม่ได้ คือโดยรวมก็ถือว่าโอเคนะ ชอบตรงที่มีทางลาดสูงราวตึก 2 ชั้นในตอนจบ สนุกดี แต่ไดโนเสาร์น้อยไปนิด ไม่มีตัวคอยาวแบบที่ญี่ปุ่นหรืออเมริกาด้วย สภาพไดโดนเสาร์ที่ขยับเยอะ ๆ ก็มีคอขาดบ้างอะไรบ้าง ซึ่งทางวนแก้ไขด้วยวิธีที่ไม่ลงทุนอะไรเลย คือการเอาผ้าที่ทหารเอาไว้ใช้พรางตัวให้เหมือนใบไม้ไปคลุม…
อีกอันนึงเป็นรถไฟเหาะแบบแขวนชื่อว่า Dino-Soaring ซึ่งใช้เวลาเล่นไม่ถึง 50 วินาที เรียกได้ว่าตดทิ้งไว้ที่สถานี กลับมาอีกยังไม่หายเหม็น ซึ่งก็โอเคถ้าคุณไม่ต้องต่อคิว 30 นาทีเพื่อเล่นอ่ะนะ…
เครื่องเล่นที่ควรจะเป็นตัวชูโรงของที่นี่อย่าง Battlestar Galactica ซึ่งเป็นรถไฟเหาะแบบ Battle ทั้งแบบห้อยหัว และแบบนั่ง วิงพันรอบกันเป็นที่เดียวในโลก ก็ปิดตัวมานานเป็นปีเรื่องจากปัญหาด้านการออกแบบ ทำให้มีผลต่อความปลอดภัย จากข่าวที่ไปอ่านมาเขาบอกว่ามันมีแรงสั่นสะเทือนมากจนตัวล็อคกระเด็นหลุดระหว่างทดสอบ เขาก็ปิดยาวจนกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ หรือถ้าไม่ได้ก็ต้องรื้อทิ้งล่ะมั้ง…
แต่ก็ยังมีรถไฟเหาะอีกอันนึงให้เล่นแทนอย่าง Revenge of the Mummy ซึ่งเป็นเครื่องเล่นในที่มืดซึ่งใช้เทคนิคหลากหลาย มีทั้งวิ่งถอยหลัง และการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วด้วยระบบแม่เหล้กไฟฟ้า เป็นเครื่องเล่นที่สนุก แต่ก็อย่างที่บอก มันสั้นม๊ากกกกกกก
สรุปว่าเราเล่นแต่ของที่หวาดเสียวๆ เป็นหลัก อะไรหวานเย็น ฟุ๊งฟริ้งเราไม่สนใจ ใ้เวลาไปชั่วโมงกว่าก็หมดแล้ว ทว่าเราลืมของสำคัญไปอย่างนึงคือ Transformer The Ride ซึ่งเราได้กลับมาเล่นอีกครั้งในเดือนต่อมา (เดี๋ยวเอามาเล่า)
อาหารเย็นในวันแรกของสิงคโปร์นั้นก็ต้องกินของขึ้นชื่อซะหน่อย นั่นก็คือข้าวมันไก่ หรือ Hainanese Chicken Rice นั่นเอง ซึ่งก็มีหลายร้ายที่เขาแนะนำว่าต้องมาลอง แต่ที่เราเลือกมากินในวันนี้คือร้าน Chatter Box ที่โรงแรม Mandarin Orchard ซึ่งราคาก็ไม่เบาเลยล่ะ (แต่จำไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้จ่ายเอง กร๊ากกกกก)
ส่วนตัวเราว่ามันก็โอเคนะ คือไก่ก็เนื้อนุ่ม และชุ่มฉ่ำ ข้าวก็หอมดี แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่คงบอกว่ามันจืดไป แต่ส่วนตัวเราเป็นคนกินข้าวมันไก่ไม่กินน้ำจิ้ม เราคิดว่ามันก็ใช้ได้ล่ะ (แต่ไม่ได้ดีไปกว่าข้าวมันไก่ประตูน้ำ หรือข้าวมันไก่ตรงสะพานเหล็กหรอก)
กลับมาถึงโรงแรมเหนื่อย ๆ ก็เข้าไปอาบน้ำเตรียมนอน เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปเจอทีมงานเอาผลิตภัณฑ์ SK-II มาวางไว้ให้ใช้ เป็น Stempower Essence (หรือในไทยใ้ช้ชื่อว่า Essential Power) กับ Facial Treatmen Mask แต่ว่าเราเอามาส์กคู่ใจของเรามาเอง นั่นก็คือ Whiteing Source Derm-Revival Mask ซึ่งเหมาะมากสำหรับวันที่ไปเจอแดดและความร้อนจากตอนที่ไปเที่ยว Universal Studio มา ช่วยให้ความชุ่มชื้น บรรเทาปัญหาผิวที่เจอความร้อนและแดดมาได้เป็นอย่างดี
ตื่นเช้ามาก็กินอาหารเช้าที่โรงแรมนั่นแหล่ะ อาหารเช้าที่นี่มีแบบเป็น Internatioal Buffet ให้เดินตัก ซึ่งก็มีของหลากหลายให้เลือก หรือจะสั่งจากเมนูก็มีหลายอย่างทั้งแซลอนเทริยากิ แพนเค้ก เฟรนช์โทสต์ วันนี้ลองสั่งแพนเค้กมาก็อร่อยดี ครัวซองทานคู่กับเยนและแยมราสเบอรี่ก็อร่อย กินทุกวันเลย
ตอนเช้าในวันนี้เรามีโอกาสได้ Video Conference กับดาราสาวระดับโลกอย่าง Cate Blanchett ซึ่งเธอดูเป็นกันเองและน่ารักมาก เราก็หยอดคำถามไปหลายอย่างแต่สิ่งที่เราสนใจคือวิธีที่เธอดูแลผิว
เคท ชอบใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม LXP มาก เธอบอกว่ามันเวิคสุด ๆ และเคล็ดไม่ลับในการใช้มาส์กให้ได้ผลดีคือต้องเอาไปแช่เย็น เพราะจะช่วยลดการบวมและกระตุ้นให้รู้สึกสดชื่นด้วย นอกจากนี้เธอยังสเปรย์ Facial Treatment Essence เพื่อเติมความชุ่มชื้นและคืนความสดชื่นในระหว่างวันด้วย เธอรัก FTE มากขนาดถ้าดื่มได้เธอก็จะดื่มเลยล่ะ
หลังจากที่คุยเสร็จก็มีโอกาสได้คุยกับ Blogger ที่นั่งข้าง ๆ กัน ชื่อว่า Grace ซึ่งเธอเป็นชาวสิงคโปร์นี่เอง เราก็เลยบอกว่าเราอยากจะกินซาลาเปาไส้ไหล หรือซาลาเปาลาวาที่ชาวไทยฮิตจนเลิกฮิตกันแล้ว สนใจจะไปด้วยกันไหม คุยไปคุยมาก็ได้รู้จักกับ Blogger คนสิงคโปร์อีกคนที่ชื่อ Wen เราก็เลยได้ไปกินติ่มซำกันที่ร้าน Taste Paradise ที่ห้าง Ion Orchard ชั้น 4 (มั้ง)
รสชาติติ่มซำที่นี่ถือว่าทำออกมาได้โอเคนะ ขนมจีบ เสี่ยวหลงเปา ซาลาเปาก็อร่อยดี ราคาน่าจะพอประมาณเพราะว่าร้านแอบหรูนิด ๆ แต่จำราคาไม่ได้ เพราะไม่ได้จ่ายอีกแล้ว…
เมนูซาลาเปาลาวา ซาลาเปาไส้ไหล ซาลาไส้ครีมไข่เค็ม หรือจะชื่ออะไรก็ตามแต่ ที่สิงคโปร์เรียกว่า Liu Sha Bao หรือ Golden Custard Bun ซึ่งที่ร้านนี้ก็ติดเป็นหนึ่งในร้านที่ Blogger ด้านอาหารของสิงคโปร์ยกให้เป็น Top5
ที่นี่จะเสริฟ Liu Sha Bao เป็นของหวาน ดังนั้นเมนูนี้จะออกมาทีหลังสุด เว้นแต่ว่าเราจะขอให้เขาเอาออกมาก่อน รสชาติค่อนข้างดี ไม่หวานแหลม มีรสไข่เค็มกำลังดี โดยรมพึงพอใจฮับ แต่ยังไม่ถึงที่สุด
หม่ำเสร็จแล้วก็มาชักภาพเป็นที่ระลึกกับเพื่อนใหม่ คนซ้ายในรูปคือ Wen และคนขวาคือ Grace จ้า
ในช่วงบ่ายเราเรามีนัดไปคุยกับคุณอุ้ม SK-II Global Trainer เป็นชาวไทยผู้ที่คอยเทรน BA ของ SK-II ทั่วโลกเลยล่ะ ไอดอลมาก ถ้าเราอยากทำงานประจำเราก็อยากทำตำแหน่งนี้แหล่ะ 555
เราเคยเจอกับพี่อุ้มแล้วเมื่อคราวก่อนที่สิงคโปร์ ก็เลยไม่รู้สึกเกร็งเท่าไหร่ ในคราวนี้พี่อุ้มก็แนะนำผลิตภัณฑ์หลายตัว ละบางตัวที่เรามองข้ามไปอย่าง Skin Rebooster ซึ่งเป็นมาส์กเนื้อเจลที่ให้ความชุ่มชื้นดีมาก ตัวนี้เขาแนะนำให้พอกไว้บนเครื่องบิน แล้วผิวจะไม่มีอาการ Jet Lag หรือแห้งจากการเดินทางอีกเลย
หลังจากนั้นก็เดินทางไปทำสวยที่ SK-II Boutique Spa ซึ่งก็เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อทริปก่อน ซึ่ง SK-II Boutique Spa นั้นจะมีบริการที่เต็มรูปแบบกว่าการนวดที่เคาน์เตอร์ในไทย รวมถึงมีการใช้อุปกรณ์แปลก ๆ อย่างพวกเครื่องระบบโซนิคในการช่วยเสริมการดูดซึมผลิตภัณฑ์ลงสู่ผิว หรือผลัดเซลล์เป็นต้น
ในช่วงเย็นก็มีการเลี้ยงดินเนอร์ต้อนรับ โดยมีทีมผู้บริหารระดับสูงจาก P&G และ SK-II มาร่วมพูดคุยกับ Blogger ที่มาร่วมงาน ร้านอาหารที่ทานในครั้งนี้คือ Au Petit Salut ซึ่งติดอัดดับร้านอาหารชื่อดังของที่นี่เลยล่ะ
มื้อนี้เริ่มต้นด้วย Ballotine of Norwegian Mackerel หรือปลาซาบะนำมามันให้เป็นทรงกลม ปรุงรสแล้วก็นำไปต้มหรือตุ๋น เสริฟแบบเย็นกินคู่กับซอสหลายแบบที่มีทั้งรูปแบบเจล และแบบ Puree มีกลิ่นและรสของมะกรูดหอม ๆ และเปรี้ยว
ถัดมาเป็นซุป Smoaked Chestnut & Mushroom Veloute ซึ่งทั้งเนื้อซุปและรสเข้มข้นมาก พร้อมกลิ่นหอมของน้ำมันทรัฟเฟิล อันนี้บางคนอาจจะไม่ชอบ แต่เราว่าอร่อยดีล่ะ
อาหารจนหลักเป็นสเต๊กเนื้อ Wagyu Rib Eye ที่เลี้ยงด้วยธัญพืชเป็นเวลา 400 วัน เพื่ออะไรไม่รู้ แต่รู้ว่าอร่อย เนื้อชุ่มฉ่ำม๊าก รสหวานแบบธรรมชาติ กินคู่กับ Pomme Mousseline ซึ่งเป็นมันบดแบบฝรั่งเศสที่ใช้สัดส่วนของเนยเท่ากับมันฝรั่งกันเลยทีเดียว หอมมาก เนื้อเบา เนียน พูดแล้วก็อยากกินอีก
ตบท้ายด้วย Chilli Chocolate Gateaux กับเค้กช้อคโกแลตแบบฝรั่งเศสที่ใช้ฐานน่าจะเป็น Dacquoise เมอแรงก์ถั่วที่ใช้กันบ่อยในเค้กแบบนี้ ไส้กลางเป็นกานาชช็อคโกแลต กับมูสช็อคโกแลตรสเข้มที่มีกลิ่นและรสของพริกและความเผ็ดแบบจาง ๆ กินคู่กับ Coconut Sorbet เข้ากันดี
คืนนี้หลับฝันดีเพราะได้กินแต่ของอร่อย ๆ อุอิ ฮุฮิ งุงิ
ตื่นมาเช้านี้ก็ยังคงซัดอาหารเช้าที่โรงแรมเช่นเคย วันนี้ลองสั่ง Egg Benedict ซึ่งทำออกมาได้อย่างสวยงามสมบูรณ์แบบ ราดด้วยซอส Hollandaise เข้มข้น ฟินสิคระท่านผู้ชมมมมม
ของหวานปิดมื้อเช้าขอลอง Brioche French Toast กับ Banana Flambe อันนี้ยังเฉย ๆ รู้สึกว่าขนมปังแห้งไปนิด อยากได้ฉ่ำ ๆ กว่านี้ แต่ว่าเนื้อมันนุ่มดีนะ
ตารางในวันนี้ทั้งวันเราจะอยู่กันที่ P&G Singapore Innovation Center ซึ่งเป็นแหล่งรวมมันสมองของ P&G ในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ทีมวิจัยและพัฒนาของ SK-II ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ
ในที่นี้มีส่วนที่เป็นความลับอยู่เยอะแยะเต็ไปหมด ซึ่งเราก็มีโอกาสได้เข้าไปดูในส่วนเฉพาะเท่าที่เขาพอจะเปิดเผยได้ ซึ่งก็ดีใจนะ แต่ยังแอบอยากได้มากกว่านี้อีก อิอิ
ps. อยากได้แลปโค้ท SK-II กลับบ้านจุง แต่เอากลับไม่ได้….
จะว่าไปงานในวันนี้ไม่ค่อยเหมือนกับมา Lab Tour เท่าไหร่ เพราะกิจกรรมส่วนใหญ่ถูกจัดเอาไว้ในห้องรับรอง เหมือนเป็น Press Visit ชมนิทรรศการมากกว่า แต่เราก็พอข้าใจได้นะ เพราะว่า Online Influencer คนอื่นดูเขาไม่ค่อยสนใจพวกนี้เท่าไหร่ เพราะว่าส่วนใหญ่ที่มาไม่ใช่สายสกินแคร์โดยตรง มีแต่เรานี่แหล่ะที่หลุดมาคนเดียว
แต่กิจกรรมโดยรวมมีกิมมิคค่อนข้างน่ารักดีล่ะ ก็ถือว่ายังมีความน่าประทับใจอยู่ 🙂
มีส่องการทดลอง Live Demonstration แบบสด ๆ ให้ดู โดยแสดงให้เห็นประสิทธิ์ภาพของ Pitera ในการจัดการกับอนุมูลอิสระ เพื่อให้เห็นว่า Essence แต่ละตัวนี้ไม่ได้เหมือนกัน แทนกันไม่ได้
การทดลองมีการเทียบ 4 ตั โดยมี Water หรือน้ำเปล่าเป็นตัวแปรควบคุม กับ Essence E ซึ่งเขาไม่บอกว่าแบรนด์อะไร แต่เราเดากันไม่ยากหรอก แล้วอีกสองขวดที่เหลือคือ Facial Treatment Essence กับอีกขวดคือ Highest Concentrated Pitera หรือ Pitera เข้มข้นที่สุด ซึ่งถูกใส่ลงไปในไลน์ SK-II LXP นั่นเอง
การทดสอบนั้นใช้สีน้ำเงิน Methylene Blue เป็นตัววัดว่า Essence นั้นมีความสามารถในการจัดการกับอนุมูลอิสระได้ดีแค่ไหน เพราะเมื่ออนุมูลอิสระถูกกำจัดไปสีน้ำเงินก็จะหายไปเช่นกัน โดยในการทดสอบจะมีการใส่ด่างเป็น Inducer หรือตัวเร่ง
ผลปรากฏว่า Highest Concentrated Pitera หรือ Pitera เข้มข้นที่สุด ซึ่งถูกใส่ลงไปในไลน์ SK-II LXP นั้นสามารถจัดการอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด คือเร็วมาก ตามมาด้วย Facial Treatment Essence ซึ่งต้องรอสักพัก ในขณะที่ Essence E แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย คือจางลงแหล่ะ แต่ช้ามาก
ก็รู้สึกดีใจที่เห็น เพราะว่าเราชอบ SK-II Ultimate Perfecting Essence มาก แม้ว่าันจะแพง แต่ก็ลงทุนในช่วงที่โทรม ๆ งานหนัก ๆ มันช่วยเราได้จริงๆ ล่ะ
นอกจากนี้เราก็ยังได้เข้าไปชมในส่วนของห้องทดลองที่ทำการวัดผลกับอาสาสมัคร ซึ่งห้องจะถูกควบคุมความชื้อ และอุณหถูมิไว้ที่ 24 องศาเซลเซียส ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ผลของการวัดคลาดเคลื่อน ที่เด็ดมากก็เห็นจะเป็นเครื่องวัดผิวที่สแกนแบบ 3 มิติ น่าจะแพงมากเลยทีเดียว แต่ก็ช่วยให้วัดความเปลี่ยนแปลงของริ้วรอย ความหย่อนคล้อยของผิวได้อย่างแม่นยำมากเลยล่ะ
นอกจากนี้ยังได้ชมในส่วนของฝ่ายออกแบบบรรจุภัณฑ์ ซึ่งก็ได้เห็นเครื่อง 3D Printing เครื่องใหญ่เป็นครั้งแรก เดี๋ยวนี้อยากได้แพคเกจแบบไหน ออกแบบแล้วก็ไม่ต้องรอช่างมาแกะแบบเป็นสัปดาห์ สั่งพิมพ์เลยไม่กี่ชั่วโมงก็ได้แล้ แจ่มมาก แถมยังทำให้ข้างในกลวงได้เหมือนบรรจุภัณฑ์จริง ๆ ด้วย
อีกกิจกรรมขำ ๆ อันนึงก็คือไปลองบรรจุ Facial Treatment Mask ด้วยตัวเอง เขาอยากให้เราเห็นว่าในมาส์ก 1 ถุง อัดแน่นไปด้วยน้ำเอสเซนส์มากถึง 30 มิลลิลิตรนั่นแหล่ะ แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่น่าสนใจ แต่ก็สนุกที่ได้ลองทำมาส์กเองแบบวองเดียวในโลกที่ซีลเบี้ยว ๆ ด้วยน้ำมือเรา กร๊ากกกกก
ข้อมูลที่น่าสนใจจากงานในวันนี้ที่อยากพูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง คือทาง SK-II ได้ศึกษาแล้วพบว่า สัญญาณแห่งความร่วงโรยแรกเริ่มนั้น ไม่ใช่ริ้วรอยหรือตีนกา แต่เป็นเรื่องความไม่กระชับของผิวต่างหาก และเป็นปัญหาที่ส่งต่อเป็นลูกโซ่ให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าทาง SK-II ก็นำเสนอส่วนผสมของ Stem-Acanax ซึ่งอยู่ในไลน์ StemPower (Essential Power) ซึ่งเขาบอกว่าช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนที่ทำให้ผิวแน่น กระชับ เฟิรมขึ้น พร้อมกับแอบแง้มให้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ Stempower Eye ที่จะคลอดในอีกไม่นาน
เขาสาธิตประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์โดยใช้ Freeze-Dried Tofu ซึ่งเป็เต้าหู้ที่ถูกระเหยน้ำออกไปจนแข็งแบบกัดฟันหัก แต่สามารถนำกลับมากินได้โดยการนำไปแช่น้ำ ด้วยโครงสร้างลักษระที่มีรูพรุนละเอียด และเป็นโครงสร้างโปรตีน จึงนำมาใช้เพื่อแทนผิวหนัง
เขาทดสอบโดยการเอา Freeze-Dried Tofu ที่แช่น้ำแล้วไปบีบน้ำออก แล้วก็เอามาทาด้วยน้ำเปล่า แล้วก็ทาด้วยเซรั่ม อีก 2 ตัว กับอันสุดท้ายทาด้วย Stempower Essence แล้วทิ้งไว้อีก 2 วัน
หลังจากนั้นก็เอาตุ้มน้ำหนักมาวางทับ พบว่าอันที่ทาน้ำเปล่า โครงสร้างโปรตีนของเต้าหู้นั้นแข็งจนตุ้มน้ำหนักกดไม่ลง ส่วนที่ทาเซรั่มไปนั้นก็ยังคงความนุ่ม แต่การคืนกลับสภาพของเต้าหู้นั้นต่างกัน ตัวที่ทา Stempower Essence มีการคืนรูปที่ดีมาก เขาบอกว่าเป็นเพราะคุณสมบัติในการรักษาสภาพของโปรตีน ทำให้เต้าหู้ยังคงมีความยืดหยุ่นที่ดี มีความแน่น ผิวเราก็สามารถทำได้แบบนี้เช่นกัน
แต่ที่ล้ำสุด ๆ คือการที่ SK-II ได้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยการวิเคราะห์ DNA เพื่อดูว่าเราเกิดมาด้วยกรรมพันธ์ที่อาจไวต่อปัญหาผิวอย่างเช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ เป็นพิเศษ ซึ่งทำให้เรารู้ว่ามีคามเสี่ยงต่อปัญหาใดมากเป็นพิเศษ จะได้ดูแลตรงจุดนั้นมากหน่อย
ในชุดทดสอบ DNA นั้นก็จะเมหือนกับที่เราดูในหนัง CSI คือจะมีที่ปาดกระพุ้งแก้มเพื่อเก็บเอาเซลล์ไปวิเคราะห์ DNA พร้อมเอกสารให้กรอกเพื่อรับทราบและแสดงความยินยอม โดยตัวอย่างจะถูกส่งไปที่ห้องแลปในญี่ปุ่น เพื่อวิเคราะห์หาเฉพาะยีนที่ต้องการทราบผลเท่านั้น จะไม่มีการนำไปใช้เพื่อการอื่นโดยเด็ดขาด
บริการนี้จะมีให้สำหรับลูกค้า SK-II ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม รู้สึกจะมีที่สิงคโปร์แล้ว แต่ในไทยยังไม่แน่ใจว่าจะเข้ามารึเปล่านะ
ในช่วงบ่ายเราก็กินข้าวกลางวันกันใน P&G Innovation Center นี่แหล่ะ เพราะว่าศูนย์แห่งนี้ค่อนข้างจะไกลจากตัวเมืองพอสมควรทีเดียว แต่มื้อนี้ก็ไม่ได้ด้อยอะไร ทาง SK-II ยังจัดเต็มเหมือนเดิมด้วยการให้ Willin Low เชฟชื่อดังชาวสิงคโปร์มารังสรรค์เมนูให้พวกเราได้อร่อยประทับใจกันในวันนี้
อาหารที่เชฟ Willin Low คิดมานี้จะเป็นสไตล์ฟิวชั่น ผสมผสานวัฒนธรรมของอาหารหลายระเทศ และนำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจ พร้อมกับส่วนผสมบางชิด ก็เป็นส่วนผสมที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ SK-II อีกด้วย
เริ่มต้นกับด้วย Sping Salad with Artichoke ซึ่งเป็นการนำยำส้มโอของไทยมาประยุกต์ เพิ่มลูกเล่นด้วยการนำยำผสมน้ำกะทิมาแช่แข็งแล้วตักวางเหมือนไอติม รสชาติดี ได้สัมผัสแปลกใหม่ พร้อมกับ Artichoke ที่เป็นส่วนผสมใน Stempower Eye
จานต่อมาเป็น Salmon Rice Bowl ซึ่งเป็นการประยุกต์ข้าวหน้าปลาแซลมอนแบบญี่ปุ่น ด้วยการใช้ข้าวกล้องมาผัดกับซอสพร้อมกับใส่ลูกปลาหมึกเล็ก ๆ ดปะหน้าด้วยแซลมอน และไข่กุ้ง เมนูนี้อร่อยมาก ข้าวกล้องให้สัมผัสที่หนึบหนับเคี้ยวเพลินมาก ๆ ซึ่งข้าวเป็นหนึ่งในส่วนผสมสำคัญในการหมักบ่มเพื่อให้ได้ Pitera มานั่นเอง
จานหลักคือ Duck Confit ซึ่งเป็นเนื้อเป็ดปรุงรส ราดด้วยน้ำซอสที่ผสมบ๊วยอุเมะ จานนี้กลางๆ นะไม่ได้ว้าวมาก ส่วนผสมของ Ume มีอยู่ใน Celumination Aura Essence
ตบท้ายด้วยของหวานง่ายแต่รสชาติอร่อยล้ำ กับ Rose & Pandan Panacotta ซึงเป็นคัสตาร์ดสไตล์อิตาเลียนที่เรียบง่าย แต่ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบถึงจะอร่อย เนื้อต้องเนียน ต้องคงรูปแต่ก็ต้องละลายในปาก หอมด้วยกลิ่นกุหลาบกับใบเตย ไซรัปที่ราดทำจาก Gula Melaka ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวมาเลเซียเอาไว้เรียก Palm Sugar หรือน้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลปี๊ปนั่นแล แต่ของเขาจะสีค่อนข้างเข้ม กุหลาบถูกใส่มาเพราะว่าเป็นกลิ่นของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม LXP
หลังจากท้องอิ่มแล้วเราก็มีกิจกรรมในส่วนของการเสวนาเพื่อพัฒนาเนื้อหาที่เราจะผลิตเพื่อแชร์ให้กับผู้อ่าน และแนวโน้มในการที่จะร่วมมือกันสร้างสรรเนื้อหาใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ รวมไปถึงการอัดวีดีโอความรู้สึกที่เรามีต่อ SK-II
แล้วก็จบด้วยการถ่ายรูปเดี่ยวและกลุ่มของเหล่า Online Influceners ซึ่งรูปที่ได้มาเป็นแค่กลุ่มเล็ก ๆ นะฮับ เพราะทั้งหมดที่ไปนี่เกือบ 20 คนเลยทีเดียว
หลังจากเสร็จงานในวันนี้เราก็กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม แล้วก็เดินทางมาที่ Plaza Singapura ซึ่งเป็นห้างอารมณ์ MBK บ้านเรา ที่นี่มีร้านชื่อ Mouth Restaurant ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนบ้าน ๆ อารมณ์เหมือนเราไปกิน MK ในห้างนั่นแหล่ะ อาหารที่นี่รสค่อนข้างจัด น่าจะถูกใจลิ้นของคนไทยทีเดียว
แต่เมนูที่เราตั้งใจมากินคือสิ่งนี้ มันคือ Baked Custard Bun ซึ่งเป็นซาลาเปาลาวา เวอร์ชั้นเอาไปอบ หน้าซาลาเปาจะราดด้วยแป้งคุกกี้กรอบ ๆ ตัวแป้งด้านนอกก็นุ่มแน่นเหมือนขนมปัง ทีเด็ดคือไส้ที่อัดมาแบบทะลักล้นสะใจ รสชาติเข้มข้นแบบสุด ๆ ไข่เค็มมาแบบจัดเต็ม ใครที่ชอบรสเข้ม ๆ แนะนำอันนี้เลย เราชอบมาก อยากกินอีก ฮิ้วววววว
เป็นคืนสุดท้ายในสิงคโปร์แล้ว คืนนี้หลับฝันดีอีกเช่นเคย
วันสุดท้ายในสิงคโปร์ เราต้องฉายเดี่ยวเพราะว่าน้องเตยต้องกลับก่อนไปเคลียร์งาน เราก็เลยเดินตีอกแต๊กหาของกินไปเรื่อยเปื่อยจนนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่มาสิงคโปร์หลายรอบยังไม่เคยกิน Kaya Toast เลยนี่นะ…
ร้านที่เลือกมากินในวันนี้พอดีจำได้ว่า Grace กับ Wen เคยพูดถึง นั่นคือร้าน Ya Kun ซึ่งมีหลายสาขาในสิงคโปร์ เปิดเวปหาดุได้ แต่สาขาที่มากินในวันนี้อยู่ที่ห้าง TANGS Plaza Orchard
Kaya Toast หลายคนจะบอกว่ามันก็คือขนมปังสังขยานั่นแหล่ะ แต่มันไม่เหมือนกับที่บ้านเราหรอก เพราะว่า Kaya ของที่นี่เนื้อจะออกครีม ๆ เนียน ๆ และรสออกเป็นไข่ ๆ มากกว่า แถมยังปาดเนยมาหนาเป็นแผ่น ๆ กินเข้ากันแล้วฟินมากขนมปังก็ปิ้งแบบกรอบทั้งแผ่นด้วย
แต่ว่า Kaya Toast ร้านอื่นก็จะมีแตกต่างกันไปบ้าง ซึ่งเราจะกลับมาลองในในครั้งต่อไป
ทริปนี้ก็ยังคงเป็นทริปที่น่าประทับใจอีกเช่นเคย ต้องขอขอบคุณ SK-II Global ที่เชิญไปร่วมงานและให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ขอบคุณน้อยเตยที่คอยดูแลและตามใจเราตลอดทริป เป็นการไปทริปที่สนุกมาก ๆ เหมือนไปกับเพื่อนเลยล่ะ ทริปหน้าเราไปด้วยกันอีกนะ 😀