(ย้อนกลับไปอ่าน Kansai First Time – Part I คลิกเลยจ้า)

Day 3 : Himeji – Kobe

 

หลังจากตะลุยแสงสีกันมาพอหอมปากหอมคอก็ต้องขอแวะมาซึมซับวัฒนธรรมและความเป็นมาของชาติเขาสักหน่อย การเดินทางจากวันนี้จนถึงวันกลับเราจะใช้ตั๋วพิเศษ Kansai Thru Pass ที่สามารถใช้รถไฟเอกชน รถไฟใต้ดิน รถบัส รถราง คืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่รถไฟ JR ในภูมิภาคคันไซทั้งหมด 6 จังหวัดได้แบบไม่จำกัดเลยล่ะ

บัตรอันนี้มีแบบ 2 วัน (4,000 เยน) และ 3 วัน (5,200 เยน) ซึ่งสิ่งที่พิเศษคือมันนับการใช้ 1 วันจากการเริ่มใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะเที่ยวแรกในวันนั้นและไปสิ้นสุดที่ตอนเที่ยงคืนของวัน เราจึงไม่จำเป็นต้องใช้บัตรนี้ 3 วันติดต่อกันก็ได้ อย่างเช่นวันจันทร์เราใช้บัตร วันอังคารเราไม่ใช้ก็ไม่นับ ไปใช้อีกทีวันพุธและพฤหัสครบ 3 วันก็สามารถทำได้ ทำให้มันมีความยืดหยุ่นมากเลยทีเดียว การเที่ยวในทริปนี้ต้องบอกเลยว่าบัตรนี้คุ้มมากจริง ๆ เพราะเราเดินทางกันหนักมาก

use_image

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ระบบขนส่งมวลชนดีงามที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ใช้งานสะดวก เริ่มมีการปรับสถานีให้มีทางลาด บันไดเลื่อน หรือลิฟท์เพื่อคนพิการและคนสูงอายุที่ใช้รถเข็น แถมยังทะลุทะลวงไปได้เกือบในทุกพื้นที่ มีความปลอดภัยสูง ตรงเวลา และยังมาพร้อมกับระบบที่เชื่อมโยงเข้าถึงกันด้วยบัตรเพียงใบเดียว แน่นอนว่ามันมีราคาที่ไม่ถูกนักเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนในประเทศไทยเวลาไปเยือน

แนวคิดการให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายและประหยัดสูงสุดในการมาท่องเที่ยวในประเทศนั้นสามารถจูงใจให้คนตัดสินใจมาเที่ยวได้ง่ายขึ้น และเมื่อคนมาท่องเที่ยวมากขึ้นก็จะนำมาซึ่งการใช้จ่ายและขับเคลื่อนกลไกทางเศรษฐกิจที่เบ่งบาน จึงทำให้เงื่อนไขในการซื้อบัตรนี้ก็คือต้องเป็นนักท่องเที่ยวเท่านั้นจ้า คนต่างชาติที่พำนักหรือทำงานในญี่ปุ่นก็ซื้อไม่ได้ คนญี่ปุ่นเองหรออย่างหวังเลย สิทธิประโยชน์ในการเดินทางแบบโคตรประหยัดและคุ้มค่านี้เขามีไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวเท่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาทำกัน

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วล่ะ?

คือในขณะที่ประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่น หรืออังกฤษ และประเทศอื่น ๆ ที่ระบบขนส่งเพียบพร้อมแต่มีราคาค่อนข้างสูง พยายามที่จะให้นักท่องเที่ยวได้รับสิทธิประโยชน์มากที่สุดในการเดินทางที่ถูกกว่าคนในประเทศตัวเองได้รับ แต่สิ่งที่เป็นความคล้ายร่วมของประเทศที่ยังไม่พัฒนาที่เราเคยไปสัมผัสมาได้ทำเหมือนกัน ๆ คือการเก็บค่าบริการแบบสองมาตรฐานโดยการเก็บนักท่องเที่ยวแบบแพงกว่า มันเหมือนเขามีความคิดว่า “ต่างชาติรวยกว่าเรา เขาจ่ายแพงกว่าแค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก” มันเหมือนกับมีความคิดว่า “ก็กูจน กูจะเอาเปรียบเขานิดหน่อยไม่เห็นจะเป็นไร”

ประเทศไทยเองที่บอกว่าตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวและรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศก็มาจากธุรกิจนี้ แต่เรากลับมีการโกงโก่งราคาค่าโดยสารฟันนักท่องเที่ยวแบบไม่อายฟ้าอายดินของผู้ให้บริการรถรับจ้างไม่ประจำทางทั้งหลาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เหมือนไม่ค่อยทำอะไร อิทธิพลที่เอื้อมไปแตะไม่ได้มักมีอำนาจใหญ่กว่าความถูกต้องในประเทศนี้ เรามีการคิดราคาสองมาตรฐานกับนักท่องเที่ยวไม่ใช่แค่กับแม่ค้าริมถนน แผงลอย ตุ๊กตุ๊ก แท๊กซี่ แต่กิจการที่ดำเนินการโดยเอกชนเป็นกิจลักษณะบางแห่งก็ยังมีการแปะป้ายราคานักท่องเที่ยวราคานึง ราคาคนในประเทศแปะเป็นเลขไทยในราคาที่ถูกกว่าเป็นต้น ที่แย่ที่สุดคือกิจการโดยรัฐเองอย่างค่าเข้าชมสถานที่หรืออุธยานก็เก็บนักท่องเที่ยวแพงกว่า

มันเหมือนเป็นมาตรฐานของสังคมในการเป็นสังคมสองมาตรฐานมาตั้งแต่รากฐานกันเลยยังไงอย่างงั้น และแนวคิดว่า “ฉันจน ฉันจะเอาเปรียบคนที่มีมากกว่านิดหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร” มันคือปัญหาของประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้เลื่อนขั้นไปไหนมาหลายสิบปีสักที อย่างน้อยก็การใช้ความจนหรือการทำมาหากินมาเอาเปรียบผู้อื่นในการใช้พื้นที่สาธาณะขายของอะไรทำนองนี้
เอาเป็นว่าบัตรนี้ดี คุ้ม ควรซื้อมาใช้ การเดินทางในญี่ปุ่นเลิศเลอที่สุด ส่วนในไทยแม่งห่วยและโกงนักเที่ยวกันเป็นว่าเล่น จะว่าไปกับคนประเทศเดียวกันมันยังโกงเลยนับประอะไรกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเนอะ

ลืมบอกไปว่า บัตร Kansai Thru Pass สามารถซื้อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนามบินคันไซ ในสถานี Osaka Station และอื่น ๆลองไปหาข้อมูลดูกันที่นี่ (คลิก)

วันนี้เราออกมาเช้าหน่อยเพื่อที่จะไปตลาดปลาของเมืองโอซาก้า หรือ Osaka Chuo Oroshi-Uri Ichiba ซึ่งสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ Tamagawa Station เดินมาประมาณ 750 เมตรแบบลัดเข้าซอยหน่อย เปิด Google Map เดินเอาได้สบาย ๆ

ร้านที่มากินก็คือ Endo Sushi ซึ่งขึ้นชื่อมาก วันที่เราไปกินก็มีกลุ่มคนไทยมากินกันหลายกรุ๊ปเลยล่ะ โดยซูชิที่นี่จะมีเป็นชุดทั้งหมด 3 แบบโดยทุกแบบราคา 1,050 เยน ร้านค่อนข้างเล็ก อาจจะไม่ได้ดูสวยงาม ซูชิที่เสริฟมาอาจจะได้ไม่ดูเป๊ะหรือตกแต่งอย่างบรรจง แต่สิ่งที่เด็ดคือคุณภาพ ความสด และความอร่อยของวัตถุดิบที่ไม่รู้จะบรรยายความปลื้มปริ่มได้ยังไงดี กับราคาราว 300 บาทเรามองว่ามันไม่แพงเลยเพราะปลาโทโร่ที่ละลายไปในปาก ไข่หอยเม่นที่ปกติเราไม่กินเลยในไทยเพราะมันมักจะคาว แต่ที่นี่มันสดมาก มันไม่คาวแต่ให้สัมผัสครีมมี่ ๆ

ไม่มีอะไรจะติ ถ้าไม่ได้ติดต้องกินบรรยากาศหรู ๆ ดูดี ร้านนี้เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ส่วนเรื่องไข่หอยเม่น ที่เขาบอกว่าจริงๆ แล้วมันก็คืออัณฑะหรือไม่ก็รังไข่ของหอยเม่นนะ จะไปกรีดร้องทำไม เรียกว่า “ไข่” ก็ไม่ได้ผิดนะเพราะเราก็เรียกป๋องแป๋งกันว่าไข่เหมือนกันไม่ใช่เรอะ (ฮา)

หลังจากอิ่มท้อแล้วเราก็เดินทางมายังปราสาทฮิเมจิ Himeji Castle ต่อ อย่าถามว่าเดินทางมายังไงเพราะเราก็จำไม่ได้ รู้แค่ว่าต้องมาลงที่สถานี Sanyo Himehi Station (เพราะ Pass ใช้ JR ไม่ได้) เดี๋ยวนี้การเดินทางในญี่ปุ่นนั้นง่ายด้วยอำนาจของเทคโนโลยี แค่เปิด Google Map แล้วใส่สถานที่ ๆ เราอยากจะไปมันก็จะมีตัวเลือกของการเดินทาง พร้อมระยะเวลาที่ต้องใช้ ถ้าเป็นการเดินทางโดยรถไฟจะมีเวลาของรถไฟมาให้ บางสายมีราคาบอกอีกต่างหาก และจากที่เราใช้มามันไว้ใจได้เกือบ 100% เลยล่ะ ที่บอกว่าเกือบเพราะบางกรณีถ้าเรามีการปรับเส้นทางเองในแผนที่อีกนิดหน่อยเราจะประหยัดเวลาไปได้อีกเพราะเส้นทางที่ัมนเลือกมาให้อาจจะมีอ้อมไปบ้างในบางครั้งหรือต้องเปลี่ยนขบวนบ่อยหน่อย

เคล็ดไม่ลับในการโดยสารคือถ้าเราเจอรถไฟแบบ Rapid ให้รีบกระโดดขึ้นไปได้เลยถ้าเราจะไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเพราะรถไฟแบบนี้จะไม่จอดทุกสถานี ทำให้มันเดินทางไวกว่าถ้าเลือกแบบ Local ที่จอดมันทุกป้าย

ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทที่ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดของญี่ปุ่นและถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติที่หลงเหลือมาแบบสมบูรณ์ที่สุดก็ว่าได้ นอกจากนี้ UNESCO ยังยกให้ปราสาทแห่งนี้เป็นมรดกโลกอีกด้วย ตัวปราสาทดั้งเดิมถูกเสริมความแข็งแรงและได้รับการบูรณะใหม่เสร็จเมื่อไม่กี่ปีมานี้นี่เองโดยโครงปราสาทด้านทำจากไม้และยังถูกใช้เป็นโครงสร้างหลักจนถึงปัจจุบัน ถ้าเราจ่ายค่าเข้าชมปราสาทเราจะได้เดินเข้าไปดูข้างในและมองเห็นเมืองฮิเมจิจากชั้นบนสุดของปราสาทด้วยนะ ไหน ๆ มาแล้วก็ควรขึ้นไปดูเป็นประสบการณ์ชีวิต

ใครที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นอาจจะคุ้นเคยเรื่องสยองเกี่ยวกับผีผู้หญิงในบ่อน้ำที่มานั่งนับจาน 1ใบ 2ใบ 3 ใบ อะไรทำนองนี้กันใช่ป่ะ ตำนานที่ว่ามาจากที่นี่แหล่ะ เขาบอกว่าสาวใช้ที่มีชื่อว่า โอคิขุ ถูกกล่าวหาว่าทำจานมีค่าของตระกูลแตกและก็ถูกประหารแล้วโยนลงในบ่อน้ำที่อยู่ในบริเวณปราสาทนี้ ผีของโอคิขุเลยมีความเคียดแค้นออกมานับจานที่ตัวเองไม่ได้ทำแตกในตอนกลางคืนให้เราหลอนเล่นนั่นเอง

ตอนออกมาจากปราสาทกะว่าจะมากินข้าวหน้าปลาไหลฝั่งตรงข้ามเพราะเห็นว่าขึ้นชื่อแต่ดันหมด อดแดก (ซึ่งก็ดี จะได้มีข้ออ้างให้กลับมาอีก) แต่สิ่งนึงที่เราเห็นก็คือป้ายที่น่าสนใจดี ป้ายนี้บอกว่าไอก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไมนักท่องเที่ยวอย่างพวกยูไม่กินไข่ดิบกัน ไข่ไก่ประเทศไอนี่ขั้นเทพนะยู ไข่แดงอวบอูมเด้งเต่งตึงดึ๋งดั่ง สด สะอาด แดกดิบได้ไม่ไหลตายแน่นอน

คือที่ญี่ปุ่นเขาบอกว่าการเลี้ยงไก่ไข่ของเขามีคุณภาพมาก เคยดูรายการนึงคนจะเข้าไปบริเวณฟาร์มที่เลี้ยงไก่นี่ต้องฆ่าเชื้อกันเลยนะ นอกจากนี้ไข่ที่วางจำหน่ายยังถูกนำไปคัดและฆ่าเชื้อเพื่อให้สามารถกินดิบได้โดยไม่ต้องกังวลเชื้อแบคทีเรียอันตรายจากรูหูรูดตรูดไก่อย่างซัมโมเนล่าอีกด้วย

ขอบอกว่าไข่ดิบญี่ปุ่นคือดีงาม ไม่ว่าจะกินเมนูอะไรข้าวหน้าเนื้อ ข้าวแกงกะหรี่ มีไข่ดิบตอกลงไปคน ๆ สักหน่อยจะฟินขึ้นอีก 150% แค่ข้าวสวยร้อน ๆ ตอกไข่ดิบ เหยาะโชยุ โรยฟุริคาเกะไปหน่อยก็อร่อยแล้ว

เอาเป็นว่าไปญี่ปุ่นกินไข่ดิบได้ แต่กินไข่ดิบในไทยอาจถึงตายนะจ๊ะ ถ้าไข่นั้นไม่ได้มาจากผู้ผลิตที่การันตีแล้วว่าผ่านการฆ่าเชื้อจนทำให้กินดิบได้อย่ากินดิบ ควรผ่านความร้อนให้สุกก่อนจะได้ไม่เป็นภาระคนอื่นในโรงพยาบาล

สรุปเราก็เลยไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตอนนี้เพราะกะจะเก็บท้องไปยัดเนื้อโกเบให้หนำใจเลยทีเดียว ตอนนี้ขอซอฟท์ครีมรองท้องไปก่อน

จะว่าไป ซอฟท์ครีม เป็นเหมือนหนึ่งในขนมประจำชาติของญี่ปุ่น เราไม่เคยเจอที่ไหนรำรวยไปด้วยซอฟท์ครีมขนาดนี้มาก่อน ทุกที่ ทุกคนแห่งที่เราไปจะต้องมี และแต่ละที่ก็จะมีการนำส่วนผสมหรือของขึ้นชื่อในท้องถิ่นมาทำเป็นรสชาติแปลก ๆ อีกด้วย

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ทำให้การมีฤดูกาลดูเป็นสิ่งล้ำค่า ทุกอย่างจะมีการนำของตามฤดูกาลเข้ามาร่วมด้วยเสมอ เรียกว่าบางอย่างมีแต่เงินก็หากินไม่ได้ ต้องมาให้ถูกจังหวังถูกเวลาเท่านั้นถึงจะเจอ บางอย่างต้องมากินที่นี่เท่านั้นถึงจะกินได้ มีการสร้างเอกลักษณ์ของชุมชนที่เข้มแข็งส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่นได้ ที่สำคัญเขาไม่ได้นอนงอมือกระดิกนิ้วตีนรอให้รัฐบาลมาช่วยเหลือ แต่การปกครองในระดับชุมชนเขามีการจัดการกันเองที่ดีและร่วมมือกันเพื่อชุมชนของตัวเอง

 

การเดินทางจาก Himeji ไปยัง Kobe Station ด้วยรถไฟใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งเวลานั้นดวงตะวันก็เริ่มแปลเป็นสีส้มเข้มเตรียมคล้อยลับขอบฟ้าแล้ว เพื่อน ๆ ในกลุ่มก็หลับเาแรงกันแต่เรายังตื่นอยู่เพราะในระหว่างนั้นเราจะเห็นสะพาน Akashi Kaikyō ซึ่งเป็นอดีตสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกตอนที่มันสร้างเสร็จ เราเห็นสะพานนี้จากในสารคดีบ่อยมากและต้องทึ่งกับความพยายามในการเอาชนะอุปสรรคทางธรรมชาติต่างๆ จนเป็นความน่าทึ่งทางวิศวะกรรมเลย สะพานนี้ตั้งอยู่บนอ่าวที่มีมีรอยเลื่อนของแผ่นดินพาดผ่านซึ่งเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว แถมยังมีไต้ฝุ่นพัดเข้าเป็นประจำอีกต่างหาก การสร้างใช้เวลาถึง 10 เชียวล่ะ

ถึงจะไม่ได้ลงไปเห็นใกล้ ๆ แต่เห็นจากตรงนี้ก็ยังทำให้ดีใจอยู่นะ

มาถึงเมืองโกเบ ก็ต้องมากิน สเต๊กเนื้อโกเบ หนึ่งในร้านยอดนิยม (หรือในอีกมุมหนึ่งก็คือร้านสิ้นคิด) ก็คือร้าน Steak Land นั่นเอง ที่นี่จะมีเนื้อให้เลือกหลายแบบ หลากราคา ซึ่งเรามาก็ขอจัดหนักหน่อยกับเนื้ออย่างดีที่ละ 7,xxx เยน ส่วนใครที่ไม่กินเนื้อเขาก็มีชุดซีฟู๊ดให้เราเลือกแทนได้นะ

เชฟก็จะมาย่างเนื้อให้เราดูกันสด  ๆ โชว์ลีลาโยนตะหลิวแบบพริ้วไหวปลายมีดกรดไปลงเนื้อแดงลายมันเห็นความชุ่มฉ่ำจุ๊ยซี่จนพี่น้ำลายสอ

จากการมาญี่ปุ่นเราพบว่าจริงๆแล้วคนญี่ปุ่นมีโครงหน้าหลายแบบเหมือนกันและคันแถบคันไซดูจะมีโครงหน้าที่ค่อนข้างมีเครื่อง แบบมีดั้ง มีสัน มีกรอบหน้าชัด ทำให้ผู้ชายแถบนี้ดูเพลินตาเจริญใจมิใช่น้อย

อร่อย…

หมายถึงสเต๊กนะ

แต่ที่สุดมั้ย? บอกเลยว่าเราเคยกินอร่อยกว่านี้มาแล้ว แต่โดยรวมถือว่าดี คุ้มเงินที่จ่ายอยู่

หลังจากอิ่มกันแล้วออกมาข้างนอกก็ราวทุ่มกว่าเรามีเวลาไม่มากนักในการสำรวจเมืองโกเบ ทำได้แค่ลองแวะเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตนิดหน่อยซึ่งก็ใกล้จะปิดแล้ว คราวนี้ก็ยังไม่ได้กินชีสเค้กของ Kannonya อันขึ้นชื่อของโกเบซึ่งรอบหน้าเราจะไม่พลาด

วันนี้หลังจากลงจากสถานีโอซาก้าเราก็ขอแวะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ห้างแถวนั้นบ้าง สิ่งดีงามที่เราพบคือร้าน Rikuro’s Ojisan ซึ่งขายชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่นที่มีเนื้อเบาฟูนุ่มนั่นเอง ชีสเค้กเขาอร่อยนะ เบานุ่มละลายในปาก แต่สิ่งที่โคตรวิเศษของร้านนี้คือ Rikuro’s Fresh Milk & Egg Toro-Ripudding ที่คนรักพุดดิ้งคัสตาร์ดอย่างเราขอกราบงาม ๆ ในความอร่อยล้ำ เนื้อพุดดิ้งเนียนละมุนเข้มข้นถึงเครื่องครีมและไข่ หอมหวานด้วยวนิลาแท้ กับคาราเใลที่เบิร์นได้หอมหวานปนขมกำลังดี เก็บเงินซื้อพุดดิ้งในมินิมาร์ทไปซื้ออันนี้ซะ มันดีกว่ามาก จ่ายเพิ่มอีกแค่ไม่กี่สิบเยนแต่ได้ของดีกว่าแบบลืมโลกเลย

กินเค้กกับพุดดิ้งแล้วก็มีผลไม้ล้างปากกันนิดหน่อย เราได้องุ่นพวงนี้จากซุปเอร์ที่โกเบ ตอนซื้อมาก็ไม่คิดอะไรมองว่ามันดูน่ากินดี ลดราคาเหลือพวงละ 900 เยนด้วย ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่พอกัดเข้าไปละคุณเอ๊ยยยยยยย สรุปว่ามันเป็นองุ่นเคียวโฮซึ่งเป็นพันธุ์ที่ขึ้นชื่อและหากินได้ช่วงเดือนสิงหาถึงตุลาคมพอดีเลย เปลือกข้างนอกดูสีเข้มแต่เนื้อข้างในใสกรุบกรอบและหอมฟุ้งทั่วปาก อร่อยมาก ๆ คือวันต่อมาพยายามตามหาองุ่นแบบนี้ตามทางที่เราไปเที่ยวแต่ก็ไม่เจออีกเลย น่าเสียดายจริง ๆ

สิ่งหนึ่งที่เราไปเห็นในซุปเปอร์มารเก็ตของเขาโดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรเขาจะมีป้ายบอกว่าองุ่นนี่นะ ผักนี่นะ ไข่นี่นะ มาจากไร่ของคุณคนนี้  แปะรูปคนปลูกคนเลี้ยงให้ดูด้วยอีกต่างหาก เขาภูมิใจในคุณภาพและความเอาใจใส่ที่เขามีต่อผลผลิตของเขาและเพื่อการันตีว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะมอบให้กับผู้บริโภคอย่างเรา

ในญี่ปุ่นจะมีร้านที่เป็นเหมือนสหกรณ์ที่คนในพื้นที่จะเอาผลผลิตของตัวเองมาจำหน่ายกันทำให้ที่นี่มีวัตถุดิบสด  ๆ จากท้องถิ่นอยู่เสมอ นอกจากนี้ระบบขนส่งที่รวดเร็ว ครอบคลุม และวางใจได้ ทำให้การขนส่งผลผลิตทางการเกษตรยังคงความสด ลดการเสียหาย ทำให้ต้นทุนของอาหารลดลงในขณะเดียวกันก็ได้ของที่สดใหม่และคุณภาพดี คนที่บอกรถไฟความเร็วสูงมีไว้ขนผักแล้วหัวเราะเยาะว่าเป็นเรื่องตลกเนี่ย ถ้าตัดเรื่องอคติทางการเมืองออกไปและดูประโยชน์ที่ได้ เราบอกเลยว่ามันไม่ตลก (555)

Day 4 : Kyoto

วันต่อมาเราไปเมืองแห่งชาเขียวอย่าง เกียวโต (Kyoto) ซึ่งจากสถานีโอซาก้านั้นก็ไปแสนง่ายแค่นั่งรถไฟสาย Hankyu ยิงยาวจนไปถึงเมืองเกียวโตได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนสายเลย จุดแรกที่เราจะไปในเมืองเกียวโตก็คือป่าไผ่ Arashiyama ซึ่งหลังจากลงที่สถานี Saiin Station แล้วเราก็เดินไปขึ้นรถรางซึ่งเป็นเหมือนรถไฟที่มีตู้เดียววิ่งแบบเอื่อย ๆ ตัดไปตามย่านชุมชนที่เงียบสงบ จุดหมายของเราถือสถานี  Saga-Arashiyama Station
ที่สถานีนี้มีร้านขายของที่ระลึกและก็มีร้านซอฟท์ครีมซึ่งมีหลายรสชาติ หนึ่งในรสของฤดูนี้ก็คือลูกแพร์ญี่ปุ่นซึ่งหลังจากที่เราลองกินมันมีเนื้อแพร์ผสมอยู่จริงๆ ล่ะ กลิ่นก็หอมมากทีเดียว

การเดินทางมาเที่ยวด้วยตัวเองนี้มีความสนุกอย่างหนึ่งคือการหลงทาง คือแม้ว่าเราจะมี Google Map แล้วก็เถอะ แต่บางครั้งการหาทางเข้าที่ถูกต้องจากแผนที่มันก็เป็นเรื่องของการลองสุ่มเดินดูเอาอยู่ดี แต่การหลงทางไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเสีย บางครั้งมันทำให้เราได้พบบางอย่างที่เราไม่คิดว่าจะเห็นด้วยนะ

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สวยงาม เจริญจริง แต่เก็บรักษาธรรมชาติ ต้นไม้ และความเป็นอยู่ของชุมชนได้อย่างครบถ้วน ถ้าคุณมาเดินดูที่ร่องระบายน้ำที่เมืองเกียวโตแถว Arashiyama คุณจะเห็นน้ำที่ใสสะอาดเหมือนคริสตัลที่มีปลาคาร์ฟแหวกว่ายอยู่ในนั้น  คืออยากถ่ายรูปมาแต่ก็ไม่ได้ถ่ายอ่ะ เดี๋ยวจะดูเหมือนว่าอะไรมาถึงนี่นี่กลับถ่ายท่อระบายน้ำ สงสัยที่บ้านตัวเองไม่มี (ซึ่งมันก็ไม่มีแบบนี้จริง ๆ แหล่ะ)

ป่าไผ่ Arashiyama มันก็ไม่มีอะไรหรอก มีแต่ต้นไผ่เต็มไปหมดสองข้างทาง ถ้ามาในช่วงที่ไม่ค่อยมีคนน่าจะถ่ายรูปได้สวยและดูขลังบนน่าขนลุกอยู่เหมือนกัน ตลอดทางเดือนของป่าไผ่จะเจอแมงมุมตัวใหญ่เหมือนกัน รวมความยาวขาแล้วก็เป็นคืบได้เลยนะ การถ่ายแมงมุมเป็นอะไรที่ยากมากเพราะเราไม่มีเลนส์เทเลที่ยาวพอ โฟกัสหาตัวยากมาก แถมมือสั่นอีกต่างหากเพราะต้องยื่นสุดแขน ทำได้ดีสุดแค่นี้ตามรูปจ้า

จริงๆ แถวป่าไผ่มีอะไรให้ทำหลายอย่างนะ อย่างนั่งรถไฟสายโรแมนติค Sagano Romantic Train ซึ่งเราตัดสินใจจะไม่ไปเพราะว่าตอนนี้ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีเต็มที่ เราหาโอกาสมาอีกทีตอนฤดูใบไม้ผลิหรือตอนใบไม้เปลี่ยนสีเลยดีกว่า เป้าหมายหลักสองอย่างของเราในครั้งนี้คือการไปวัดทอง และวัดน้ำใส ซึ่งอยู่ไปไกลพอสมควร

ระหว่างทางจากป่าไผ่กลับมาที่สถานีรถรางก็เจอร้านดังโงะก็ซื้อกิน เจอร้านซอฟท์ครีมที่ทำจากนมถั่วเหลืองก็ซื้อกิน ซอฟท์ครีมอันนี้อร่อยดีนะ ร้านที่ขายมีขายเต้าหู้ด้วย แต่ชื่อร้านเราอ่านไม่ออกล่ะ

เรานั่งรางมาลงที่สถานี Kitanohakubaicho Station มาหาอะไรกินแถวสถานีแบบง่าย ๆ แล้วไปขึ้นรถบัสไปยังวัดทองกันต่อ

เรามาถึงทางเข้าของวัดทอง หรือ Kinkaku-Ji Temple ซึ่งโอบไปด้วยต้นไม้ใหญและหญ้ามอสที่ปกคลุมดูสดชื่นสบายตา ทางด้านขวาป็นร้านขายของกินซึ่งเราก็เบนไปเห็นซอฟท์ครีมงาดำที่ดำได้ใจมาก แต่เราว่ามันหวานเกินไปหน่อยล่ะ ทางด้านดังโงะตัวแป้งชาเขียวก็หนึบๆ หอม ๆ ดี อันที่บีบครีมงาดำก็หอมนะ แต่หวานไปอีกแล้ว ถ้าหวานน้อยลงกว่านี้จะดีมาก แต่ซื้อมากินเพราะมันมีแผ่นทองคำโปรยมาด้วย แรดดี

ก่อนจะเข้าไปชมตัววัดทองที่โด่งดังได้เราต้องจ่ายเงินค่าเข้าก่อนซึ่งตั๋วเข้าไปมีหน้าตาแบบในรูปเหมือนยันต์เลยล่ะ และถึงเราจะอ่านไม่ออกว่ามันเขียนว่าอะไร แต่เราก็มั่นใจได้ว่าเราก็จ่ายเท่ากับคนที่ญี่ปุ่นเขาจ่ายกันน่ะ เขาไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยวอย่างเรา

วัดทอง หรือ Kinkaku-ji Temple เดิมเป็นที่พำนักอาศัยของโชกุนท่านนึงซึ่งก่อนที่ท่านจะตายก็มีควาประสงค์ที่จะให้สถานที่แห่งนี้เป็นวัดลัทธิเซน ตัววัดถูกแปะด้วยทองคำเปลวอร่ามสะท้อนแสงแดดเปล่งประกาย ถ้ามาในวันที่ลมสงบจะเห็นวัดสะท้อนกับผืนน้ำตรงบ่ออย่างสวยงาม

เกร็ดเล็กน้อย โชกุนที่บอกว่าเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ก็คือโชกุนคนเดียวกับที่เราเคยดูในการ์ตูนเรื่อง อิคคิวซังนั่นแหล่ะ

 

 

ทางเดินอ้อมหลังวัดไปจะมีทางเดินขึ้นเนินซึ่งมีศาลเจ้าอยู่แถวนั้นจะมีร้านให้เรานั่งดื่มชามัทฉะแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ กับของหวานแกล้มได้บรรยากาศดีทีเดียว ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่ใกล้จะเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงคือเริ่มอากาศเย็นแล้วแต่ยังคงมีความเขียวฉ่ำของต้นไม้อยู่มาก

หลังจากนั้นเราก็ไปกันต่อที่วัดน้ำใส หรือ Kiyomizu-dera Temple ซึ่งเป็นจุดที่เป็นที่จดจำมากที่สุดของเมืองเกียวโตกับโครงสร้างไม้ของวัดที่มีระเบียงยืนมาตรงไหลเขาสูง 13 เมตร ที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็เพราะว่าวัดนี้สร้างขึ้นทับน้ำตกที่มีน้ำใสสะอาด โดยที่ฐานของวัดจะมีศาลเจ้าที่ต่อน้ำจากน้ำตกออกมาเป็น 3 ราง โดยแต่ละรางเชื่อว่าถ้าตักไปดื่มแล้วจะได้รับพรที่ต่างกันไป ความรัก การเรียน และอายุที่ยืนยาว ซึ่งเขาบอกว่าไม่ควรดื่มทั้งสามอันเพราะจะกลายเป็นคนโลภมากลาภจะหาย

ขาลงจากวัดน้ำใสเราลงมาทางฝั่งทางเข้าหลักของวัดซึ่งมีร้านรวงอยู่เต็มสองข้างทางซึ่งอุดมไปด้วยร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก ร้านที่เห็นในรูปมีชื่อเรื่อง บามคูเฮง (Baumkuchen) หรือ เค้กขอนไม้ และเมนูพิเศษที่มีที่ร้านก็คือซอฟครีมมัทฉะกับบามคูเฮงเป็นชิ้นพอดีคำข้างใต้ อันนี้ดีนะ ประทับใจ แต่ซอฟครีมทัทฉะยังไม่สุด เราชอบมัทฉะมากและอยากได้แบบเข้มข้นกว่านี้อีก คงต้องไปตามหาร้านอื่นอีกรอบในโอกาสหน้า

Baumkuchen เป็นขนมดั้งเดิมของเยอรมัน แต่คนญี่ปุ่นชอบเค้กชนิดนี้มากเพราะมองว่ามันเหมือนขอนไม้อันเป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุที่ยืนยาว เขาเลยซื้อกันเป็นของขวัญมอบกันในโอกาสต่าง ๆ

ที่สุดท้ายที่เราตั้งใจมาก็คือ Fushimi Inari Shrine หรือศาลเทพเจ้าจิ้งจอก ที่นี่โด่งดังจากประตูศาลเจ้าสีแดงที่เรียงซ้อนกันเป็นตับตลาดทาง ประตูแดงเหล่านี้เรียกว่า โทริอิ ซึ่งสาเหตุที่มันมีเยอะขนาดนี้เนื้องจากบริษัทห้างร้านต่างๆ นิยมบริจาคประตูศาลเจ้าถวายเพื่อเป็นสิริมงคลนั่นเอง

เนื่องจากวันนี้เราหลงทางมากไปหน่อย แถมเสียเวลาไปกับการรอรถเมล์ตอนไปวัดน้ำใสอยู่นาน ไม่นับการเดินจากวัดไปสถานีรถไฟฟ้าที่หาได้ใช้เวลาเพียง 15 นาทีตามป้าบอกไม่ (คงเป็นเพราะเราเหนื่อยแล้วเลยเกินกันเนิบมาก) ก็เลยมาตอนที่แสงจะหมดตะวันลับขอบฟ้ากันแล้วเลยถ่ายรูปไม่ค่อยได้แะไม่กล้าที่จะเดินขึ้นไปไกลนัก นี่เป็นอีกจุดที่ตั้งใจว่าจะกลับมาเก็บใหม่อีกรอบล่ะ

สถานีรถไฟ Kyoto Station ไม่ใช่จุดที่เราจะต้องผ่านตอนกลับแต่เราตั้งใจแวะมาที่นี่เพื่อกินโดยเฉพาะ สถานีแห่งนี้ค่อนข้างคุ้นตาเราพอสมควรเพราะมันเป็นฉากอยู่ในหนังสัตว์ประหลาดถล่มเมืองที่เราชอบดูอยู่เนือง ๆ การออกแบบสถานีทำได้น่าสนใจมากเลยล่ะ พื้นที่ของโถงที่สูงและไล่ระดับการใช้งานของพื้นที่แบบขั้นบันได เกียวโตจึงไม่ได้เป็นแค่เมืองที่หากินกับการเป็นเมืองเก่า ขายของเก่า ตึกเก่า วัดเก่าอย่างเดียว แต่สถานีรถไฟในเมืองเก่าแห่งนี้กลับใช้สถาปัตยกรรมที่ล้ำและแตกต่างกับสิ่งที่เราไปเห็นมาโดยสิ้นเชิง กลายเป็นจุดเด่นและจุดขายใหม่ที่ทำให้คนที่แวะมาต้องหยุดเยี่ยมชมในความงามของมันได้

เรื่องนี้ทำให้เรานึกย้อนถึงตอนที่สนามบินสุวรรณภูมิเปิดใหม่ๆ แล้วมีแต่คนออกมาด่าว่า “ไม่เห็นมีความเป็นไทยเลย” แล้วเราก็มองว่าทำไมมันจะต้องสร้างสนามบินเป็นหลังคาทรงจั่วรอบรั้วปั้นใบเสมาหรอถึงจะไทยถูกใจเขา? ทำไมความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย ต้องมีแต่อะไรเก่า ๆ ที่ถูกแช่แข็งไว้ไม่ให้มีการพัฒนา ในขณะที่ญี่ปุ่นมีของเก่าที่ดีงามและรักษาไว้เป็นอย่างดีแต่ก็เปิดกว้างในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ มีวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ทั่วโลกรับรู้และยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น แนวคิดในการดำเนินชีวิต การ์ตูน หรือมาสคอตที่ไม่ว่าใครก็ต้องหลงรัก แต่ประเทศบ้านเกิดเราเองกลับไม่ค่อยวัฒนธรรมร่วมสมัยที่สร้างสรรค์และมีศักยภาพพอที่จะเป็นสินค้าเชิงวัฒนธรรมได้ทั้ง ๆที่จริงๆแล้วเราเชื่อว่าคนไทยมีไอเดียเจ๋งๆ เยอะนะ ดูได้จากเรื่องของอุตสหกรรมโฆษณาที่ของไทยได้รับการยอมรับในระดับโลกแล้วว่าเด็ดดวงแต่ทำไมความไอเดียบรรเจิดแบบนี้ไม่สามารถสร้างสินค้าเชิงวัฒนธรรมที่จริงจังออกไปสู่ตลาดโลกได้?

ปัญหาการไม่งอกเงยของวัฒนธรรมของเราอาจมาจากแนวคิดแช่แข็งวัฒนธรรม ห้ามแตะต้อง ห้ามเปลี่ยนแปลง และมองวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นของสูงหรือบ้างก็มองว่าเป็นเรื่องศักดิสิทธิ์ไปเสียนั่น บ้างก็มองว่าความเปลี่ยนแปลงคือศัตรูคือหายนะ แต่หารู้ไม่ว่าวัฒนธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือวัฒนธรรมที่มันตายแล้ว และคนไทยกำลังฆ่าวัฒนธรรมที่ตนเองป่าวร้องว่ารักมันหนักหนา…

แต่เอาเป็นว่าเรามาสถานีเกียวโตเพราะสิ่งนี้ละกัน ร้านของทอดที่มีคนแนะนำให้มาลองอย่าง Katsukura ซึ่งมีสาขากระจายอยู่ตามจุดสำคัญในประเทศญี่ปุ่น เมนูที่สั่งคือ Premium Loin  Cutlet ซึ่งมีขนาดตามน้ำหนักให้เลือกในราคา 1,300 – 1,980 เยน เนื้อแน่นแต่นุ่มไม่เหนียวเลย เกล้ดขนมปังกรอบไม่อมน้ำมัน

เมนูกุ้ง Large Prawn Cutlet อันนี้สั่งเพิ่มราคา 920 เยน กุ้งตัวใหญ่มาก ยาวสองคืนเลยนะ เนื้อแน่น กรอบ สดมาก โคตรคุ้มเงิน

เมนูครอกเก้ไข่ออนเซ็นไส้ชีสห่อด้วยแฮมก็เด็ดมาก 380 เยนถือว่าไม่แพงเลย

คืนนี้หลับตลอดตลอดทางที่กลับไปโอซาก้าเลย เหนื่อยมาก แต่เราได้ประสบการณ์ที่ดีเลยล่ะ

Day 5 : Good Bye Kansai

วันสุดท้ายของเรามาถึงแล้วนี่คงเป็นวันแรกที่ตื่นสายตะวันโด่งไม่ต้องรีบตื่นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่เราไมไ่ด้มีแพลนอะไรนอกจากเช็คเอ้าท์และฆ่าเวลาในโอซาก้าก่อนถึงเวลาที่จะต้องไปสนามบินในตอนหัวค่ำ แต่ก่อนจะเช็คเอ้าท์ได้ก็ต้องเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อน

ทริปนี้เราบอกไว้เลยว่าไม่รู้จะซื้ออะไร แต่วันกลับทำไมมันล้นกระเป๋าไปซะได้… ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่ากลัว ของทุกอย่างมันจะน่ารัก ชวนซื้อ ชวนเสียตังอย่างน่าประหลาด

การเก็บกระเป๋าแบบที่ปูเป้ทำคือการเรียงให้มันเป็นระเบียบมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าแน่นเกินไป เหลือพื้นที่ให้เผื่อถูกกดทับบ้างของจะได้ไม่เสีย และคลุมเอาไว้ด้วยเสื้อตัวใหญ่เพื่อให้ของที่แพ็คไว้มีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุดในระหว่างเดินทาง

สิ่งสำคัญคือเราควรจัดของแบบเหลือพื้นที่ให้ยัดอะไรเพิ่มวินาทีสุดท้ายไว้บ้างและแบ่งโซนให้ชัดเจนว่ากระเป๋าเราเหลือที่อีกเท่าไหร่เพราเราจะได้รู้ตอนที่ไปเดินช็อปปิ้งว่าสิ่งนี้น่าจะยัดได้หรือไม่สามารถยัดลง จะช่วยในการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อได้ง่ายขึ้น

ร้านอาหารที่เรามากินกลางวันอยู่ระหว่างทางเดินจากสถานีโอซาก้ามายังโรงแรม เราเดิน่าน ไป- กลับ ทุกวัน เห็นคนคอยคิวยาวทุกวันในช่วงมื้ออาหาร วันนี้เราเลยตัดสินใจแวะมาลองดูว่ามันเด็ดแค่ไหน ก็พบว่ามันคือร้าน Mita Seimen Jo ที่ค่อนข้างมีชื่อ และปัจจุบันมีสาขาที่ฮ่องกงแล้วด้วยนะ ร้านนี้ขึ้นชื่อเมนู Tsukemen ซึ่งเป็นเมนูที่ใช้เส้นราเมงแบบหนาพิเศษ เสริฟมาแบบเป็นเส้นร้อนหรือเย็นก็ได้ เวลากินก็จิ้มคู่กับซุปที่เข้มข้นและถึงเครื่องแกงเหมือนแกงกะหรี่เลยล่ะ เราสั่งเส้นราเมงแบบเย็นมาและเราชอบมากตรงที่มันมีความหนึบนุ่มเหนียวกำลังดี ซึ่งเปนสัมผัสของอาหารที่เราชื่นชอบในอาหารและขนมญี่ปุ่น

ช่วงบ่ายเราก็เดินเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย สิ่งหนึ่งที่พยายามเดินไปหาดูก็คือกระเป๋า Bao Bao Men Hiker ที่อยากได้และก็พบว่าการมาหาในญี่ปุ่นมันยากเย็นสมชื่อ ต้องมาเข้าแถวรับบัตรคิวเพื่อมาซื้อเป็นรอบ ๆ อีกต่างหาก ไม่นับว่าหาร้านที่ขาย Bao Bao Men ได้ยากเย็นแสนเข็ญ

ที่ชั้นล่างของห้าง Hankyu เป็นที่อุดมไปด้วยร้านขนม ของฝากและซุปเปอร์มาร์เก็ตทำให้เราเห็นของที่ทำให้เราแปลกใจอีกอย่างก็คือตู้ล็อคเกอร์ที่เป็นตู้เย็น เอาไว้ให้เราฝากของที่ต้องแช่เย็นเอาไว้ในระหว่างที่เรากำลังเดินซื้อของหรือจะไปช็อปปิ้งต่อที่อื่น

หลังจากนั้นเราก็เดินมาดูย่าน Den Den Town ซึ่งเป็นย่านของวัยรุ่นหน่อย แถวนี้จะมีร้านขายของเล่นและร้านที่เกี่ยวเกมส์ อนิเม มังงะค่อนข้างเยอะเลย (แต่ก็น้อยกว่าอากิบะที่โตเกียว) ของหลายอย่างบอกเลยว่าใครที่ชอบของเล่น ของสะสม ให้เก็บเงินแล้วมาที่ญี่ปุ่นเพราะว่าราคาถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่งกับราคาที่เขาหิ้วกันไปขายในไทยกันเลยก็มี

ขากลับเรานั่งรถไฟ Nankai Airport Express กลับจากสถานี Namba ซึ่งอันที่จริงแล้วเรากะจะนั่งรถไฟหวานเย็นที่รวมอยู่ใน Pass ของเราอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยนั่งรถไฟ Express แบบนี้มาก่อนเลยลากคนอื่นมาเสียตังเพิ่มด้วยอีกราว 570 เยน ซึ่งขอบอกว่าจ่ายเหอะ เงินแค่นี้แลกกับความสะดวกสบายและที่นั่งอันกว้างขวางและเวลาที่รวดเร็วกว่าในการเดินทางกลับไปสนามบิน

ที่สนามบินเรามีเวลาเหลือเฟือในการหาอะไรกินและนั่งเอื่อเฉื่อยไปเรื่อยเพราะกว่าจะบินก็เกือบเที่ยงคืนแน่ะ ที่สนามบินมีร้านอาหารอยู่หลายอย่างให้เราเลือกกินได้ตามสะดวก ที่สำคัญคือราคาทุกอย่างไมไ่ด้แพงกว่าในเมืองแต่อย่างใด ทั้งน้ำ อาหาร ร้านสะดวกซื้อ ทุกอย่างราคาเท่ากันหมด ซึ่งทำให้เราก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอาหารในสนามบินเรามันต้องแพง ทำไมน้ำขวดละ 6 – 7 บาท ต้องกลายมาเป็นขวดละ 30 บาทแถมมีขายได้ยี่ห้อเดียวอีกต่างหาก

มีคนเคยบอกว่าสนามบินเราเก็บค่าที่แพง มันก็คงเป็นการเก็บค่าที่แพงมาชาจผู้โดยสารสูงๆ แลกกับสนามบินที่ไม่ได้คุณภาพ ห้องน้ำห่วย ๆ และการจัดการที่นับวันมีอันดับถอยหลังลงคลองลงไปทุกปีเนอะ

อ้อ เราลองซื้อ Plabo Premium Cheese Tart มาด้วยด้วย มันจะต่างกับที่เราเคยกินคือมันเป้นอารมณืเหมือนชีสเค้กเนื้อแน่น ๆ แล้วก็มีคาราเมลกรอบ ๆ บนหน้า ซึ่งเราชอบนะ แต่ไม่มีวันกินคนเดียวหมดแน่นอน และถ้าจะซ้อกกลับก็ลำบากหน่อยเพราะเก็บได้ไม่นานมากนักน้ำตาลคาราเมลข้างหน้าก็จะเริ่มเยิ้มละลายไม่เป็นแผ่นกรอบ ๆ เหมือนตอนที่เขาทำมาล่ะ

Starbucks ที่นี่วิปครีมแตกต่างจากที่บ้านเรา ของเขาจะเป็นครีมนุ่ม ๆ ระดับ soft peak มีความมัน หอม ในขณะที่ของไทยจะเน้นความฟูฟ่องพองบานเบาเป็นอากาศซึ่งอร่อยไปคนละแบบล่ะ

เมื่อถึงเวลาเราก็ขึ้นเครื่องเดินทางกลับสู่บ้านเกิดของเราด้วยการหลับยิงยาวจนถึงเช้า

การไปเที่ยวคันไซในครั้งนี้เกิดความคาดหวังของเรา เราคิดอยู่แล้วว่าญี่ปุนต้องเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่วิเศษ แต่มันเกินความคาดหวังของเราจริงๆ และการเที่ยวในครั้งนี้ต่างกับเมื่อ 5 ปีก่อนมากเพราะเทคโนโลยีของสมาร์ทโฟนและข้อมูลของ application ต่าง ๆ นั้นพร้อมมาก ทำให้การไปเที่ยวในญี่ปุ่นช่างง่ายดาย ขอแค่มีสมารท์โฟน สัญญาณอินเตอร์เน็ท และเงินในกระเป๋าก็สามารถเที่ยวได้อย่างสบายใจ

ญี่ปุ่นเปิดตัวรับนักท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมนู และป้ายภาษาอังกฤษมีมากขึ้น และ Google Translate ก็สามารถทำให้เราถ่ายรูปและเลือกแปลภาษาญี่ปุ่นที่เราอ่านไม่ออกได้ในทันที ถึงจะไม่ตรงเป๊ะแต่ก็พอให้เราเที่ยวได้อย่างไม่ยากเย็นเกินไปล่ะ

การไปเที่ยวไปเยือนที่ใหม่ ๆ เป็นอะไรที่เปิดหูเปิดตา และถ้าเราคิดมากกว่าแค่เห็นว่ามันสวยดีแต่มองไปถึงเหตุผลที่สิ่งนี้เกิดขึ้นและความเป็นมาเราจะเห็นถึงความพยายามที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์ชวนให้ย้อนกลับไปอย่าไม่รู้จักเบื่อ

แล้วเจอกันใหม่นะคันไซทีรัก…