วันนี้เป็นรีวิวที่เรารอมานานกว่าครึ่งปีถึงจะได้ปล่อยออกมาเพราะว่าเราได้มาตั้งแต่ตอนงานเปิดตัวที่ญี่ปุ่นเมื่อช่วงปลายปี 2015 ที่ผ่านมาแต่เขาพึ่งวางขายอย่างเป็นทางการในเดือน กรกฏาคม นี้นี่เอง ผลิตภัณฑ์ที่ว่าก็คือ Kiehl’s : Dermatologist Solutions Nightly Refining Micro-Peel Concentrate (30ml / 2,650 Baht) หรือที่มีชื่อเล่นสั้น ๆ ว่า “Quinoa Serum” เพราะส่วนผสมที่ถูกยกเป็นนางเอกในนี้ก็คือสารสกัดที่ได้มาจาก Quinoa (อ่านว่า “คีนัว”) นั่นเอง
ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ทำหน้าที่ในการช่วยเก็บกวาดผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพในยามค่ำคืนเพื่อเผยผิวที่ใหม่ สดใส ดูอ่อนเยาว์กว่าในยามเช้า จุดเด่นที่เขาภูมิใจนำเสนอคือมันเป็นตัวผลัดเซลล์ผิวที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนโยนมากแม้แต่ผิวที่ระคายเคืองง่ายก็ยังใช้ได้ แถมยังเหมาะมากที่จะใช้คู่ไปกับการทำ Chemical Peel โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย
แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปถึงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ มีสิ่งที่เราอยากจะบอกต่อและทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของการทำงานของผิว การผลัดเซลล์ และมาทลายความเชื่อที่การทำการตลาดเฮงซวยสร้างความกลัวและเข้าใจผิดว่าการผลัดเซลล์ผิว ทำให้หน้าบาง อ่อนแอ แพ้ง่าย กันซะหน่อย
ผิวของเราหลัก ๆ มีผิวชั้นนอก Epidermis ซึ่งเป็นชั้นที่ปกป้องอวัยวะด้านใน กันความชุ่มชื่นระเหยออกและปกป้องผิวจากสิ่งรบกวนภายนอก เซลล์หลัก ๆ ก็คือ Keratinocyte ที่แบ่งตัวตลอดเวลาที่ชั้น Basal Layer และเปลี่ยนสภาพไปเมื่อถูกดันให้ขึ้นมาสูงขึ้นจนกลายเป็นเซลล์ขี้ไคล Corneocyte ซึ่งเซลล์ขี้ไคลก็จะเรียงตัวติดกันเป็นชั้นขี้ไคล หรือ Stratum Corneumโดยมีสิ่งที่เรียกว่า Desmosomes (Corneodesmosomes) เป็นเหมือนกาวเป็นตัวยึดเซลล์เหล่านี้ไว้ด้วยกัน โดยตามธรรมชาติแล้วจะมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการสลายโครงสร้างโปรตีนของ Corneodesmosomes ออกจากกันจนเกิดการผลัดเซลล์ผิวออกไปซึ่งเราเรียกกระบวนการนี้ว่า Desquamation ส่วนชั้นที่ลึกลงไปก็คือชั้นหนังแท้ Dermis ซึ่งมีเส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน เป็นเส้นเลือดฝอย เป็นส่วนของโครงสร้างค้ำยันผิว
