เหล่าสาวกสกินแคร์ต้องรู้จักกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Advance Night Repair กันอย่างแน่นอนและน่าจะต้องเคยได้ยินผ่านหูหรืออ่านผ่านตากันมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องของ นาฬิกาชีวภาพ (Cicadian Rhythm) ของร่างกายและของผิวที่จะต้องเดินไปตามจังหวะจึงทำให้เรามีผิวที่แข็งแรงสวยงาม และในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Estee Lauder : Advanced Night Repair Eye Supercharged Complex Synchronized Recovery ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจว่าปัจจุบันเราต้องเจอกับมลภาวะหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะมลภาวะทางแสงในยุคดิจิตอลอย่าแสงสีฟ้าที่ทาง Estee Lauder ค้นพบเป็นครั้งแรกว่าเซลล์ผิวของเราสามารถรับรู้และได้รับผลกระทบโดยตรงจนทำให้สมดุลของวงจรเวลาของผิวเสียไปได้เลยล่ะ
เมื่อปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาปูเป้ได้เดินทางไปเซี่ยงไฮ้เพื่อร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด Estee Lauder : Advanced Night Repair Eye Supercharged Complex Syncronized Recovery โดยในงานนี้สำหรับปูเป้ไฮไลท์อยู่ที่วิทยากรที่มาบรรยายในงานอย่าง Prof. Yung Hou Wong ผู้เชี่ยวชาญด้าน Molecular Biology จากมหาวิทยาลัยสิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งฮ่องกง และ Dr. Nadine Penodet รองศาสตราจารย์ด้าน Molecular & Chemical Engineer และเป็นรองประธานด้านการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับชีววิทยาของผิวและสารออกฤิทธิ์ของกลุ่มบริษัท Estee Lauder อีกด้วย ทั้งสองท่านมีผลงานวิจัยมากมายตีพิมพ์ ซึ่งคนในวงการเครื่องสำอางจะต้องเคยอ่านผ่านตากันมาบ้างอย่างแน่นอน จึงขอนำข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนาฬิกาทางชีวภาพของผิว รวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีของตัวผลิตภัณฑ์มาให้อ่านกันจ้า
หัวข้อการบรรยายในงานนี้จาก Prof. Wong จึงเป็นการสรุปอย่างเข้าใจง่ายว่าร่างกายของคนเรานั้นมีวงจรนาฬิกาชีวภาพ Circadian Rhythm ที่คอยควบคุมการทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลาของวันจนครบวงจน 24 ชั่วโมง แรกเริ่มเดิมทีเราพบว่าร่างกายมีนาฬิกาศูนย์กลางหลักหรือ Master Clock ของร่างกายชื่อว่า Suprachiasmatic Nucleus หรือ SCN อยู่ที่สมองส่วน Hypothalamus และแม้ว่าต่อมาเราก็พบว่าจริง ๆ แล้วในเซลล์ส่วนใหญ่ในแต่ละอวัยวะของร่างกายนั้นต่างก็มีนาฬิกาและตารางการทำงานของตัวเอง โดยมีเจ้า SCN เป็นหมือนกับ Master Synchronizer ในการที่จะคอยจัดการให้แต่ละส่วนทำงานอย่างสอดประสานกัน (Syncronized) เหมือนกับวาทยากรที่คอยกำกับให้เครื่องดนตรีบรรเลงอย่างเป็นระบบระเบียบจนเป็นท่วงทำมองที่งดงาม
วงจรนาฬิกาชีวภาพที่วนลูปนี้มีกลไกในการทำงานผ่านการแสดงออกของยีนและการสร้างโปรตีนในเซลล์ของเรา โดยมีโปรตีนสำคัญอย่าง CLOCK (Circadian Locomotor Output Cycles Kaput) และ BMAL1 (Brain and muscle Arnt-like protein-1) ที่จับคู่กันเข้าไปในนิวเคลียส์เพื่อไปเปิดการทำงานของ Period Gene ให้ผลิตโปรตีน PER กับ Cryptochrome Gene ให้ผลิตโปรตีน CRY เมื่อโปรตีน PER และ CRY ออกมานอกนิวเคลียสมันก็จะจับคู่กันและเข้าไปขัดขวางการทำงานของคู่โปรตีน CLOCK และ BMAL1 ส่งผลให้การแสดงออกของ Period Gene และ Cryptochrome Gene ถูกปิด และเมื่อภายในเซลล์มีโปรตีน PER และ CRY น้อยลง และคู่ขิงโปรตีนสองตัวนี้เสื่อมสลายไป ก็ไม่มีอะไรไปขัดขวางการทำงานของ คู่โปรตีน CLOCK และ BMAL1 อีก การทำงานของ Period Gene และ Cryptochrome Gene จึงถูกเปิดอีกครั้ง วงจรนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อย ๆ และนี่คือหลักการทำงานของวงจรนาฬิกาชีวภาพของเรา ผู้ที่ค้นพบและสามารถอธิบายกลไกการทำงานของนาฬิกาชีวภาพนี้ก็ได้รับรางวัลโนเบลไปเป็นที่เรียบร้อยในปี 2017 ที่ผ่านมานี้เองล่ะ
วงจรทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง ซึ่งการกลายพันธุ์ของยีนหรือความบกพร่องของการแสดงออกของยีนอาจทำให้วงจรนี้ใช้เวลาสั้นลง ยาวขึ้น หรือเสียไป ความผิดปกติในการนอนหลับเรื้อรังอาจเป็นผลมาจากการแสดงออกที่ผิดปกติหรือความบกพร่องในยีนสั่งงานเหล่านี้ก็เป็นได้ ความเข้าใจในการทำงานของนาฬิกาชีวภาพนี้ทำให้เราได้เข้าใจการทำงานของร่างกายและความเกี่ยวข้องระหว่างสิ่งแวดล้อมรอบตัวต่อการทำงานของนาฬิกาชีวภาพและสุขภาพของเรา
การหมุนของโลกทำให้เกิดวัฏจักรของกลางวันและกลางคืน ช่วงเวลาของแสงสว่างและความมืด สิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์ก็วิวัฒนาการมากับวัฏจักรนี้แสงจึงมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของยีนที่มีผลต่อวงจรนาฬิกาชีวภาพผ่านตัวรับต่าง ๆ ในเซลล์ ร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ ของเราจึงมีการตอบสนองและการทำงานมากน้อยในแต่ละช่วงของที่ต่างกันไปโดยการศึกษาพบว่าเราใช้ชีวิตตามวัฏจักรของกลางวันและกลางคืนตามธรรมชาติ ช่วงเวลา 6 โมงเช้าที่ร่างกายเริ่มรับแสงจะมีการหลังฮอร์โน Cortisol เพื่อให้ร่างกายตื่นตัว ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่ร่างกายตื่นตัวที่สุดซึ่งจะเหมาะกับการออกกำลังกาย และเวลา 3 ทุ่มจะเริ่มการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งเตรียมให้สู่การนอนหลับและการซ่อมแซม ทว่าเมื่อมนุษย์มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและชีวิตของเราไม่ได้อยูในความมืดหรือสว่างตามธรรมชาติอีกแล้ว เรามีแสงจากหลอดไฟ จากจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินที่เปลี่ยน Time-Zone ไป และนั่นก็ส่งผลกระทบกับวงจรนาฬิกาในเซลล์ของเรานี่แหล่ะ
สิ่งที่เราคนทั่วไปน่าจะเคยได้ยินกันบ่อยที่สุดก็คืออิทธิพลของแสง Visible Light โดยเฉพาะแสงสีฟ้าที่ม่านตาหรือ Retina ของเราสามารับและส่งสัญญาณไปยัง Suprachiasmatic Nucleus หรือ SCN และมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมน Melatonin ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการนอนหลับ และการทำงานของเซลล์ในร่างกาย หรือแม้แต่คนที่ทำงานเป็นกะหรือทำงานบนเครื่องบินจะเสี่ยงต่อปัญหาทางสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บมากกว่า การทำความเข้าใจถึงผลกระทบของแสงที่มีต่อการแสดงออกของยีนที่ควบคุมนาฬิกาของร่างกายเราจึงมีความสำคัญในการแก้ไขหรือช่วยให้เราใช้ชีวิตร่วมกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
ในส่วนของการสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัวกับ Dr. Nadine Penodet ปูเป้เจาะจงคำถามไปที่ผลกระทบเกี่ยวกับผิวพรรณของเรามากกว่า ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าผิวก็มีวงจรในแต่ละช่วงของวันที่ต่างกันไป อย่างในตอนกลางวันจะเป็นช่วงที่ผิวจะมีการยึดเกาะกันแน่นที่สุดและมีการแบ่งตัวองเซลล์ผิวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงกลางคืนที่มีการแบ่งตัวของเซลล์ผิวมากที่สุด เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนและซ่อมแซมจึงทำให้ยามกลางคืนนั้นเวลาเราทาอะไรลงไปก็จะแทรกผ่านไปได้มากกว่าแต่ในขณะเดียวกันก็สูญเสียความชุ่มชื้นได้มากกว่าตอนกลางวันด้วยเช่นกัน
การศึกษาของ Estee Lauder ยังชี้ว่าแสงสีฟ้านั้นมีผลกระทบกับการทำงานของนาฬิกาชีวภาพของผิวโดยตรงจากการทดสอบด้วยการนำเซลล์ผิวมาอาบด้วยแสงสีฟ้าและตรวจพบว่าการเซลล์ผิวมีการผลิตโปรตีน PER น้อยลงซึ่งส่งผลต่อวงจรนาฬิกาทางชีวภาพของเซลล์ผิวเอง ซึ่งตรงนี้เขาก็พบว่าเทคโนโลยี Chronolux CB™ สามารถเข้าไปลดผลกระทบจากแสงสีฟ้าที่มีต่อเซลล์ผิวได้ เขาจึงเคลมว่าทำให้วงจรการทำงานของผิวสามารถทำงานสอดประสานกันได้ตามปกตินั่นเองล่ะ
ทีนี้คำถามเพิ่มเติมที่ปูเป้ถามไปนอกจากนั้นก็คือว่า คือปัจจุบันเราก็มีการนำพวกแสงต่าง ๆ มาเพื่อใช้ประโยชน์ในการบำรุงหรือแก้ปัญหาผิว อย่างเจ้าแสงสีฟ้าเนี่ยก็มีใช้กันเพื่อการลดปัญหาสิวด้วยนะ งั้นแบบนี้แปลว่าเราไม่ควรใช้มันในตอนกลางคืนน่ะสิ Dr. Penodet ก็บอกว่าใช่เลย คุณควรใช้ในตอนกลางวัน และมันจะดีกว่ามากด้วย ที่สำคัญอย่าลืมใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระไปด้วยเพราะว่าแสงสีฟ้านั้นก็ก่ออนุมูลอิสระได้ หรือถ้าจะใช้ในตอนกลางคืนก็ควรใช้ก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง และในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงก่อนที่จะเข้านอนนี้เป็นไปได้ควรที่จะลดการสัมผัสกับแสงสีฟ้า ไฟในบ้านควรเป็นสีโทนอุ่นสบายตา และนอนในห้องที่มืดสนิทอีกด้วย
Dr. Penodet ยังเป็นผู้หนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับ Epigenetics ซึ่งเป็นหัวข้อการศึกษาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการแสดงออกยีนของมนุษย์ และยังได้อธิบายต่อไปอีกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เราใช้นั้นล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของ Epigenetics เพราะปัจจุบันเรารู้แล้วว่าสภาพแวดล้อมรอบตวัเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมลภาวะ รังสี UV ความร้อน แสง ความเครียด โลหะหนัก ควันบุหรี่ ต่างส่งผลกับการแสดงออก การเปิด การปิดการทำงานของยีนในร่างกายเรา เราไม่สามาถไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแพลงพันธุกรรมหรือยีนของเราได้ แต่สิ่งแวดล้อม การกระทำ การใช้ชีวิต รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับผิวหนังนั้นมีผลโดยตรงกับการทำงานของร่างกายและกับผิวของเรา คุณเจอแดดมาก ๆ แล้วไปกระตุ้นยีนที่ผลิตเอนไซม์ทำลายคอลลาเจนทำให้ผิวแก่ใช่ไหม? คุณทากันแดด คุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดผลกระทบของรังสี UV คุณก็ลดความเสียหายที่มีต่อเซลล์และไปลดการแสดงออกของยีนที่จะสร้างโปรตีนที่ทำลายคอลลาเจน ผลก็คือผิวของคุณก็จะไม่แก่ก่อนวัย นั่นแหล่ะคือ Epigenetics มันอยู่รอบตัวเรา เพียงแต่มันไม่ถูกสื่อสาร ดังนั้นการที่เราเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดี ที่เหมาะกับผิว ก็เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับผิวนั่นเอง
ปูเป้ต้องขอบคุณทาง Estee Lauder ที่ให้โอกาสได้พูดคุยกับหนึ่งในคนสำคัญของวงการเครื่องสำอางอย่างใกล้ชิดด้วยนะฮะ
(Source : Molecular components of the mammalian circadian clock, Biological Rhythms in the Skin)
หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากงานเปิดตัวก็มีข้อมูลมากขึ้นที่จะมาพูดในแง่ของส่วนประกอบแล้ว โดย Estee Lauder : Advanced Night Repair Eye Supercharged Complex Synchronized Recovery (15ml / 2700 Baht) สูตรใหม่นี้มีการปรับในแง่ของส่วนผสมบางอย่าง แต่ยังคงยืนพื้นอยู่ที่เทคโนโลยี Chronolux CB™ ซึ่งประกอบไปด้วย Tripeptide-32 ซึ่งเคลมเรื่องโปรตีน PER-1 ในการช่วยผิวให้ทำงานตามจังหวะที่ควรเป็น (เป็นที่มาของคำว่า Synchronized บนชื่อผลิตภัณฑ์) กับ Yeast Extract และ Hydrolyzed Algin ซึ่งจากการหาข้อมูลการจดสิทธิบัตรของ Estee Lauder ก็มีการเคลมเอาไว้ว่าเป็น Autophagy Activator และ Proteosome Activator ในการเสริมการขจัดสิ่งที่เซลล์ไม่ต้องการออกไปเพื่อให้เซลล์ทำงานได้ตามปกติ ซึ่งเจ้า Chronolux CB™ ที่ถูกยกขึ้นมาว่าช่วยลดผลกระทบจากแสงสีฟ้าในอายเจลสูตรใหม่นี้ก็มีอยู่ในผลิตภัณฑ์กลุ่ม Advanced Night Repair หลายตัวตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา รวมไปถึงสูตรก่อนหน้าของอายเจลนี้ด้วย
ดังนั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในสูตรใหม่นี้จริง ๆ คงจะเป็นการเคลมว่ามีส่วนผสมของสารบำรุงเข้มข้นขึ้น 10 เท่า ซึ่งทาง Dr. Penodet ให้ข้อมูลมาว่าส่วนผสมที่เข้มข้นขึ้นนี้เน้นไปที่การต้านการอักเสบเนื่องจากผิวรอบดวงตาบอบบางและไวต่อการระคายเคืองภายนอก เราก็ไม่แน่ใจว่าส่วนผสมที่ว่าเข้มข้น 10 เท่านั้นคือตัวไหนบ้าง แต่ตัวที่เดาเอาไว้ก็คงจะหนีไม่พ้นสารสกัดจากดอกคาโมไมล์ Anthemis Nobilis (Chamomile) Flower Extract ที่มีคุณสมบัติในการต้านการระคายเคืองนี่แหล่ะ และถ้าเดาจากสิทธิบัตรที่เขาจดไว้เยอะแยะก็อาจจะรวมไปถึง Poria Cocos Sclerotium Extract อีกด้วย
ส่วนผสมที่ถูกเปลี่ยนและใส่มาใหม่ในสูตรนี้เน้นในเรื่องของการเสริมความแข็งแรงของผิวชั้นนอกและยกระดับความชุ่มชื้นมากขึ้น ซึ่งจากการค้นสิทธิบัตรพบว่าเขาใช้ส่วนผสมที่มีชื่อว่า Aquacell จากบริษัท BARNET [Water & Glycerin & Citrullus vulgaris (Watermelon) Fruit Extract & Pyrus malus (Apple) Fruit Extract & Lens Esculenta (Lentil) Fruit Extract & Sodium PCA & Sodium Lactate] โดยเคลมว่าในสารสกัดจากเปลือกแตงโมมีสาร Citrulline ที่ช่วยในการทำงานของ Filaggrin ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรตีนสำคัญของ NMF ที่ควบคุมความชุ่มชื้นในผิวตามธรรมชาติ และสารสกัดอื่น ๆ ก็อุดมไปด้วยแซคคาไรด์ที่ให้ความชุ่มชื้น
นอกนั้นก็จะเป็นส่วนผสมซึ่งเคลมถึงคุณสมบัติในการฟื้นบำรุงให้ผิวแข็งแรงขึ้นหรือลดเลือนริ้วรอยและต่อต้านผลกระทบของผลภาวะ ไม่ว่าจะเป็น Bifida Ferment Lysate กับLactobacillus Ferment (Adasomes™) กับ Artemia Extract (GP4G) และอีกสารพัดสารให้ความชุ่มชื้นและสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม มีส่วนผสมพอกเมนต์แร่ Iron Oxide ในการแต่งสีเล็กน้อย
(Source : Method and compositions for improving selective catabolysis in cells of keratin surfaces, Methods and compositions for improving the appearance of skin, Methods and compositions for treating skin to resolve inflammation and screening for actives that stimulate pro-resolution pathways, Methods And Compositions For Stimulating Collagen Synthesis In Skin Cells.)
Ingredients : Methyl Trimethicone , Water\Aqua\Eau , Bifida Ferment Lysate , Dimethicone , Dimethicone/Vinyl Dimethicone Crosspolymer , Propanediol , Petrolatum , Sucrose , Algae Extract , Hypnea Musciformis (Algae) Extract , Acrylamide/Sodium Acryloyldimethyltaurate Copolymer , Butylene Glycol , Yeast Extract\Faex\Extrait De Levure , Tripeptide-32 , Sodium Hyaluronate , Lactobacillus Ferment , Sodium RNA , Citrullus Vulgaris (Watermelon) Fruit Extract , Poria Cocos Sclerotium Extract , Lens Esculenta (Lentil) Fruit Extract , Pyrus Malus (Apple) Fruit Extract , Anthemis Nobilis (Chamomile) Flower Extract , Narcissus Tazetta Bulb Extract , Caffeine , Sodium PCA , Tocopheryl Acetate , Phytosphingosine , Trehalose , Glycine Soja (Soybean) Seed Extract , Isopropyl Jojobate , Betula Alba (Birch) Extract , PEG/PPG-18/18 Dimethicone , Ethylhexylglycerin , Gelidiella Acerosa Extract , Tromethamine , Polysorbate 80 , Artemia Extract , Hydrolyzed Algin , Isohexadecane , Jojoba Alcohol , Jojoba Esters , Glycerin , Acrylates/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer , Hydrogenated Lecithin , Polysorbate 40 , Caprylyl Glycol , Sodium Lactate , Lecithin , BHT , Potassium Sorbate , Phenoxyethanol , Iron Oxides (CI 77491) , Iron Oxides (CI 77492) <ILN45118>
เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเจลครีมที่เย็นผิวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะดูเหมือนเป็นเนื้อเจลแต่ว่ามันเคลือบผิวดีทีเดียวในการช่วยเก็บล็อคความชุ่มชื้น แต่จะเซ็ทตัวแบบดูไม่มันวาวและเหมือนจะมีเอฟเฟคที่ช่วยเบลอพื้นผิวให้ดูนวลเนียนขึ้นในทันทีด้วย
ปูเป้ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มาได้ 2 เดือนซึ่งก็เหลือประมาณ 1/4 ของกระปุกแล้ว ดังนั้นหนึ่งกระปุกน่าจะอยู่ได้เกือบ 3 เดือน บวกลบเล็อกน้อยถ้าใช้ทุกวันเป็นประจำเช้า-กลางคืน โดยการใช้ไม่ได้พบปัญหาอะไร รู้สึกว่าผิวรอบดวงตามีความชุ่มชื้นดี ในช่วงที่ทดลองใช้นั้นส่วนตัวมีการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างพังไปหน่อย คือติดดูซีรี่ยส์ใน Netflix และติดเกม ทำให้นอนไม่เป็นเวลา บางวันนอนตี 2 บางวันตี 4 บางวันก็นอนตอนเช้าของอีกวันไปเลย แต่ก็รู้สึกว่าผิวรอบดวงตาไม่ได้ทรุดโทรมไปมากนัก ยังสามารถที่ประคองสภาพเอาไว้ได้นะ ปูเป้จึงไม่สามารถบอกได้ว่าในสภาพการใช้ปกติมันจะช่วยให้ปัญหารอยแพนด้าใต้ตาดีขึ้นแค่ไหน บอกได้แค่ว่าในวงจรการนอนที่พังพินาศในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ก็ดูเหมือนมันจะช่วยประคองให้สภาพยังดูโอเคอยู่ล่ะ ส่วนในแง่ของเรื่องริ้วรอยนั้นปูเป้ไมไ่ด้มีปัญหาเรื่องของริ้วรอยรอบดวงตา (ภูมิใจ ดูแลมาดี) จึงไม่สามารถที่จะบอกได้ในแง่นี้
โดยสรุปแล้ว Estee Lauder : Advanced Night Repair Eye Supercharged Complex Synchronized Recovery เป็นการปรับส่วนผสมบางส่วนเพื่อเสริมเรื่องความชุ่มชื้นให้มากขึ้นและเพิ่มความเข้มข้นของส่วนผสมที่ช่วยต้านการอักเสบมากขึ้นกว่าเดิม และนำเสนอการค้นพบใหม่เกี่ยวกับผลกระทบของแสงสีฟ้าโดยตรงต่อโปรตีนสำคัญที่มีผลกับวัฏจักรการทำงานของผิว ในแง่ของส่วนประกอบนั้นเครือ Estee Lauder ถือว่าทำออกมาได้ดีอยู่แล้วเพราะมีสารบำรุงหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเปปไทด์ สารสกัดต่าง ๆ สารแอนติออกซิแดนท์ที่มีประโยชน์กับผิว แต่ส่วนผสมสำคัญส่วนใหญ่ยังมีข้อมูลสนับสนุนจากแหล่งอื่นอยู่ไม่มากและข้อมูลการจดสิทธิบัตรไม่สามารถนำมาใช้เป็นอ้างอิงที่ดีนัก (แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเขาเคลมอะไร และใช้ส่วนผสมจากบริษัทไหนบ้าง)
ผลจากการทดลองใช้เป็นเวลาสองเดือนนั้นพบว่าผิวรอบดวงตามีความชุ่มชื้นดี และแม้จะใช้ชีวิตแบบไม่ค่อยถนอมร่างกายนักกับเวลาพักผ่อนที่พังพินาศ แต่ผิวรอบดวงตาก็ยังดูมีสภาพที่ดีอยู่ ปูเป้ตั้งใจว่าจะลองใช้ต่ออีกกระปุกโดยที่ปรับไปใช้ชีวิตให้ได้แบบเดิม ซึ่งก็นอนดึกอยู่แต่ก็ไม่ได้พังมากแบบในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาแล้วดูว่าผลที่ได้จะออกมาเป็นอย่างไร
สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง
***Sponsored Item***
Estee Lauder : Advanced Night Repair Eye Supercharged Complex Synchronized Recovery
Price : 15ml / 2,700 Baht
Skin Type : All Skin Type
Outstanding : Moisturising, Barrier Repair, Antioxidant, Anti-Aging
- ส่วนผสมบำรุงผิวที่หลากหลายเป็นคอกเทล ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิว ต้านการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ต้านอนุมูลอิสระ
- คอนเซปต์ในช่วยให้ผิวทำงานอย่างสอดประสานกับวัฏจักรเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
- จากประสบการณ์ใช้ส่วนตัว สิ่งนี้ช่วยประคองสภาพผิวรอบดวงตาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอได้ในระดับหนึ่ง
- ส่วนผสมบางส่วนยังมีข้อมูลไม่มากนัก
- บรรจุภัณฑ์แบบกระปุก ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะอาดเวลาใช้