ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์ประเภท Cleansing Water หรือ Micellar Water คงจะไม่มีใครไม่นึกถึงแบรนด์ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้เป็นกระแสนิยมไปทั่วโลกอย่าง Bioderma อย่างแน่นอน แต่ก็แอบสารภาพตามตรงว่าเรายังไม่เคยลองผลิตภัณฑ์กลุ่ม Micellar Water ของเขาครบทุกสูตรเลย จนกระทั่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี่แหล่ะ

สำหรับใครที่ไม่รู้จักว่า Micellar Water  คืออะไร และทำความสะอาดเมคอัพและสิ่งสกปรกได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่าเห็นน้ำใส ๆ แบบนี้แต่ใน Micellar Water นั้นเต็มไปด้วยโมเลกุลของ Surfactant ชนิดที่อ่อนโยนกับผิวเป็นพิเศษอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด และเมื่อลูบลงไปบนผิวโมเลกุลส่วนหางของ Surfactant ที่ชอบน้ำมันก็จะไปจับกับเมคอัพและสิ่งสกปรกที่ไม่ละลายน้ำอื่น ๆให้หลุดออกมาผิวและติดไปกับสำลีนั่นเอง

Picture Source : https://www.theecowell.com/blog/surfactant-basics

หลักการทำงานในการทำความสะอาดของ Surfactant นั้นโดยหลักการแล้วเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบเจล โฟม หรือแม้แต่พวก  Cleasning Oil หรือ  Cleasning Balm ที่แม้จะใช้คุณสมบัติของน้ำมันในการละลายเมคอัพและสิ่งสกปรกให้หลุดออกมาและเมื่อเราเอาน้ำพรมนวดตามไป เจ้า Surfactant ก็จะรวมน้ำมันและเมคอัพเข้ากับน้ำให้กลายเป็นน้ำนม

แต่การถือกำเนิดขึ้นของ Micellar Water และเหตุผลที่มันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เป็นเพราะว่ามันนำเสนอรูปแบบการใช้งานที่สะดวก และเหมาะกับสภาพผิวที่หลากหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นแบบเมืองไทย คนชอบอะไรที่ใช้แล้วรู้สึกไม่ทิ้งความลื่นมันเอาไว้บนผิว ซึ่งเป็นจุดแข็งที่หลายคนถูกใจผลิตภัณฑ์ Micellar Water เป็นพิเศษ

จริง ๆ Micellar Water ไม่ได้ทำมาเพื่อสำหรับคนแต่งหน้าอย่างเดียว คนที่ไม่แต่งหน้าก็ใช้ได้ ส่วนตัวปูเป้เองแม้ว่าจะไม่ใช่คนที่แต่งหน้าหรือใช้เมคอัพ แต่ก็จะใช้ Micellar Water เช็ดทำความสะอาดพวกครีมกันแดดที่ติดทน ฝุ่นมลภาวะต่างๆ เพื่อความมั่นใจว่าผิวเราจะสะอาดพร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป หรือสำหรับในกรณีที่การการล้างหน้าด้วยวิธีปกติด้วยโฟมหรือเจลล้างหน้ากับน้ำนั้นไม่สามารถที่จะทำได้สะดวก (เช่นการไปตั้งแคมป์ การไปอยู่ในที่ ๆ ไม่มีห้องน้ำหรือแหล่งน้ำที่สะอาดพอ) ก็สามารถที่จะใช้ Micellar Water เป็นตัวเช็ดทำความสะอาดผิวได้

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กลุ่ม Micellar Water ของ Bioderma เวชสำอางชั้นนำจากฝรั่งเศสที่มีจำหน่ายในประเทศไทยมีทั้งหมด 3 แบบ ซึ่งแตกต่างสำหรับความต้องการของผิวที่ต่างกัน แต่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาด้วยหลักการของ  Ecobiology ซึ่งมองการดูแลผิวแบบองค์รวมและสอดประสานหรือเลียนแบบไปกับกลไกการทำงานของผิว การสร้างสูตรผลิตภัณฑ์ที่เคารพโครงสร้างทางชีวภาพของผิวตามธรรมชาติจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยกับผู้ใช้มากขึ้น

สูตรแรกที่ปูเป้เคยใช้และน่าจะเป็นตัวแรกของใครอีกหลายคนคือ Bioderma : Sensibio H2O ซึ่งเป็นกลุ่มสำหรับคนที่มีผิวอ่อนแอและมีปัญหาระคายเคืองง่ายมากเป็นพิเศษ สูตรนี้จะมีส่วนผสมที่เรียบง่ายที่สุด โดยใช้ surfactant ที่อ่อนโยนและคล้ายกับลิพิดของเซลล์ผิว เสริมเข้าไปกับสารกลุ่มน้ำตาลอย่าง Rhamnose และ Mannitol ที่ลดการระคายเคือง ต้านอนุมูลอิสระ ส่วนผสมของ Xylitol ก็ช่วยเสริมเรื่องความชุ่มชื้นได้

สูตรนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม จึงเป็นสูตรที่อ่อนโยนที่สุดของ Bioderma และเหมาะกับผิวบอบบางระคายเคืองง่ายรวมไปถึงสภาพผิวอื่น ทั่วไปด้วย

Ingredients : AQUA/WATER/EAU, PEG-6 CAPRYLIC/CAPRIC GLYCERIDES, FRUCTOOLIGOSACCHARIDES, MANNITOL, XYLITOL, RHAMNOSE, CUCUMIS SATIVUS (CUCUMBER) FRUIT EXTRACT, PROPYLENE GLYCOL, CETRIMONIUM BROMIDE, DISODIUM EDTA. 

สำหรับสูตร Bioderma : Sebium H2O ซึ่งเป็นสูตรสำหรับผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่าย จะมีส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มนี้อย่างสารสกัดใบแปะก๊วย GINKGO BILOBA LEAF EXTRACT ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ มาพร้อมกับ ZINC GLUCONATE และ COPPER SULFATE เพื่อเสริมการต้านจุลชีพที่ทำให้เกิดการอักเสบของสิว (สีฟ้าของผลิตภัณฑ์มาจากส่วนผสม COPPER SULFATE) และยังช่วยควบคุมความมันอีกด้วย

สูตรนี้จะมีความบางเบาที่สุดและเหมาะกับคนที่มีผิวมัน มีปัญหาสิว หรือปัญหาผิวที่มีการอักเสบ ตัวนี้มีส่วนผสมของน้ำหอมแต่เป็นน้ำหอมที่ปราศจากหรือมีปริมาณ common fragrance allergen 26 ชนิดต่ำกว่าปริมาณที่กำหนดตามกฏหมายของ EU

Ingredients : AQUA/WATER/EAU, PEG-6 CAPRYLIC/CAPRIC GLYCERIDES, SODIUM CITRATE, ZINC GLUCONATE, COPPER SULFATE, GINKGO BILOBA LEAF EXTRACT, MANNITOL, XYLITOL, RHAMNOSE, FRUCTOOLIGOSACCHARIDES, PROPYLENE GLYCOL, CITRIC ACID, DISODIUM EDTA, CETRIMONIUM BROMIDE, FRAGRANCE (PARFUM). 

สูตร Bioderma : Hydrabio H2O เป็นสูตรที่ปูเป้พึ่งได้ลองใช้และพบว่าสภาพผิวของตัวเองในตอนนี้เหมาะกับตัวนี้เพราะว่าเป็นสูตรที่ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นผิวมากที่สุดในบรรดาทั้ง 3 สูตร โดยมีส่วนผสมของ  Glycerin ซึ่งให้ควาชุ่มชื้นและมีข้อมูลว่าทำงานร่วมกับ Xylitol ได้เป็นอย่างดี และมีส่วนผสมของ Niacinamide ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิว และยังมี BRASSICA CAMPESTRIS (RAPESEED) STEROLS ที่มีโครงสร้างคล้ายคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ชั้นลิพิดของผิว

สูตรนี้จึงเหมาะกับคนที่มีผิวขาดน้ำ ซึ่งอาจจะเป็นคนที่ผิวแห้ง หรือผิวมันแต่ความชุ่มชื้นในผิวต่ำก็ได้  สูตรนี้มีส่วนผสมของน้ำหอมที่ปราศจากหรือมีปริมาณ common fragrance allergen 26 ชนิดต่ำกว่าปริมาณที่กำหนดตามกฏหมายของ EU เช่นเดียวกัน

Ingredients : AQUA/WATER/EAU, GLYCERIN, PEG-6 CAPRYLIC/CAPRIC GLYCERIDES, DISODIUM EDTA, MANNITOL, XYLITOL, CETRIMONIUM BROMIDE, RHAMNOSE, NIACINAMIDE, HEXYLDECANOL, SODIUM HYDROXIDE, PYRUS MALUS (APPLE) SEED EXTRACT, BRASSICA CAMPESTRIS (RAPESEED) STEROLS, TOCOPHEROL, FRAGRANCE (PARFUM).

ถ้าให้สรุปง่าย แล้วนั้น สำหรับทุกสภาพผิวรวมไปถึงคนที่มีผิวระคายเคืองง่าย และชอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีกลิ่นอะไรเลย Bioderma : Sensibio H2O คือตัวเลือกที่ไม่ว่าใคร ๆ ก็ใช้ได้

แต่สำหรับคนที่มีปัญหาผิวที่เจาะจงมากขึ้น หรือต้องการเสริมเรื่องการลดน้ำมันส่วนเกิน และเสริมการลดการอักเสบจากปัญหาสิวและอื่น ตัว Bioderma : Sebium H2O คือตัวเลือกที่เหมาะมากกว่า

สำหรับคนที่รู้สึกว่าอยากเสริมหรือชดเชยเรื่องความชุ่มชื้น เป็นคนที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ ทำงานในห้องปรับอากาศเป็นเวลานาน Bioderma : Hydrabio H2O เป็นสูตรที่น่าสนใจ

สำหรับคนที่พึ่งเริ่มลองมาใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท Cleansing Water หรือ Micellar Water นั้นมีสิ่งสำคัญที่ควรทราบเพื่อให้การใช้ผลิตภัณฑ์ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและอ่อนโยนกับผิว

1. ปริมาณต้องใช้ผลิตภัณฑ์ชุบสำลีจนชุ่มแต่ไม่ถึงกับถือแล้วหยดแหมะ แต่ก็ต้องไม่น้อยไปจนทำให้สำลีสากบาดผิว ส่วนตัวปูเป้ชอบขวดแบบฝาปั้มแบบนี้มากเพราะว่ากดใช้ได้สะดวกและคุมปริมาณในการใช้ได้แน่นอนกว่า

2. วิธีใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะต้องทำการเช็ดซ้ำจนสำลีเป็นสีขาว คือสัญญาณที่บอกว่าเราทำความสะอาดผิวได้หมดจดแล้ว แนะนำให้ใช้ในลักษณะของการลูบสำลีผ่านผิว หลีกเลี่ยงการกดหรือถูสำลี เพราะหลักการในการทำความสะอาดของ Micellar Water  นั้น สำลีเป็นเพียงตัวอุ้มสาร Surfactant มาจับและดึงให้สิ่งสกปรกและเมคอัพลอยออกจากผิวมาติดกับสำลีเฉย ๆ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้แรงในการเช็ดถูที่รุนแรงซึ่งจะส่งผลให้ผิวระคายเคืองตามมาได้นั่นเอง

3. ต้องล้างซ้ำหรือไม่? – ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะถูกออกแบบมาให้ไม่ต้องล้างออกหรือล้างน้ำซ้ำ แต่ส่วนตัวปูเป้อย่างน้อยต้องล้างน้ำซ้ำสัก 1 ครั้งจึงจะรู้สึกว่าได้ผลที่ดีกับผิวตัวเองที่สุด 

ที่สำคัญที่สุดคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ โดยอาศัยการดูสัญลักษณ์สติกเกอร์ QR Code ของ NAOS ก็จะมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นของแท้จากฝรั่งเศสและมีคุณภาพไว้วางใจได้

สภาพผิวของเราเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จากปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้องตอบโจทย์กับสภาพผิวหรือปัญหาผิวของเราในตอนนั้น ๆ เราจึงสามารถใช้สลับสูตรกันตามสภาพผิวในแต่ละช่วงหรือตามสภาพแวดล้อมในตอนนั้น ก็หวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะช่วยให้ทุกคนสามารถเลือกและใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Micellar Water ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนะฮะ