การไปเที่ยวกับเพื่อนนั้นเป็นเรื่องสนุก แต่กว่าจะนัดกันลงตัวได้เป็นเรื่องขลุกขลัก กับกลุ่มเพื่อนเด็กสยามที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายเรามีการพูดกันคุยมาหลายปีแล้วว่าเราควรไปญี่ปุ่นกันเถอะ แต่มันไม่เคยเป็นรูปเป็นร่างเพราะเรามัวแต่รอ รอความพร้อม รอให้มีเงินพอ รอนั่นรอนี่ จนสุดท้ายเราคิดกันว่าถ้าเป็นอีแบบนี้คงไม่มีวันได้ไปไหนกันแน่ เราจึงตัดสินใจจองตั๋วตอนช่วงโปรตั๋วถูกแล้วก็ไปตายกันเอาดาบหน้า คือไม่รู้จะหาเงินกันทันมั้ย ไม่รู้จะมีธุระอะไรรึเปล่า แต่จองตั๋วจ่ายตังไปแล้วยังไงก็ต้องไป (ฮา)

การไปเที่ยวกับเพื่อนนะมันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง อันนี้เด็ดสุดคือยังไม่ทันได้ออกประเทศก็ทะเลาะกันแล้วจ้า  เรื่องมีอยู่ว่าเราบินไฟลท์ 15.20 ใช่มะ เคาน์เตอร์เช็คอินจะเปิดก่อนเวลาบิน 3 ชั่วโมงก็คือ 12.20  เราก็บอกไปว่าเจอกันตอนเที่ยงครึ่งก็ได้นะ บ่ายโมงก็ชิล ๆ เพื่อนเราก็บอกเฮ้ยมันปิดเช็คอิน 11.20 เขาดูมาในแอพ โอ้ยก็เถียงกันคอจะแตกเลย แต่สุดท้ายเราก็โอเค งั้นเจอกันเก้าครึ่ง สิบโมงก็ได้ คืออย่างน้อยไปเร็วเราก้แค่ต้องตื่นเช้าหน่อย ได้นอนน้อยลงหน่อย แต่เพื่อความสบายใจและไม่ต้องมานั่งรู้สึกไม่ดีกันก็เลยตามนั้นไปแหล่ะ สรุปแล้ว 11.20 มันเป็นเวลาปิดออนไลน์เช็คอิน ตอนที่เราไปถึงเคานืเตอร์ก็ยังไม่เปิดเช็คอิน แต่ไม่มีใครพูดว่าใครถูกใครผิด มันไมไ่ด้สำคัญอะไรอีกแล้ว เราก็ไปกินข้าว คุยกันถึงแพลนที่จะไปเที่ยวกัน ทริปที่เราฝันและตั้งใจจะไปด้วยกันมาหลายปี และเรากำลังจะมีความสุขด้วยกัน

Day 1 : Osaka

 

เรามาถึงที่ Kansai International Airport ตอน 22.40 กว่าจะเดินไปถึงบริเวณตรวจคนเข้าเมืองก็ห้าทุ่มหน่อยๆ และกว่าจะหลุดจากตรงนั้นก็เลยเที่ยงคืนซึ่งไม่มีรถไฟให้บริการแล้ว จริงๆ ตรงนี้เรากะกันเอาไว้แล้วแหล่ะ และเราได้คำแนะนำจากเพื่อนเราที่เคยไปมาก่อนบอกว่า เนี่ยนอนค้างที่สนามบินก็ได้ไม่ต้องไปเปิดโรงแรมหรอก นอนสบาย ๆ

ชีวิตนี้เราไม่เคยนอนสนามบิน และไม่เคยคิดว่าอยากจะนอนสนามบิน แต่ก็ไม่ได้ดัดจริตขนาดจะยอมลำบากไม่ได้ คือถ้าเพื่อน ๆในกรุ๊ปจะลองเราก็ยินดีลองเหมือนกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ให้มันรู้ ๆ ไป

สรุปว่าหลังจากนี้เราจะไม่นอนสนามบินอีกต่อไปแล้ว การประหยัดเงินไม่กี่พันไม่สามารถเทียบได้เลยกับการได้นอนหลับอย่างมีคุณภาพ บนเตียงดี ๆ ให้ห้องที่มืดสนิทและเงียบ ไม่มีเสียงช่างซ่อมบำรุงโครมครามตลอดเวลาและไฟสปอตไลท์ที่แยงตาจนหลับไม่ลง

สิ่งดี ๆ ในการนอนค้างสนามบินคือพนักงาน Lawson กะกลางคืนเท่ระเบิด ตัวสูง หน้าคม ๆ ผิวสีแทนแบบที่เราเคยเห็นในหนังโป้เลย (กรี๊ด) และแซนวิชโง่ ๆ ในร้านสะดวกซื้อราคา 248 เยน อร่อยสรัด!!! ชีสนั่น ซอสนั่นมันช่างกลมกล่อมดีงามแบบที่แซนวิสชีสราคา 70 บาทตามห้างในไทยสู้ไม่ได้

 

วันที่ไปถึงเป็นวันที่ 1 ตุลาคม อากาศตอนนั้นเย็นพอใช้ได้และมีฝนตกพรำ ๆ เกือบตลอดทั้งวัน เราตัดสินใจว่าวันนี้เราจะอยู่ในโอซาก้าและทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่กลางแจ้ง แน่นอนว่าต้องเป็นการไปชมพิพิธพันธ์สัตว์น้ำ Kaiyukan นั่นเอง ซึ่งทางพนักงานขายตั๋วรถไฟตรงสถานีของสนามบินแนะนำให้เราซื้อ Osaka Kaiyu Ticket ราคา 3,000 เยน ที่นอกจากจะใช้เป็นตั๋วเข้าชม Kaiyukan ได้แล้วยังสามารถใช้โดยสารรถเมล์ รถไฟใต้ดิน รถราง และรถไฟ Nankai  Railway ได้แบบไม่จำกัดตลอด 1 วัน อีกด้วยซึ่งเราว่าคุ้มมาก ๆ เลยล่ะ

เรานั่งรถไฟสายฉิ่งฉับเข้าเมืองไปลงยังสถานี Osaka Station เพื่อเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อนแล้วก็รีบไปเดินทางไปต่อยังสถาที Osakako Station ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้กับ Kaiyukan ที่สุด ถึงตอนนี้ก็เวลาใกล้เที่ยงแล้วเราก็หิวกันมากเลยฝากท้องกับร้านที่สิ้นคิดที่สุดอย่าง Sukiya ซึ่งในไทยก็มีสาขามาเปิดและเราว่ามันเห่ยบรม แต่ที่นี่ญี่ปุ่นมันก็คงจะดีล่ะมั้ง

เราเห็นเมนูข้าวหน้าเนื้อมีโปะชีสเยิ้ม ๆ ดูน่ากินดี แถมยังมีแปะว่าเป็นเมนูขายดีอันดับ 1 ด้วย ก็สั่งมาลองดู โอ๊ยคุณเอ๊ยยยยย ลืมความกากที่เราเคยประสบพบเจอในประเทศบ้านเกิดตัวเองไปเลย มันอร่อยมากเมื่อเทียบว่านี่เป็นร้านแดกด่วนข้างทางที่หาได้ทั่วไปในญี่ปุ่นอ่ะคุณ มันอร่อยกว่าไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นตามห้างในบ้านเราอีก เนื้อดี รสดี ชีสดี แบบว่าประทับใจจริง ๆ อาจเป็นเพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลยรึเปล่าเลยประทับใจขนาดนี้ แต่มาที่นี่อย่าดูถูกร้านดาษดื่นพวกนี้เชียว

Kaiyukan เป็นอะควาเรี่ยมที่ใหญ่มาก เรารู้จักที่นี่จากการดูสารคดีและสิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้าฉลามวาฬ ซึ่งที่นี่เป็นที่แรก ๆ เลยที่สามารถเลี้ยงฉลามวาฬในบ่อได้ สิ่งที่เราชอบมากคงจะเป็นการออกแบบโครงสร้างและการเดินชมโซนต่าง ๆ ที่ทำมาได้ดีมาก นอกจากปลาและสัตว์น้ำแล้วก็ยังมีสัตว์อื่น ๆ จากน่านน้ำที่หลากหลายจากทุกมุมโลก

การได้เห็นฉลามวาฬตัวเป็น ๆ ครั้งแรกในชีวิตหลังจากที่เห็นในสารคดีมานับครั้งไม่ถ้วนรู้สึกเหมือนเป็นการเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างจากในวัยเด็กของเราได้อีกหนึ่งอย่าง ไม่นับว่าการได้มาเที่ยวญี่ปุ่นก็เป็นอีกความฝันของเรามาตลอดเช่นกัน

ความน่ารักของคนญี่ปุ่นอยู่ที่กิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ ที่มาทัศนศึกษา เขาจะมีตัวแสตมป์ให้ปั้มอยู่ตามจุดต่าง ๆ เหมือนกับเป็นฐานให้ไปเช็คอินและจะได้ตราปั้มมาอะไรประมาณนั้น ตลอดทั้งวันเราเห็นคณะของเด็กทั้งอนุบาล ประถม มัธยม มากันเป็นกลุ่มเต็มไปหมดเลย แต่เด็กเดินกันเป็นระเบียบและไม่ส่งเสียงโวยวาย ดูน่ารักมาก


หลังจากอ้อยอิ่งกิงก่องแก้วอยู่ในอะควาเรี่ยมอยู่หลายชั่วโมง ออกมาก็ตกเย็นแล้วเราจึงไปยังจุดท่องเที่ยวสิ้นคิดของโอซาก้าอย่าง Dōtonbori อันเป็นที่สิงสถิตของป้าย Glico Man ที่ใครไม่มาถ่ายรูปถือว่ามาไม่ถึงโอซาก้านะจ๊ะ ป้าย Glico อันนี้เป็นเวอชั่นล่าสุดใช้จอ LED แทนแล้วหลังจากที่รุ่นก่อน ๆ เป็นป้ายปกติมาตลอดเลย

เรื่องราวเล็กน้อยคือ Glico เนี่ยดั้งเดิมขนมของเขาคือลูกอมคาราเมลที่ผสม Glycogen 1 เม็ดจะให้พลังงานได้เทียบเท่ากับการวิ่ง 300 เมตรเข้าเส้นชัยได้สบายๆ เลยนะ ก็เลยเปนที่มาของมนุษย์ผู้ชายชูมือเข้าเส้นชัยมาจนถึงทุกวันนี้ ชะเอิงเอย

เมนูที่เรามาโดนในคืนนี้ก็คือ Ichiran Ramen หรือ ‘รางเมงข้อสอบ’ ที่คนไทยรู้จักกันดี (คนไทยเต็มร้านเลยคุณ) ที่ได้ชื่อว่ารางเมงข้อสอบก็เพราะว่าหลังจากที่เราหยอดเหรียญกดซื้อเมนูอาหารแล้ว เขาจะมีแผ่นให้เราเลือกว่าอยากได้รสชาติแบบไหน จะใส่น้ำมันเท่าไหร่ ใส่ต้นหอม ใส่หมู  หรือเลือกความเผ็ดได้ตามใจชอบ และจะบอกไว้ว่าเขามีเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย ดังนั้นไม่ต้องกลัวจะอ่านไม่ออกและสั่งผิดนะจ๊ะ (ส่วนใครอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ก็ไปเรียนซะ เข้า AEC แล้วนะรู้ยัง)

อย่างที่เราคาดหวังไว้กับราเมงญี่ปุ่นคือน้ำซุปมันอร่อย มันดีแบบที่เราไม่ต้องปรุงเพิ่ม เราเคยดูตามรายการของญี่ปุ่นเรื่องน้ำซุปนี่เขาต้มกระดูกเคี่ยวกันเอาจริงเอาจังมาก รสชาติของน้ำซุปจึงเข้มข้นสะใจ แต่ใครที่ติดรสชาติแบบซุปซีอิ้วใส ๆ แบบบ้านเราอาจจะไม่ชิน โดยรวมถือว่าดีแหล่ะแต่ว่าคิวย๊าวยาว แนะนำให้มาช่วงเวลาที่ไม่ใช่ไพรม์ไทม์แบบเวลาอาหารเย็นพอดี

กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่ หลังจากราเมงเสร็จแล้วไซร้เราต้องจัดไปกับชีสทาร์ต Pablo ร้านโด่งดังกระฉ่อนโซเชียลมานาน เห็นผ่านฟีดในเฟสบุ๊คทีไรก็ทรมานใจทุกทีวันนี้เราจะได้มากินของกินถึงที่แล้ว

ความพิเศษของชีสทาร์ตของที่นี่คือเนื้อครีมชีสนั้นเบาละมุนเนียนนุ่มละลายไปในปาก ไม่เลี่ยน ไม่หนัก ไม่แน่น แถมมีให้เลือกได้ว่าจะให้อบแบบ Medium กำลังเฟริม ๆ ดึ๋ง ๆ หรือจะเอาแบบ Rare ที่เยิ้มละลายเหมือนเวลาเราเจอสายตาผู้ชายหล่อ ๆ จ้องมองมา เราสั่งแบบ Rare มาแต่ปรากฏว่ามันน่าจะเป็น Medium แทนล่ะ ทว่ามันก็ฟินมากอยู่ดี ด้านหน้าของตัวชีสทาร์ตเป็นเมือนเจลที่มีรสเปรี้ยวอ่อน ๆ หอม ๆ เราลงความเห็นกันว่ามันเหมือนรสมะม่วง

สิ่งที่เด็ดดวงสุดขีดก็คือ Fresh Chesse Soft Cream เมนูใหม่ของเขามันช่างดีงามจนควรขึ้นไปเป็นมรดกโลกได้เลย มันหอมมมมมมมมมมม หวานมัน ละเมียดไปก็ขนลุกไป น้ำตาอิชั้นจิไหล แค่นี้ก็ตายแบบไม่เสียชาติเกิดก็คงไม่ปาน

มันอร่อยจริง ๆ คุณ ขอให้ลอง

หลังจากท้อมอิ่มแล้วเราก็เดินชิลเล่น ๆในร้านขายของฝากที่นักท่องเที่ยวนิยมอย่าง Don Quijote หรือ ดองกี้ ที่คนไทยเรียกกันติดปาก ของที่นี่ไม่ได้ถูกกว่าที่อื่นนะ แต่ว่ามันมีหลากหลายและมีเยอะดี พวกของฝากประจำจังหวัดหรือพื้นที่ข้างเคียงก็จะมารวมกันอยู่ในนี้แหล่ะ

สำหรับใครที่มีท่านแมวที่บ้านเราขอแนะนำ “มาทาทาบิ” หรือฝิ่นแมว ยี่ห้อ Comet คือที่สุดแล้ว ท่านแมวหยิ่งยโสโอหังแค่ไหนก็มาหมอบแทบเท้าถูไถดีดดิ้นเพียงได้ยินเสียงปลายนิ้วบิดฝาขวด (ส่วนไอ้ขนมแมวที่เป็นปูอัดซองชมพูอย่าซื้อนะ แมวไม่แดก)

หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันพร้อมกับสังขารที่แทบจะไม่ได้นอนมาเลยจากสนามบินเมื่อคืนก่อน เราก็กลับมาถึงที่พักของเราในทริปนี้ที่ Hotel Kinki เป็นโรงแรมเล็ก ๆ ที่ราคาไม่แพง คืนนึงตก 4000 เยน นอนได้ 2 คน แต่ว่าเรานอนคนเดียวกำลังดี นอนสองคนถ้าไม่ใช่ผัวเมียกันแนะนำว่าให้เปิดห้องใหญ่ไปเลย (แต่ถ้าอยากจะเป็นผัวเมียกันก็จัดไป)

โรงแรมมีลิฟท์ ห้องพักสะอาดใช้ได้ ห้องน้ำแม้จะเล็กแต่ก็ใช้งานได้ ระบบปรับอาการในห้องสามารถปรับได้ โดยรวมถือว่าดีมากเลยล่ะ ไม่แพงไป และอยู่ใกล้สถานี  Osaka Station มาก แค่เดินเลยห้างเห็บห้า (HEP Five) มาและข้ามสี่แยกมาหน่อย หาไม่ยากจ้า

 

Day 2 : USJ

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศช่างแตกต่างกับวันแรกที่ฝนตกพรำขมุกขมัวจากหน้ามือเป็นหลังตีน วันนี้อากาศสดใส แสงแดดสาดส่องแผดเผาไหม้ จะมีวันไหนที่เหมาะกับการไปตะลุยสวนสนุกมากไปกว่าวันนี้คงไม่มี ใช่แล้ว วันนี้เราจะไป Universal Studios Japan กัน!!!

การมาเที่ยวสวนสนุกต้องใช้เวลาทั้งวันเป็นอย่างต่ำ บางทีแค่วันเดียวยังไม่พอ เพราะสวนสนุกเมืองนอกไม่ใช่แบบดรีมเวิลด์บ้านเราที่คนกระปริบกระปรอย แต่คนถล่มทะลักเหมือนเขาเปิดให้เขาฟรีทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่และค่าเข้าไม่ได้แค่สองสามร้อยบาทแต่ขึ้นหลักพัน (ราคาตอนที่ไปคือ 7,400 เยน หรือด้วยค่าเงินตอนที่ไปก็ประมาณ 2,200 บาท) เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อให้การันตีว่าเราจะได้เล่นเครื่องเล่นหลัก ๆ ครบใน 1 วัน เราต้องเสียตังซื้อ Pass 7 หรือใบเบิกช่องทางด่วนสำหรับเครื่องเล่น 7 อย่างตามที่เราเลือก ซึ่งร่นเวลาเข้าคิวจากบางที 2 ชั่วโมงเหลือเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น โดยตั๋ว Pass 7 จะมีราคาไม่แน่นอนแล้วแต่ช่วงเวลาที่เราไป สนนราคาอยู่ที่  6,900  – 13,200 เยน โดยประมาณ แต่บอกเลยว่าซื้อเหอะ มันคุ้มจริง ๆ

ถึงราคาจะดูดุเดือดขนาดนี้ แต่ไม่มีใครมาดราม่าบอกว่าตั้งราคาแบบนี้คนรายได้น้อยก็ไม่มีโอกาสเข้า และไม่มีใครมาองุ่นเปรี้ยวบอกว่าโล้ชิงช้าหน้าโรงเรียนหรือขึ้นรถเมล์สาย 8 ก็ได้หวาดเสียวเหมือนกัน เพราะว่าสิ่งที่ได้รับมันคุ้มค่าเงินที่จ่าย และการที่สวนสนุกมีรายได้มากพอเขาก็เอาเงินไปบำรุงรักษาเพื่อความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวเองด้วย คือเขาทำธุรกิจน่ะ ไมไ่ด้ทำสังคมสงเคราะห์ที่จะต้องให้ทุกคนมีโอกาสเข้ามา อยากเข้าก็หาตัง ไม่มีตังก็ไม่ต้องเข้า แต่ไม่ต้องไปด่าเขาว่าหน้าเลือดเนอะ

กรณีที่อยากพูดถึงคือของสวนสยามนะ ที่เจ้าของดั้งเดิมเขามีความคิดว่าอยากให้ทุกคนเข้าถึงสวนสนุกได้เพราะปมในใจของเขาตอนเด็กที่ไม่มีโอกาส พอทำสวนสยามนั้นค่าเข้าก็ถูกแถมแจกบัตรฟรีถล่มทลาย ลด 50% กระจุยกระจาย คือการกระทำของเขาเพื่อให้คนทุกระดับได้มีโอกาสเข้าถึงสวนสนุกมันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมนะ แต่สวนสนุกมันใช้เงินมหาศาลทั้งในแง่ของการปฏิบัติการ การบำรุง และการพัฒนา แถมภาครัฐก็ไม่ได้สนับสนุน สวนสยามก็เสื่อมโทรมลง ความปลอดภัยน้อยลง คนก็ไม่มาจนเขาติดหนี้เกือบล้มละลายเอา คือเราเห็นใจนะ เรารักสวนสนุกด้วย แต่เราก็จะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงกับอะไรที่ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน ถึงปัจจุบันสวนสยามจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแต่การจะป็นสวนสนุกระดับโลกคงยังอีกไกล และคงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าคนไทยเองก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องต้นทุนกับราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความปลอดภัยและการพัฒนาของสวนสนุก

พอดีกว่าเดี๋ยวจะดราม่ามากไป แต่เราอยากให้ประเทศไทยมีสวนสนุกเจ๋ง ๆ บ้างนะ (ขอรถไฟฟ้าวิ่งผ่านด้วย)

เครื่องเล่นแรกที่เรารีบไปก็คือ Jurassic Park : The Ride นี่เป็นเครื่องเล่นที่เราเฝ้ารอจะได้มาเห็นของจริงมานับสิบปี เพราะตอนที่เราได้ไป Universal Studio ที่ Hollywood ตอนเด็ก ๆ เครื่องเล่นนี้ยังไม่ได้สร้างเลย และถึงที่สิงคโปร์จะมีเครื่องเล่น Jurassic Park : Rapids Adventure แต่ก็ไม่ได้เหมือนกับแบบนี้ซะทีเดียวเพราะขนาดที่เล็กกว่ามาก

การล่องเรือเข้าไปใน Jurassic Park : The Ride นั้นน่าประทับใจทีเดียวกับการเก็บรายละเอียดที่งดงามและเรียบร้อย หุ่นยนต์ไดโนเสาร์สภาพดี สวยงามตามท้องเรื่อง สีสันสดใส ต่างกับที่เราเห็นในสิงค์โปร์ราวฟ้ากับเหว

คือเราเห็นฉากพวกนี้มาแล้วเป็นร้อยครั้งจากใน Youtube ที่คนเขาเอามาลง เราดูมาตลอด เราฝันมาตลอด และมันไม่ได้ทำให้การมาเห็นของจริงดูมีความประทับใจน้อยลงไปเลย แต่กลับรู้สึกว่าเราได้มาเห็นของจริงกับตาแล้วนะ และมันเป็นความรู้สึกที่วิเศษมากเลยล่ะ

ช่วงที่ไป The Flying Dinosaur ซึ่งเป็นรถไฟเหาะอันใหม่กำลังสร้างอยู่ ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว เราตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสเราจะกลับไปเล่นอีก

JAWS เป็นเครื่องเล่นที่มีเรื่องตลกอยู่อย่างนึง อย่างที่บอกไปแล้วว่าตอนเด็กเราเคยได้ไป Universal Studio Hollywood ต้นตำรับมา และที่นั่นมี Studio Tour ซึ่งเป็นการนั่งรถพ่วงไปตามโซนของฉากหนังเรื่องต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในก็คือเรื่อง JAWS นั่นเอง

ลองนึกภาพเด็กหัวโปกอายุ 12 ที่เคยเห็นภาพจากในรายการทีวี ในโฆษณาว่ามาที่จะเป็นฉลามยักษ์โผล่ขึ้นมางาบโฉบข้างรถเลย มันช่างดูน่าตื่นเต้นมาก!!! อินี่ก็เตรียมตัวเลยฮะ ฉากนี้มาแล้ว เตรียมกรี๊ดได้

3… 2…. 1…  ฉลามยักษ์โผล่มาแล้ว!!! แต่มันไม่เหมือนภาพที่เราเห็นในทีวี มันเป็นฉลามพลาสติกไฟเบอร์กลาสแข็ง ๆ ติดบนล้อเลื่อนที่ถูกลากมาตามรางจากพื้นน้ำมาโฉบข้างรถพร้อมเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ๆ แล้วก็ถูกลากกลับลงน้ำไปแข็ง ๆ แบบนั้น

คุณนึกภาพเด็กตุ๊ดหัวโปกมองตาเหลือกอ้าปากข้างพร้อมกับกรีดร้องว่า “คุณหลอกดาวววววว” อย่างเงียบๆ ในใจสิคุณ…  ได้รู้ซึ้งถึงคำว่า “วงการมายา” ก็ตอนนั้นแหล่ะ

แต่ไม่ต้องห่วงนะ JAWS ที่ USJ ดีกว่านั้นเยอะมาก เป็นเวอร์ชั่นได้รับการพัฒนาแล้ว ส่วนเวอร์ชั่นที่ฮอลลีวู๊ดปัจจุบันถูกทำลายทิ้งไปแล้วซึ่งเราเห็นด้วยว่ามันไม่ควรจะอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป

เครื่องเล่นอันต่อไปที่ภูมิใจนำเสนอคือรถไฟเหาะ Hollywood Dream : The Ride ซึ่งเป็นรถไฟเหาะที่มีขบวนรถไฟสองแบบ คือแบบนั่งหันหน้าตามปกติ กับขบวนพิเศษนั่งหันหลัง ดูเหมือนจะไม่สูงมาก เห็นจากข้างล่างเหมือนจะไม่เร็ว แต่ไปอยู่ข้างบนนั้นแล้วมันสูง และมันก็เร็วอยู่ แถมการเข้าโค้งที่กระชั้นเข้มข้นก็ทำให้รู้สึกมึนได้ไม่น้อย แต่สิ่งที่ดีงามที่สุดคือเพลงที่เขาเปิดในระหว่างการที่เราแล่นไปตามรางเหล็ก เพลงตอนที่เราไปเป็นของ SMAP ที่มีชื่อว่า Amazing Discovery ที่เพราะมาก ติดหูสุด ๆ ฟังแล้วคึก แต่ปัจจุบันเขาหมดสัญญาแล้วนะ ใครอยากรู้ว่าเพลงเป็นยังไงไปลองหา google มาฟังดู

ข้อมูลแบบ Geek นิดหน่อยก็คือถ้าเห็นรางรถไฟเหาะแบบนี้กับรถไฟที่มี 4 ที่นั่งต่อแถว สามารถบอกได้เลยว่าผลิตโดย Bolliger & Mabillard ซึ่งรูปแบบรางทำให้มันมีเสียงคำรามยามรถไฟเคลื่อนตัวไปที่เป็นเอกลักษณ์มากล่ะ

มาถึงส่วนที่หลายคนกรีดร้องกันอย่าง The Wizarding World of Harry Potter ซึ่งที่ USJ มีเป็นแห่งที่ 2 ของโลก หลังจากที่ Universal Studio Orlando ใน Florida โซนนี้เป็นที่นิยมมากจนต้องมีการจองเวลาเข้ากันเลย ซึ่งตอนที่เราจะซื้อ Pass 7 เราจะเลือกได้ว่าจะเข้าโซนนี้ในเวลาไหนเพื่อเข้ามาเดินและเล่นเครื่องเล่นตามเวลาที่ระบุไว้

หลังจากที่เราเดินผ่านทางเดินที่มีต้นสนเรียงรายสองข้างทางแล้วก็จะมาเจอกับหมู่บ้าน Hogsmeade ซึ่งมีร้านค้าของที่ระลึกดูดเงินมากมาย ใครอยากได้ไม้กายสิทธิ์ก็ซื้อ ใครอยากได้เสื้อคลุม เสื้อสเว็ตเตอร์ ผ้าคาดผม และจิปาถะแบบนักเรียน Hogwarts ก็เลือกได้ตามใจชอบ (ถ้าเงินถึง)

มาถึงที่แล้วก็ต้องลองกิน Butterbeer ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มาจากในนิยาย Harry Potter รสชาติมันเหมือนรูทเบียบที่ออกหวานและมีกลิ่นคาราเมลกับฟองข้างบนที่ทำมาจากครีมชีสออกเค็ม ๆ มีกลิ่นของวนิลา เวอร์ชั่นแบบเกล็ดน้ำแข็งก็อร่อยไปอีกแบบ

ที่นี่มีร้านไม้กายสิทธิ์ Ollivanders ด้วยซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องเข้าไปเป็นรอบ ๆ โดยในแต่ละรอบที่เข้าไปจะมีผู้โชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้นะถูกเลือกไปเป็นตัวแทนเพื่อที่จะได้รับการเลือกไม้กายสิทธิ์ให้โดย Ollivanders เอง ซึ่งจะเป็นไม้เท้าแบบที่ไม่เหมือนกับที่ขายทั่วไป (เห็นเขาว่างี้นะ) คือถ้าอยากได้อยู่แล้วก็คือโชคดี แต่ถ้าไม่ได้อินหรืออยากได้ก็คงจะกระอักกระอ่วนใจในการปฏิเสธอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าไม่คิดมากก็ซื้อไปเหอะ

หลังจากเสร็จแล้วในส่วนของร้านด้านหลังก็จะมีไม้กายสิทธิ์ที่ทำเลียนแบบของจริงที่ใช้ในภาพยนต์ของพ่อมดและแม่มดตัวหลัก ๆ ในหนังทั้งหมดเลย ใครรักใครชอบใครก็ซื้อไป ใครอยากสะสมทุกแบบก็เตรียมเงินหมื่น (บาท) กันเอาไว้เลย แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณมีครบทุกแบบแล้วจะไปเก็บที่ไหน? ปัญหานี้จะหมดไปถ้าคุณถ้าคุณซื้อตู้วางไม้กายสิทธิ์ของเราในราคา XXXXX เยน

การเป็นติ่ง ไม่ว่าจะติ่งอะไรก็ตาม เงินสำคัญเสมอ

ถัดจากหมู่บ้านไปเราจะเจอเครื่องเล่น Flight of the Hippogriff เป็นรถไฟเหาะขำ ๆ ไม่น่ากลัวเล่นได้กันทั้งครอบครัวและใช้เวลาไม่น่าจะถึง 1 นาทีในการเล่น แต่ต่อคิวกันยาวถ้าไม่ได้ซื้อ Pass มาเตรียมไว้

ส่วนโรงเรียน Hogwarts นี้ไม่ใช่แค่ทำมาสวย ๆ แต่ข้างในเป็นเครื่องเล่นเหมือนกัน มีชื่อว่า Harry Potter and the Forbidden Journey ซึ่งเราจะไปนั่งอยู่ในเก้าที่ติดอยู่กับแขนกลที่เคลื่อนที่ได้ เครื่อเล่นนี้มาพร้อมกับแว่น  3 มิติที่ทำให้เราเหมือนกับได้ล่องลอยไปบนไม้กวาดไปกับแฮรี่และผองเพื่อนที่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายและผู้เสพความตาย คือนอกจากมันจะเป็นเครื่องเล่นที่มึนได้ชวนอ้วกมาก มันยังน่าหลัวและหลอนสุด ๆ ตอนช่วงที่เราเจอฉากผู้เสพความตาย อิห่า คนกลัวผีอย่างเราหัวใจจะวาย แบบไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไเจออะไรแบบนี้เลย แต่ถือว่าคุ้มที่จะไปเล่นนะ แต่แนะนำว่าควรซื้อ Pass 7 จริงๆ เพราะว่าคนรอคิวกัน 180 นาที แต่เรามี Pass แค่ 10 นาทีก็ได้เล่นแล้ว

ต่อกันที่ Space Fantasy : The Ride ที่เราไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันคืออะไร เข้าไปแบบมึน ๆ แต่มันว้าวมาก มันเป็นรถไฟเหาะตัวรถหมุนได้แบบอินดอร์ ภายในตกแต่งเหมือนเราไปท่องอวกาศ และมันสวยมากจริง ๆ สวยมากแบบ ก.ไก่ล้านตัว มันมีความเป็นการ์ตูนอวกาศแบบสดใส ๆ น่าตื่นตาตื่นใจในเอฟเฟค โคตรคุ้มเงินอ่ะ ประทับใจสุด ๆ

ส่วน The Amazing Adventures of Spider-Man – The Ride อันนี้จะให้อารมณ์คล้ายๆ  กับ Transformer : The Ride ที่สิงคโปร์ จริงๆ ก็ต่างกับที่เข้าไปใน Harry Potter ตรงที่มันไม่มึนชวนอ้วกมากเท่า ก็เล่นสนุก  ๆ ขำ ๆ ไปได้

ช่วงที่ไปเป็นเดือนตุลาคมซึ่งเขาเป็นตีมของ Halloween พอดี ในช่วงตอนเย็นจะมีกลุ่มซอมบี้ออกมาอาละวาดตามถนนในสวนสนุกด้วย ในตีมของ Resident Evil เราก็จะได้ยินเสียงปืน สียงระเบิด และเสียงคนกรี๊ดวิ่งหนีซอมบี้กันสนุกสนาน สาวญี่ปุ่นเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์กันสุด ๆ ใครมากับแฟนก็กลัวแอบหลังแฟน ซบอกแฟน ดูดัดจริตพองาม คนที่ไม่มีแฟนแบบเราเห็นแล้วอยากเอ็นดูด้วยฝ่าเท้าสักป้าปด้วยความริษยา

เครื่องเล่นที่นี่ยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่ได้เล่น และมีโชว์หลายอย่างให้แวะเข้าไปดู เราบอกเลยว่า 1 วันไม่เพียงพอสำหรับการมาเก็บเกี่ยวความสนุกที่นี่ แต่มันก็เป็นเหตุผลที่ดีในการที่ทำให้เราต้องกลับมาเยือนอีกครั้งในอนาคต

ก่อนจะกลับไปทิ้งร่างที่ผุพังเราขอเติมพลังกันที่ Universal City Walk ซะหน่อย ที่นี่มีร้านอาหารให้เลือกเยอะแยะมากมาย เราเลือกร้าน Pomme’s ที่ก็มีมาเปิดในไทยแล้วเหมือนกัน ร้านข้าวห่อไข่ที่นี่สั่งกัน 3 อย่าง แต่กินกัน 5 คนอิ่ม เพราะขนาดมาแบบใหญ่โตอลังการมาก เทียบกับจานจุ๋มจิ๋มในไทยแล้วเหมือนกับมาคนละร้านเลยล่ะ รสชาติอร่อยกลาง ๆ เรามั่นใจว่ามันต้องมีที่อรอ่ยกว่านี้

ตอนกลับโรงแรมเราเหนื่อย เราอิ่ม เรางอแง เราเลยไม่แวะซุปเปอร์มาร์เก็ตของไดมารูตรงสถานีกับคนอื่น แต่ด้วยความที่เป็นคนที่เพื่อน ๆ รักไง เขาเลยซื้อของกินมาฝาก เราเป็นคนนที่ชอบปลาซาบะดองมาก และข้าวอัดปลาซาบะที่ห่อมาในใบไม้อะไรสักอย่างที่ให้กลิ่นหอมดี มันอร่อยมากกกกกกกกกก ถ้าใครสนใจจะลอง ชื่อร้านคือ Kakinohazushi Yamato ล่ะ (อันนี้ตอนไปโตเกียวเราลองตามหาดูก็ไปเจอนะ แต่ไม่อร่อยเท่าที่โอซาก้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม)

ของที่กรี๊ดมากจากการไปเที่ยว USJ คือตุ๊กตายัดนุ่น Kyle เจ้าหมาปีศาจของตัวร้ายจากเรื่อง Despicable Me

โคตรน่ารัก เห็นแล้วหยิบบัตรรูดปรื๊ดดดดดดดแบบไม่ได้ดูราคาเลย 555

จบวันที่สอง แบบแฮปปี้สุด ๆ

 

(อ่านต่อ Kansai First Time – Part II คลิกเลยจ้า)