หลายคนน่าจะเห็นแล้วว่าทาง Estée Lauder ได้เผยโฉมผลิตภัณฑ์ตัวใหมไฉไลอย่าง Advanced Night Repair Eye Concentrate Matrix Synchronized Multi-Recovery Complex เซรั่มบำรุงรอบดวงตาสูตรปรับปรุงใหม่ในหลายมิติ ซึ่งปูเป้รู้มาสักพักใหญ่แล้วแหล่ะแต่จำเป็นต้องปิดเป็นความลับและในขณะที่ปูเป้กำลังทดลองใช้เพื่อทำรีวิวแบบละเอียดอยู่นะฮะ แต่โดยรวมมันน่าสนใจกว่าตัวเก่าเลยล่ะ ในระหว่างนี้ปูเป้อยากมาเล่าเกร็ดข้อมูลที่น่าสนใจเป็นแยกออกมา เพราะถ้ายัดทุกอย่างนี้ในรีวิวมันจะยาวมาก กลัวคนอ่านเหนื่อยซะก่อน

ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางออนไลน์ ปูเป้ได้รับเชิญให้เข้าร่วมฟังบรรยายและถูกเลือกเป็นทีมจากประเทศไทยให้เป็นผู้สัมภาษณ์ผู้อยู่เบื้องหลังการวิจัยของเครือEstée Lauder ทั้งหมดมาด้วย  ที่ว้าวมากคือคราวนี้เขาได้เชิญศาสตราจารย์ Donald E. Ingber ผู้ก่อตั้งสถาบัน Wyss Institute ที่มหาวิทยาฮาวาร์ด คนนี้คือระดับเทพของวงการชีววิทยาและเป็นผู้นำในด้าน Mechanobiology ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่ามากต่อความเข้าใจทางชีววิทยาสมัยใหม่ และเกี่ยวข้องกับวงการความงามโดยตรง เพียงแต่ไม่ค่อยถูกสื่อสารออกมาเท่าไหร่

Mechanobiology คืออะไร?

จุดเริ่มต้นมาจากการตั้งสมมุติฐานว่าแท้จริงแล้วโครงสร้างของเซลล์นั้นไม่ได้เป็นแค่ลูกโป่งที่เต็มไปด้วยของเหลวที่เคยเข้าใจกัน แต่มีโครงสร้างแบบ Tensegrity ที่มีส่วนรับแรงดึง (Tension) และรับแรงอัด (Compression) ที่เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงการออก วิศวกรรม งานศิลปะเช่นพวกงานปฏิมากรรมที่ดูราวกับต้านแรงโน้มถ่วง

เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าร่างกายของมนุษย์ก็ประกอบไปด้วยกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ซึ่งถูกยึดเข้าด้วยกัน เป็นโครงสร้างรับแรงแบบ Tensegrity เพียงแต่การศึกษาในระยะหลังที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จึงพิสูจน์โครงสร้างแบบ Tensegrity โครงสร้างพื้นฐานในธรรมชาติ ตั้งแต่ระดับเซลล์ แม้แต่ในระดับโมเลกุล อย่างเช่นการบิดของโปรตีน หรือทรงเปลือกของไวรัส เป็นต้น

Mechanobiology หรือ ชีวกลศาสตร์ เป็นการศึกษาและเผยว่าแรงทางกายภาพ การดึง ยืด กด บิด สั่น หรือแม้แต่แรงโน้มถ่วงของโลก เป็นอีกส่วนที่สำคัญในการควบคุมกลไกต่าง ๆ ของเซลล์  เช่นเดียวกับโปรตีน ยีนส์ ฮอร์โมน ต่าง ๆ โดยศาสตราจารย์ Ingber เป็นหนึ่งในผู้พิสูจน์ให้โลกวิชาการเห็นว่าเซลล์มีโครงสร้างแบบ Tensegrity ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีววิทยาสมัยใหม่ และยืนยันว่าแรงกระทำต่าง ๆ เช่นแรงดึงและแรงต้านนั้นมีส่วนสำคัญในการกำหนดการทำงานหรือการแสดงออกของยีน

ในเลคเชอร์มีการยกตัวอย่างให้เห็นว่า Mesenchymal Stem Cells (MSCs) หรือเซลล์ต้นกำเนิดนั้น มีแรงดึงที่เกิดขึ้นจากโครงข่ายของ Extracellular Metrix (ECM) ที่มีระดับที่ต่างกันในแต่ละอวัยวะ เป็นตัวเป็นตัวกำหนดว่า MSCs นั้นจะถูกเปลี่ยนและพัฒนาให้เป็นเซลล์กระดูก เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์สมอง หรือเซลล์อื่น ๆ นอกเหนือจากปัจจัยเรื่องฮอร์โมน หรือโกรท์แฟคเตอร์

ความเข้าใจเรื่อง Tensegrity ก็มีความสำคัญกับวงการความงามเพราะว่าการยึดเกี่ยวของเซลล์และ Extracellular Metrix รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ นั้นเป็นส่วนสำคัญต่อความยืดหยุ่นของผิว และแรงกระทำต่าง ๆ นั้นส่งผลต่อการพัฒนา การเติบโต หรือแม้แต่การอักเสบ บาดเจ็บและการตายของเซลล์ผิว  ปูเป้ไม่สามารถที่จะเอาวีดีโอของเลคเชอร์มาเผยแพร่ต่อได้  แต่ในระหว่างหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้พบว่ามีวีดีโอนี้ที่อธิบายเนื้อหาพื้นฐานเอาไว้ใกล้เคียงกัน สำหรับคนทีสนใจนะฮะ

Mechanobiology ส่งผลต่อวงการความงามอย่างไร?

Mechanobiology สามารถช่วยตอบคำถามพื้นฐานสำคัญที่เราสงสัยกันมานานเกี่ยวกับการดูแลผิวพรรณที่คนก็สับสนกันว่า การโยคะบริหารกล้ามเนื้อใบหน้านั้นทำให้ผิวกระชับหรือเร่งให้เกิดริ้วรอย? การนวดหน้านั้นช่วยหรือทำร้ายผิวกันแน่?  ซึ่งคำตอบอยู่ที่ความจำเพาะของแรงกระทำ คือในแรงที่เหมาะสมก็จะเป็นผลดีต่อผิว มีการศึกษาที่ยืนยันว่าแรงกระทำที่เหมาะสมช่วยกระตุ้นการทำงานของสเต็มเซลล์ในชั้นผิวและสามารถนำไปพัฒนาเพื่อกำหนดการนวดเพื่อฟื้นฟูผิวอย่างมีประสิทธิภาพได้ แต่ถ้ามีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง กระชาก ก็สามารถก่อความเครียดที่เป็นผลเสียไปแทน ซึ่งอาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็รู้กัน แต่การพิสูจน์และการทำความเข้าใจกลไกในระดับโมเลกุลนั้นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาก

ปัจจุบันเราอาจจะได้ยินข่าวเรื่องการทดสอบเครื่องสำอางและยาในผิวหนังหรืออวัยวะจำลอง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพยายามหาวิธีพิสูจน์ทฤษฏีของศาสตราจารย์ Ingber ที่ได้ทำงานร่วมกับบริษัทผลิตชิพในการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ช่วยในการศึกษากลไกและอวัยวะของร่างกายบนแผ่นชิพ (Organ-on-Chip) ที่มีการเคลื่อนไหวเลียนแบบการทำงานของอวัยวะจริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าแรงทางกล การเคลื่อนไหวของพื้นผิว มีผลต่อการทำงานของเซลล์ และการมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม

เทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาต่อเนื่องจนกลายมาเป็นอวัยวะจำลองต่าง ๆ เช่นปอด หลอดเลือด ลำไส้ การสร้างชิพจำลองการทำงานของอวัยวะนี้ทำให้เราสามารถเห็นการทำงาน เห็นภาพที่ชัดเจนทำให้เราสามารถตรวจสอบผลกระทบของสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค มลภาวะ หรือตัวยา ได้ในแบบที่การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ ลดการพึ่งพาสัตว์ทดลองในเบื้องต้น และเร่งความเร็วในการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรค การพัฒนายา  ใครที่นึกภาพไม่ออก หรือสนใจอยากดูว่าศาสตราจารย์ Ingber อธิบายสิ่งประดิษฐ์ของเขาไว้อย่างไร  สามารถคลิกดูได้ที่วีดีโอนี้ครับ 

แนวคิด Mechanobiology และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องตามมานั้นเป็นประโยชน์กับวงการเครื่องสำอางมาก การสร้างโมเดลจำลองของชั้นผิวมีประโยชน์มากในการทดสอบความปลอดภัยหรือการทำงานของส่วนผสมในเครื่องสำอาง และช่วยให้เกิดการสร้างแบบจำลองเพื่อทดสอบทฤษฏีและสมมุติฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับผิวพรรณได้ อย่างที่ทางทีมของ Estée Lauder ได้พัฒนาแบบจำลองการกระพริบตาเพื่อพิสูจน์ว่า Micro-Movement อย่างการกระพริบตานั้นเกี่ยวข้องกับการทำให้ผิวรอบดวงตานั้นไวต่อการเกิดริ้วรอยหรือไม่อย่างไร  ซึ่งตรงนี้ปูเป้จะให้รายละเอียดในรีวิวที่จะออกตามมาทีหลังนะฮะ

นวัตกรรมความงามของ Estée Lauder

จริง ๆ แล้วผลิตภัณฑ์ของ Estée Lauder และแบรนด์ในเครือเต็มไปด้วยนวัตกรรมมากมายที่ไม่ได้ถูกสื่อสารมาสู่พวกเราเหล่าผู้บริโภคปลายน้ำ อาจจะทั้งติดเรื่องนิยามเครื่องสำอาง และหลายอย่างมันก็ซับซ้อนมากกว่าที่จะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ แต่ในฐานะที่เราคลุกคลีและสนใจเรื่องนวัตกรรมเครื่องสำอาง เราอยากจะบอกว่าบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการเปิดเผยให้เราเข้าใจถึงกลไกการทำงานและความรู้ที่เป็นพื้นฐานอันเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ

คือวงการเครื่องสำอางมีการแข่งขันสูง และเพื่อสร้างจุดขายให้ตัวเองแตกต่าง บริษัทอย่าง Estée Lauder  จึงมีการลงทุนกับการค้นคว้าและวิจัยในเรื่อง Basic Research / Skin Research ร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วโลก และตั้งศูนย์ R&D ในตลาดที่สำคัญ อย่างในเอเชียก็มีศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Estée Lauder ถึง 3 แห่งเลยนะ

ตัวอย่างที่ชัดมากคือการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับกลไกนาฬิกาทางชีวภาพของผิว ซึ่งการศึกษาของ Dr. Nadine Pernodet ที่ดำรงตำแหน่งหัวเรือของการวิจัยของเครือ Estée Lauder ได้เผยให้เห็นว่านาฬิกาทางชีวภาพนี้เป็นการเปิดปิด ที่ครบลูปด้วยการแสดงออกของยีน และร่างกาย รวมถึงในผิวหนังของเรา ก็มีตัวเซลล์ที่เป็นตัวรับรู้แสง ที่ส่งผลต่อการแสดงออกของยีนเหล่านี้ซึ่งมีผลกับการทำงานของผิว  ซึ่งเป็นความเข้าใจที่เป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการและในขณะเดียวกันก็เบิกทางให้บริษัทได้ทำการหาส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพทำงานกับกลไกที่ค้นพบใหม่ก่อนที่จะจดสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ทางการค้าของตัวเองอย่าง  Chronolux™  ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลักในผลิตภัณฑ์กลุ่ม Advanced Night Repair

เครือ Estée Lauder ยังโดดเด่นในเรื่องเทคการหมักบ่มทางชีวภาพ พวก Biofermentation ต่าง ๆ และพัฒนาส่วนผสมขึ้นมาเองอีกด้วย สารสกัดจากยีสต์ที่มาจากการหมักบ่มเฉพาะนี้ก็ถูกศึกษาและพบว่าเสริมกลไก Autophagy ซึ่งบริษัทนี้ก็เป็นเจ้าแรก ๆ ที่ทำการศึกษาเรื่องการกลืนกิน ทำลายของเสีย และการรีไซเคิลวัตดุดิบ เพื่อใช้ในการเสริมคุณภาพผิวให้ดีขึ้น เช่นการใช้กลไก Autophagy ในการเร่งการสลายเมลานินเพื่อช่วยเสริมความกระจ่างใส หรือการเสริมการทำลายของเสียที่เป็นภาระของเซลล์  ในผลิตภัณฑ์ Estee Lauder : Perfectionist Pro Rapid Brightening Treatment with Ferment3 + Vitamin C

ไม่ใช่แค่ส่วนผสม แต่เขาก็ยังมีนวัตกรรมในแง่ของบรรจุภัณฑ์ เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดผิว หรือแม้แต่อุปกรณ์ใช้ร่วมกับสกินแคร์อีกด้วย  หนึ่งในสิทธิบัตรของเขาคือ Cryogenic Wand ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ความเย็นกับผิว ลดการบวม กระตุ้นการไหลเวียน ที่โดดเด่นกว่าอุปกรณ์ลักษณะเดียวกันที่เราเคยใช้มาก มันเย็นดีและเย็นนานจากการที่เขามีแท่ง Heat Sink เป็นแกนกลางเพื่อดูดซับความร้อน ทำให้หัวโลหะสแตนเลสคงความเย็นได้นานมากถึง 5 นาทีในขณะใช้งาน ต่างจากตัวอื่นที่เคยถูไปได้แค่นาทีเดียวก็ไม่ค่อยเย็นแล้ว  ซึ่งในผลิตภัณฑ์ใหม่ Advanced Night Repair Eye Concentrate Matrix Synchronized Multi-Recovery Complex ก็ใช้ applicator ที่ถูกต่อยอดมาจาก Cryogenic Wand อันนี้แหล่ะ

Mechanobiology ในกิจวัตรการบำรุงผิวของเรา

อาจจะเป็นบทความที่ดู Geek ไปหน่อย แต่การได้ฟังเลคเชอร์กับบุคคลระดับตำนานเป็นอะไรที่รู้สึกดีใจมาก และก็คิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะจริง ๆ แล้ว Mechanobiology นั้นเกี่ยวข้องกับกิจวัตรการบำรุงผิวของเรามาตั้งแต่แรก อย่างที่ปูเป้ก็บอกเสมอว่าการดูแลผิวมันไม่ได้สำคัญแค่ว่าผลิตภัณฑ์ภัณฑ์ที่เราใช้ แต่วิธีที่เราใช้และอะไรที่เราทำกับผิวหน้าของเราเป็นประจำนั้นสำคัญไม่แพ้กัน

การล้างหน้า ถูหน้า เช็ดหน้า หรือแม้แต่การทาครีม ขอให้เบามือไว้ก่อน ส่วนการนวดหน้า กดจุด นั้นก็ต้องทำในระดับน้ำหนักที่เหมาะสม ไม่กระชากหรือรุนแรงจนเกิดความเสียหาย ยกตัวอย่างเช่นการทานวดผิวสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ แทนที่จะช่วยกระตุ้นหรือ Remodelling ให้เซลล์ผิวเติบโตขยายยืดหยุ่นเพื่อลดโอกาสเกิดการแตกลาย ก็จะกลายเป็นทำให้โครงสร้างชั้นผิวฉีกขาดเป็นรอยแทน  หรือการนวดหน้าที่จะเป็นการกระตุ้นการทำงานของผิวแต่ถ้ามากไป กระชากไป ก็กลายเป็นการกระตุ้นการอักเสบ บาดเจ็บ ผิวระคายเคืองแทน อะไรแบบนี้เป็นต้น

ปูเป้ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ ยังไงติดตามชมรีวิวฉบับเต็มของ Advanced Night Repair Eye Concentrate Matrix Synchronized Multi-Recovery Complex  กันอีกทีจ้า

 

Related Posts