เมื่อช่วงเดือน กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทาง Sulwhasoo ได้ฉลองการครบรอบ 2 ปี ในประเทศไทยด้วยการจัดทริปพาสื่อมวลชนไปยังประเทศเกาหลีเพื่อไปเยือนยังแหล่งกำเนิดของแบรนด์ ซึ่งปูเป้ก็ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ได้ร่วมทริปนี้ด้วย
แม้ว่าจะไปเกาหลีมาหลายรอบแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งกับสายการบิน Korean Air ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าบริการดี อาหารใช้ได้ ระบบอำนวยความสะดวกบนเครื่องมีให้พร้อม และหนังสือ Duty Free บนเครื่องหนามาก คือขายกันจริงจังสุด ๆ
เราออกเดินทางจากกรุงเทพในตอนดึกและมาถึงสนามบินอินชอนในตอนเช้าตรู่ หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง กินแซนวิชขำ ๆ ในสนามบิน เราก็เดินทางไกลเกือบสองชั่วโมงมายัง Amore Pacific Beauty Campus ซึ่งเป็นศูนย์ใหญ่ที่มีทั้งส่วนของหน่วยพัฒนาและโรงงานผลิต
ที่นี่มีส่วนที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมได้ด้วย นั่นก็คือส่วนของ Story Garden
Story Garden เป็นการเล่าประวัติความเป็นมาของบริษัท Amore Pacific ในรูปแบบที่น่าสนใจ และไม่น่าเบื่อ มีการใช้เทคโนโลยีมัลติมีเดีย และ Interactive หลายอย่างที่ทำให้ดูตื่นตาตื่นใจ
ผู้บรรยายพูดภาษาอังฤษได้ และการแสดงหลายอย่างแม้ฟังไม่ออกก็สามารถเข้าใจได้ด้วยภาพที่สื่อออกมา
ในห้องแรกเราจะได้รับ iPad มาเพื่อทำการลงทะเบียน โดยเขาจะมีของที่ระลึกให้เราสำหรับการมาเยี่ยมชม Story Garden เป็นลิปสติกที่เราสามารถเลือกสี และสามารถสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษลงไปบนเคสของลิปสติกได้ด้วย
หลังจากลงทะเบียนเสร็จก็มีการฉายภาพยนต์อนิเมชั่นเกี่ยวกับความเป็นมาของผู้ก่อตั้งบริษัท Amore Pacific อย่าง Sung-hwan Suh ในอดีต ซึ่งทำออกมาได้สวยงามและสดใสมาก
หลังจากที่ฉายภาพยนต์เสร็จ ฉากด้านหลังก็ถูกยกขึ้น เผยให้เห็นในส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงรูปถ่าย หนังสือ และสิ่งของของผู้ก่อตั้งและคุณแม่ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขา นอกจากนี้ยังมีรูปถ่าย และผลิตภัณฑ์ในยุคแรกของ Amore Pacific อีกด้วย
ภายใน Story Garden จะเป็นการจัดแสดงแง่มุมต่าง ๆ ของบริษัทซึ่งจะเน้นไปที่การสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด ปรัชญาในการดำเนินงาน การพัฒนา และศิลปะ นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เผยให้เราได้เห็นโรงงานผลิตและไลน์บรรจุของเขาอีกด้วย (แต่ห้ามถ่ายรูปจ้า)
ในห้องก่อนจะสุดท้าย มีส่วนหนึ่งที่เราชอบมากคือการรวบรวมโฆษณาหลัก ๆ ในแต่ละยุค ตั้งแต่การก่อตั้งในปี 1945 มาจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้เห็นถึงความงามในอถดมคติที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย
เราดูแล้วทึ่งกับคนเกาหลีจริง ๆ เขาสามารถเอาประวัติของบริษัทมานำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจ ใช้เทคโนโลยีและการออกแบบการนำเสนอได้อย่างลงตัว ทำให้เราเข้าถึง และอินไปกับแบรนด์เขาได้ แถมยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อีก เจ๋งมาก ๆ
หลังจากประทับใจจาก Story Garden กันแล้วเราก็แวะมาหม่ำอาหารกลางวันกันที่ร้าน WOOMIJE ที่อยู่ไม่ไกลมากเท่าไหร่ ร้านนี้เป็นร้านอาหารหารเกาหลีแบบดั้งเดิม บรรยากาศเป็นบ้านแบบเกาหลีโบราณ มีสวนสวย ๆ และวิวด้านหลังเป็นภูเขา เข้าอารมณ์วัฒนธรรมเกาหลีม๊าก
อาหารที่เสริฟก็มีทั้งแบบดั้งเดิมอย่างไก่ตุ๋นโสมผัดเส้นอะไรสักอย่างดึ๋ง ๆ อร่อยดี เนื้อตุ๋นที่ติดรสออกหวานอันนี้เราก็ชอบ มีสลัดด้วยแต่อันนี้คงไม่ได้ดั้งเดิมเท่าไหร่เพราะว่ามีคอร์นเฟลกโรยหน้ามานิดนุง
หลังจากอิ่มแล้วเราก็เดินทางกลับมายังโซลเพื่อเช็คอินเข้าที่พัก คราวนี้เราได้พักที่ Lotte Hotel Seoul ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับย่านเมียงดงพอดีเลย!!! ห้องพักมีสิ่งอำนวจความสะดวกครบ ค่อนข้างหรูทีเดียว และมีอ่างอาบน้ำด้วย ถูกใจตรงนี้
บนโต๊ะมีการ์ดต้อนรับคณะสื่อมวลชน พร้อมกับผลิตภัณฑ์ Sulwhasoo ในกล่อง Limited Edition สวยงาม
หลังจากเก็บของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่เรารีบทำคือพยายามไปเดินทาง SiIM Card สำหรับใช้เล่นเน็ท อันที่จริงเราพลาดเองที่ไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าที่นี่เขาไม่ค่อยจะมีขาย SIM Card แบบเติมเงินซะเท่าไหร่ และพนักงานร้านสะดวกซื้อที่สนามบินก็บอกว่าซิมที่เขาขายใช้ได้กับ iPhone และ Samsung ท่านั้น ซึ่งเราฟังแล้วก็รู้สึกว่าประหลาด ประเทศนี้แกใช้มือถืออยู่สองยี่ห้อหรอ SIM Card มันเลือกยี่ห้อมือถือให้ใช้ได้ด้วยเรอะ???
สรุปว่าเราหมดเวลาไป 1 ชั่วโมงกับการวิ่งไล่หา SIM Card เติมเงิน ซึ่งไม่มีขายเลย และอีกชั่วโมงนึงไปกับการใช้ Wifi ของโรงแรมในการติดต่อพี่ชายให้ช่วยเปิดบริการ roaming ให้หน่อย กว่าจะได้เรื่องก็หมดเวลาเดินเล่น ต้องไปหม่ำอาหารเย็นแล้ว
อาหารเย็นเราลงมาทานบุฟเฟ่ต์อาหารนาชาติของ Lotte Hotel กัน ไลน์บุฟเฟ่ใหญ่มาก มีอาหารให้เลือกเยอะ และรสชาติก็ทำออกมาได้โอเค มีขาปูอลาสก้าด้วย
หลังจากอิ่มแล้วเราก็ไปอาบน้ำ และเตรียมตัวที่จะไปนวดหน้าที่ Sulwhasoo Spa ซึ่งเปิดสาขาใหม่ที่ Lotte Hotel นี่แหล่ะ แต่เนื่อจากมีความผิดพลาดเล็กน้อยเราจึงต้องไปนวดวันพรุ่งนี้แทน คืนนี้เราก็หลับเป็นตายหลังจากแทบไม่ได้นอนมาเลยบนเครื่องบิน
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรม เราก็เดินทางมายังสถานที่จัดงานฉลองครบรอบ 2 ปี ของ Sulwhasoo ในประเทศไทย ที่นี่เป็นสถานที่รับรองพิเศษซึ่งจะต้องมีการจองล่วงหน้าและส่วนใหญ่จะเปิดรับรองเฉพาะแขก VIP เท่านั้น
ภายในงานก็มีคณะผู้บริหารของ Sulwhasoo ประเทศเกาหลีมาต้อนรับ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ Sulwhasoo รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในเดือนกันยายนนี้อย่าง Luminature Essential Finisher อีกด้วย
หลังจากที่ Sulwhasoo ได้ออก First Care Serum (ปัจจุบันปรับสูตรเป็น First Care Activating Serum) มาเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกสำหรับการบำรุงผิวแล้ว ในปีก่อนทางเกาหลีได้เปิดตัว Luminature Essential Finisher ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุงผิวมาอีกด้วย
คอนเซต์ของ Luminature Essential Finisher มาจากสิ่งที่สาวชั้นสูงของเกาหลีในสมัยโบราณใช้เพื่อประทินผิวให้กระจ่างใส ซึ่งเรียกกันว่า Mi-An (มิ-อาน) ซึ่งถูกบันทึกไว้ในตำรา Gyuhap Chongseo ในสมัยราชวงศ์โชซอง ซึ่งประกอบไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด
ทาง Sulwhasoo นำคอนเซปต์นี้มาใช้ พร้อมกับพัฒนาส่วนผสมด้วยการเอาชาเขียวและโสมมาผ่านกรรมวิธี Poje ก่อนที่จะทำการสกัดเอาโพลีแซคคาไรด์มาผ่านกรรมวิธีทางชีวิวภาพจนเป็น ส่วนผสมที่มีชื่อทางการค้าว่า Locsamhyo
Luminature Essential Finisher ใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุงผิว หลังมอยซ์เจอไรเซอร์ และก่อนผลิตภัณฑ์ที่มี SPF ใด ๆ และหากต้องการลดขั้นตอนในการใช้สกินแคร์ให้เรียบง่าย หรือในช่วงอากาศร้อน ก็สามารถใช้ Luminature Essential Finisher เป็นขั้นตอนของมอยซ์เจอไรเซอร์ไปได้เลย
สรรพคุณของผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือการปกป้องผิวจากการรบกวนภายนอก ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิวชั้นนอกให้เรียบเนียน เก็บล็อคความชุ่มชื่น และยังมีส่วนผสมของสารสกัดจากสมุนไพรและโสม ที่ช่วยให้ผิวมีความเปล่งปลั่งกระจ่างใสมากขึ้น
นอกจากนี้ Luminature Essential Finisher ยังมีส่วนผสมที่ช่วยกระจายแสงขนาดเล้กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ช่วยเพิ่มการสะท้อนแสงให้ผิวดูผ่องขึ้นเล้กน้อยในทันทีด้วย
เทคนิคในการใช้ผลิตภัณฑ์จากเมคอัพอาร์ทิสต์เกาหลีคือให้ทา Luminature Essential Finisher ในปริมาณ 1 – 2 ปั้ม ทั่วใบหน้า แล้วปั้มผลิตภัณฑ์เพิ่มอีก 1 ครั้ง เพื่อทางลงบริเว๊หน้าผาก และจากขมับลากเข้ามาที่ปีกจมูก เป็นเทคนิคการไฮไลท์ผิวรูปสามเหลี่ยม เพื่อให้ผิวหน้าดูมีมิติมากขึ้น
หลังจากที่เสร็จงานแล้ว เราก็กินอาหารกลางวันกันที่นี่เลย โดยอาหารกลางวันมีทั้งหมด 12 คอร์ท เป็นอาหารแบบที่เสริฟให้พระราชาในสมัยโบราณ ซึ่งเสริฟกันในปริมาณไม่มากต่อจาน ไล่ไปเรื่อย ๆ จนครบ
เป็นอาหารเกาหลีแบบดั้งเดิมจริง ๆ บางอันก็อร่อย บางอันก็เฉย ๆ แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะเสริฟเสร็จทำให้เราเริ่มรู้สึกอิ่มก่อนที่จะถึงจานสุดท้ายด้วยซ้ำไป
หลังจากนั้นเราก็กลับไปที่โรงแรม ในขณะที่คนอื่นมีเวลาอิสระ 2 ชั่วโมง เราติดภารกิจต้องไปทดลองใช้บริการ Sulwhasoo Spa สุดหรูซึ่งใช้เวลา 90 นาที
สปาของเขามี 2 ชั้น และตกแต่งอย่างสวยงามในแบบโบราณ ๆ มีงานศิลปะวางโชว์เป็นจุด ๆ ในห้องนวดมีทั้งอ่างอาบน้ำ ห้องอาบน้ำให้เรียบร้อยสำหรับลุกค้าที่ซื้อคอร์สปรนนิบัติผิวกาย
คอร์สที่เรานวดในครั้งนี้ชื่ออะไรไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าแพงมาก นวดครั้งนึงไม่ต่ำกว่า 6 – 7 พันบาท เริ่มต้นโดยการเปลี่ยนชุดเหลือแต่กางเกงที่เขาเตรียมไว้ให้ หลังจากนั้นเราก็ไปนั่งบนเก้าอี้ เธอราปิสต์จะมาล้างเท้าให้เราด้วยน้ำโสมสกัด ขัดเท้าด้วยเกลือผสมโสม ก่อนจะพาเราไปนอนบนเตียง
การนวดเริ่มขึ้นด้วยการนอนคว่ำเพื่อทำการนวดหลังด้วยน้ำมันเพื่อคลายกล้ามเนื้อและผ่อนคลาย หลังจากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดผิวหน้าและทำการนวดหน้า ท่านวดก็คล้ายกับที่เราเคยนวดในไทยนี่แหล่ะ แต่ความพร้ิวนี่แตกต่างกันมาก เลิศสุด ๆ อ่ะ หลังจากนั้นเขาก็ผสมมาส์กอะไรเย็น ๆมาทาบนหน้าเราทิ้งไว้ แล้วก็ไปนวดแขน นวดขา เพื่อรอให้มาส์กแห้งสนิท แล้วหลังจากนั้นมาลอกมาส์กแล้วก็บำรุงผิวเพื่อเป็นการจบขั้นตอนการนวด
ต้องบอกว่ามันดีมากอ่ะ คือช่วงที่นวดหลังอาจจะแอบเจ็บนิดนึงเพราะเส้นเราตึงมาก แต่ว่าหลังจากนั้นก็หลับเป็นช่วง ๆ พอนวดเสร็จรู้สึกตัวเบา โล่ง และหน้าก็เด้งทันที
อาหารเย็นในคืนนี้เรามากินกันที่ร้าน ELBON บนถนนกาโรซูกิล ร้านนี้เป็นร้านออกสไตล์อิลาเลี่ยน มีฟิวชันหน่อย ๆ อาหารรสชาติใช้ได้เลยทีเดียว ที่ชอบมากก็คงจะเป็นซุปครีมมะเขือเทศที่มีเจลลี่รสเปรี้ยวอมหวานอยู่ข้างในนั้น มันให้ทั้งรสและสัมผัสที่แปลกใหม่ดีในการกินซุป พาสต้าหมึกดำกับหอยเป่าฮื้อก็ใช้ได้นะ
หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มและกินอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย เรามีเวลาอีกประมาณชั่วโมงนิด ๆ ในการเดินช้อปปิ้งย่านเมียงดงก่อนที่จะต้องเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม ก็แวะไปซื้อขนมกับเครื่องสำอางฝากเพื่อน ๆ นิดหน่อย แล้วก็สำรวจตลาดว่ามีผลิตภัณฑ์อะไรแปลก ๆ มาบ้าง
ส่วนตัวแอบอยากได้ตุ๊กตา LINE Friend กับโมเดลกระดาษของ MOMOT แต่ไม่รู้ว่าซื้อมาแล้วจะเก็บไ้ว้ที่ไหน ก็เลยไม่ได้ซื้อกลับมา…
อาหารมื้อสุดท้ายในเกาหลี ทางผู้บริหารพาเรามาเลี้ยงที่ร้าน Si Wha Dam ในย่ายอินซาดง ซึ่งก็เป็นร้านแบบเกาหลี๊เกาหลี ที่เสริฟอาการแบบดั้งเดิม และแอบมีฟิวชั่นบ้างพอหอมปากหอมคอ
ต้องบอกว่าร้านอาหารทุกร้านที่เขาพามาในทริปนี้ล้วนเป็นร้านที่มีชื่อ และส่วนใหญ่ก็ทำให้เราได้ซึมซาบวัฒนธรรมและศิลปะของประเทศนี้ไปด้วย ที่สำคัญคือมัน Healthy ม๊ากกกก ผักเยอะทุกมื้อเลย
และการมาเกาหลีจะไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าเราไม่ได้แวะกินขนมที่ร้าน O’Sulloc ซึ่งก็อยู่ในย่านอินซาดงพอดี ช่วงที่ไปเป็นช่วงปลาย ๆ ซัมเมอร์เขามีเมนูใหม่ ๆ เป็นบิงซูกับซิฟครีมด้วย แต่ว่าชามใหญ่มาก กินไม่ไหว เสียดายเป็นที่สุด
หลังจากนั้นเราก็เดินทางมายังสนามบินอินชอนเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านกัน ทริปนี้แทบไม่ได้เสียงเงินเลยเพราะไม่มีเวลาไปเดินช็อปเท่าไหร่ ก็เลยทำการเสียเงินพอเป็นพิธีกับ Duty Free ในสนามบิน แต่ก็ไม่มาก นับได้ว่าเป็นทริปเกาหลีที่เราหมดเงินไปน้อยที่สุดก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมาหลายรอบแล้ว ไม่บ้าขนซื้อเหมือนครั้งแรก ๆ ที่เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด (แต่ก็ไม่ได้ใช้ ต้องเอาไปแจกชาวบ้าน)
กลับมาถึงบ้านโดยปลอดภัย ก็ต้องรีบระเบิดกระเป๋าออกมา เตรียมแพ็คกระเป๋าบินไปเซี่ยงไฮ้ต่อจ้า สรุปของที่หอบกลับมาจากเกาหลีในครั้งนี้ก็มีเท่าที่เห็นนี่แหล่ะ ไอเทมไหนแจ่มเจิดจะเอามาบอกกันอีกทีนะจ๊ะ
สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณ Sulwhasoo ประเทศไหทยที่ให้โอกาสปูเป้ได้ไปสัมผัสประสบการณ์แสนวิเศษที่เกาหลี แม้จะไปมาหลายครั้งแล้วแต่ในครั้งนี้ก็ได้พบเห็นและได้สัมผัสกับสิ่งที่แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ประทับใจมาก ๆ ครับ