เอนไซม์หลัก ๆ ที่ทำหน้าที่สลายสิ่งที่เหมือนกาวยึดเซลล์ขี้ไคลเหล่านี้ ก็คือเอนไซม์กลุ่ม Trypsin หรือ Chymotrypsin และก็ยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่คล้ายกัน (Trypsin-like) ซึ่งในความปกติผิดทางพันธุกรรม การติดเชื้อ หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมอย่างความชื้นในอากาศที่น้อย หรือผิวมีความแห้งกร้านก็จะส่งผลกับการทำงานของเอนไซม์เหล่านี้ จนทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวที่ปกติ เกิดเป็นผิวลอกเป็นแผ่น หรือเกิดชั้นผิวหนังแข็งด้าน เป็นต้น
การผลัดเซลล์ผิวนั้นมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพอย่างการขัดถู หรือเชิงเคมี/ชีวภาพในการใช้สารเพื่อไปสลายโครงสร้างโปรตีน หรือกระตุ้นกลไกตามธรรมชาติอย่างเอนไซม์ต่าง ๆ มาตัดตัวยึดเซลล์ขี้ไคลออกไป ซึ่งส่วนผสมในการผลัดเซลล์ทางเคมีนั้นมีหลายอย่าง ทำงานในจุดที่ต่างกัน มีข้อจำกัด ข้อควรระวัง และความอ่อนโยนที่ต่างกันไปตามเงื่อนไข
ประเด็นที่น่าสนใจคือเมื่อเราพูดถึงเรื่องการผลัดเซลล์ผิวเชิงเคมี/ชีวภาพนั้น มันจะโยงไปกับคำว่า Chemical Peel ซึ่งเป็นคำที่กว้าง และการทำ Chemical Peel ทางการแพทย์ก็มีหลายระดับตั้งแต่ Superfacial Peels ซึ่งจะอยู่แค่ส่วนของ Epidermis จนถึง Medium Peels ที่ลงไปยังส่วนบนของผิวหนังชั้นใน และ Deep Peels ที่ลอกไปถึงชั้นหนังแท้ระดับลึก เลือดซิบ ๆ กันเลยทีเดียว ซึ่งในเครื่องสำอางนั้นจะไม่ทำงานในระดับที่ลึกแบบ Chemical Peel ทางการแพทย์แบบนี้
ในระดับของเครื่องสำอางนั้น ส่วนผสมผลัดเซลล์ผิวถูกกำหนดให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้และการทำงานของมันจะอยู่แค่ชั้นขี้ไคลหรือ Stratum Corneum ที่เป็นเหมือนฟิลม์บาง ๆ คลุมปกป้องผิวเท่านั้น ซึ่งเหตุผลที่เราจำเป็นต้องใช้ส่วนผสมในการผลัดเซลล์ผิวก็เพราะว่าเมื่อเราอายุเยอะขึ้นการทำงานและการผลัดเซลล์ขี้ไคลของเราก็จะแย่ลง การโดนแสงแดดทำร้ายก็จทำให้ชั้นขี้ไคลสะสมหนาตัวจนทำให้เกิดความหมองคล้ำ หยาบกร้าน ขัดขวางการดูดซึมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เราทาลงไปให้มีประสิทธิภาพน้อยลง และยังไม่นับถึงปัญหาสิวที่การผลัดเซลล์ผิวเป็นสิ่งจำเป็นในการลดการอุดตันและทำให้ผิวเป็นสิวได้ยากขึ้น
ส่วนตัวเป็นคนที่เชื่อในการผลัดเซลล์ผิว เป็นคนที่ใช้เป็นประจำอย่างเข้าใจ และการผลัดเซลล์ก็เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับแล้วว่าช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีสภาพที่ดีขึ้น อ่อนเยาว์ลง และช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลายอย่าง เพียงแต่นั่นต้องทำอย่างเข้าใจและเสริมการป้องกันแสงแดดให้กับผิวเป็นประจำ
คำโฆษณาที่สร้างความหวาดกลัว วิตกจริต จนกลายเป็นตราบาปให้กับส่วนผสมผลัดเซลล์ผิวไม่ว่าจะเป็นกรดผลไม้ AHAs BHA และอื่น ๆ ว่าใช้แล้วผิวจะบาง ไวต่อแดด อ่อนแอ แพ้ง่ายนั้น เป็นการเล่าข้อเท็จจริงแค่เสี้ยวเดียวและปั่นความกลัวให้ผู้บริโภคเพื่อที่จะสร้างจุดขายให้สินค้าตัวเองด้วยสร้างปีศาจขึ้นมาสักอย่างหนึ่งให้คนกลัว เหมือนคนที่พยายามบอกว่าตัวเองเป็นคนดีด้วยพยายามกดคนอื่นให้ดูเลวกว่าด้วยการใส่ความหรือการเล่าความจริงไม่หมดจนเกิดความเข้าใจผิด
ข้อเท็จจริงคือส่วนผสมผลัดเซลล์ผิวในเครื่องสำอางนั้น ถ้าใช้ในความเข้มข้นและเงื่อนไขที่ทำงานได้จริง มันก็จะทำให้ผิวชั้นขี้ไคลที่มันหนาเกินจนก่อปัญหาให้กับผิวของเรามันบางลงเท่าที่มันควรจะเป็นตามปกติ แต่ผิวชั้นอื่นที่ลึกลงไปไม่ได้บางลงหรืออ่อนแอลงอย่างที่เข้าใจแต่อย่างใด กรณีเดียวเท่านั้นที่การผลัดเซลล์ผิวจะก่อผลเสียคือการใช้ “มากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในความเข้มข้นที่สูงไป ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าความเป็นกรดด่างที่ต่ำไป หรือใช้โดยไม่ปรับให้เหมาะกับผิว ก็จะทำให้ผิวชั้นขี้ไคล หรือชั้น Skin Barrier ไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้ผิวแห้ง ระคายเคืองง่าย และเป็นสัญญาณที่ทำให้เรารู้ตัวได้ว่าการใช้ของเราไม่เหมาะสม ต้องปรับลดให้เหมาะสม
ส่วนเรื่องใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวแล้วผิวจะไวต่อแสงมากขึ้น มันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เข้าใจได้ เพราะว่าเซลล์ขี้ไคลที่มีเมลานินมันช่วยดูดซับรังสี UV ได้ การที่ผิวชั้นขี้ไคลเราหนาขึ้นเพราะแสงแดดก็คือกลไกหนึ่งในการปกป้องตัวเองของผิว แน่นอนว่าขี้ไคลหนาตัวเหล่านี้กันแดดให้เราได้ แต่มันก็ทำให้หน้าหมอง มันก็ทำให้เป็นสิวง่าย เธอจะเก็บไว้ทำซากอ้อยอะไร? จะดีกว่าไหมถ้าจะเอามันออกอย่างอ่อนโยนและปกป้องผิวด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่ว่าเราจะใช้พวกผลัดเซลล์ผิวหรือไม่ก็ควรจะทาทุกวันอยู่ดี
ไม่ต่างอะไรกับไวท์เทนนิ่งที่บางแบรนด์บอกว่าเนี่ยไวท์เทนนิ่งอื่นที่ไม่ของชั้นน่ะใช้แล้วผิวไวต่อแดดนะ แต่ผลิตภัณฑ์ของเราใช้แล้วผิวขาวจริงแต่ไม่ไวต่อแดด ซึ่งฟังดูย้อนแย้งสิ้นดี เพราะผลิตภัณฑ์ของเขาเองถ้าทำให้ผิวขาวขึ้นได้ นั่นแปลว่าปริมาณเมลานินในผิวก็ต้องน้อยลงจนผิวขาวขึ้น เมลานินมีหน้าที่ดูดซับรังสี UV ถ้ามันน้อยลงผิวก็จะได้รับความเสียหายจาก UV หรือแสงแดดได้มากขึ้นเหมือนกัน ไม่ใช่หรอ? ถ้าไม่อย่างนั้นแพทย์คงไม่มาเตือนคนที่ฉีดกลูต้าแล้วผิวขาวขึ้นว่าระวังมะเร็งผิวหนังจะกินหรือลูกตาจะเป็นต้อกันหรอกคุณ
ดังนั้นการผลัดเซลล์ผิวน่ะมีประโยชน์ ทำได้ และควรทำด้วย แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดี มีส่วนผสมที่อ่อนโยน เลือกระดับของการผลัดเซลล์ที่เหมาะกับตัวเอง ระหว่างใช้ก็คอยสังเกตด้วยว่าผิวเป็นยังไงและปรับใช้ให้เหมาะด้วย ไม่ใช่ใช้แบบไม่ลืมหูลืมตาแล้วไปโทษผลิตภัณฑ์มันก็ไม่ถูก หัดโทษตัวเองบ้างที่ใช้มันไม่เป็นเพราะไม่รู้ของตัวเอง
เราย้ำตรงนี้เลยว่า ทุกอย่างในโลกใบนี้ ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว สิ่งที่มีประโยชน์แต่ถ้ามากไปมันก็อาจทำให้เกิดโทษ ส่วนผสมผลัดเซลล์ผิวใช้ให้พอดีมันก็มีประโยชน์ ไม่ใช้เลยผิวก็อาจเป็นสิวหรือมีปัญหาอื่น ๆ ใช้มากไปผิวก็ระคายเคือง อาหารที่มีประโยชน์กินน้อยไปก็ขาดสารอาหาร กินมากไปได้สารบางอย่างมากไปก้เป็นโทษ น้ำเปล่ากินน้อยไปก็ตายกินมากไปก็ตาย มันเป็นเรื่องของ “ความพอดี” และ “สมดุล” นะคุณนะ
(Source : The Desmosome, The effect of glycerol and humidity on desmosome degradation in stratum corneum., Skin hydration: a review on its molecular mechanisms.)
โอเค หลังจากที่ระบาย เอ๊ย อธิบายกันมายืดยาวแล้วเราก็หวังว่าคนที่อ่านจะเข้าใจในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวกันมากขึ้นเนอะ
ในส่วนผสมของ Kiehl’s : Dermatologist Solutions Nightly Refining Micro-Peel Concentrate นั้นมีการใช้ส่วนผสมที่ให้ผลในการผลัดเซลล์ผิวหลายอย่างรวมกันแทนการใช้ส่วนผมตัวใดตัวหนึ่งในความเข้มข้นสูงเพราะอย่างที่บอกว่ากลไกและเอนไซม์ที่สลายกาวยึดเซลล์ขี้ไคลตามธรรมชาตินั้นก็มีหลายตัว ส่วนผสมเหล่านี้จึงทำงานที่จุดที่เหมือนกันบ้างต่างกันบ้างแต่ก็ให้จุดมุ่งหมายเดียวกัน
- Chenopodium Quinoa Seed Extract สารสกัดจากเปลือกของเมล็ด ‘คีนัว’ ซึ่งปลูกกันมากในประเทศโบลิเวียในทวีปอเมริกาใต้ เมล็ดคีนัวกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ของ Super Food เพราะมีโปรตีนสูง ไฟเบอร์มากมายมหาศาล วิตามิน แร่ธาตุ และสารฟลาโวนอยด์ต่าง ๆ น้ำตาลน้อย และไม่มีกลูเต็น ส่วนผสมคีนัวที่ทาง Kiehl’s ใช้นั้นเป็นการซื้อขายกับชาวบ้านอย่างเป็นธรรมและส่งเสริมการปลูกเพื่อสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยปกติแล้วคีนัวจะถูกนำมาใช้ประโยชน์แต่ตัวเมล็ดหลังจากกระเทาะเปลือก ซึ่งเดิมเปลือกของคีนัวเป็นสิ่งเหลือใช้จากการผลิตเพราะว่าเปลือกมันขมมาก กินไม่ได้ แต่เขาพบว่าเปลือกคีนัวที่แช่น้ำทิ้งเอาไว้มีฟองเกิดขึ้นจึงทำการศึกษาว่ามันน่าจะมีอะไรพิเศษที่นำมาใช้ประโยชน์ได้
ปรากฏว่าทาง L’Oreal ก็ไปวิจัยได้ผลว่าเปลือกคีนัวอุดมไปด้วยสารซาโปนินมากมายและสามารถกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของ Desmoglein 1 Fragments ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผิวมีการเพิ่มขึ้นของเอนไซม์ที่เข้าไปย่อยสลาย Desmosome ที่ยึดระหว่างเซลล์ผิวชั้นนอกเอาไว้โดยไม่มีผลกับลิพิดที่อยู่ระหว่างเซลล์ จึงทำให้สารสกัดจากคีนัวช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน อันนี้เป็นข้อมูลที่เขาเสนอต่องานประชุม World Congress of Dermatology ครั้งที่ 23 เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ยังไม่ได้ตีพิมพ์การศึกษาเอาไว้นะฮะ
- Hydroxyethylpiperzine Ethane Sulfonic Acid หรือ HEPES เป็นส่วนผสมที่ทาง L’Oreal จดสิทธิบัติไว้หลังจากพบโดยบังเอิญว่ามันมีคุณสมบัติในการกระตุ้นเอนไซม์ที่ผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติได้อีกเหมือนกันโดยที่ไม่ระคายเคืองผิว โครงสร้างกรดอะมิโนของมันยังให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้อีกด้ว (Source : Aminosulfonic acid compounds for promoting desquamation of the skin)
- Hydroxyethyl Urea เป็นอนุพันธุ์ของ Urea ซึ่งตัว Urea เองมีประสิทธิภาพในการให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้ดี และก็มีคุณสมบัติในการแปลงสภาพโปรตีน (Protein Denaturation) และกระตุ้น Protease ที่ช่วยสลาย Desmosome ที่ยึดเซลล์ผิวเอาไว้ มีผลิตภัณฑ์ที่ผสม Urea ในท้องตลาดอยู่ในระดับหนึ่งซึ่งส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผิวที่แห้งเป็นขุยเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและเอาขุยที่ลอกผิดปกติออก ตัว Hydroxyethyl Urea เป็นอนุพันธุ์ที่ทาง L’Oreal พัฒนาและจดสิทธิบัตรเอาไว้โดยเคลมว่ามันมีประสิทธิภาพดีกว่า Urea ในรูปแบบดั้งเดิมล่ะ (Source : Body xerosis and moisturization, Urea compounds that promote desquamation)
- Hydrolyzed Opuntia Ficus-Indica Flower Extract น่าจะเป็นสารที่มีชื่อว่า Exfolactive จากบริษัท Silab ซึ่งเป็นสารกลุ่มน้ำตาลเชิงซ้อนที่กระตุ้น Cathepsin-D ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีความสำคัญต่อการผลัดเปลี่ยนซ่อมแซมของเซลล์ โดยการมีศึกษาที่พบว่า Cathepsin-D ส่วนอย่างมากในการทำให้ Skin Barrier ของเราแข็งแรง
นอกจากนี้ยังส่วนผสมของสารกลุ่ม Alpha Hydroxy Acids (AHAs) อย่าง Phytic Acid ที่อ่อนโยนกับผิวมาก และ AHAs ที่สกัดจากพืชอย่างบิลเบอรี่ อ้อย ส้ม เลมอน เมเปิ้ล แทนการใช้ AHAs สังเคราะห์ที่นิยมใช้กันในเครื่องสำอางทั่วไป (Source : Chemical Peels for Melasma in Dark-Skinned Patients)
ค่าความเป็นกรดด่างของผลิตภัณฑ์ตัวนี้อยู่ที่ประมาณ pH4.5 ซึ่งใกล้เคียงกับค่า pH ของผิวที่ 4.5-6.5 และเป็นเพดานสูงสุดของส่วนผสมของกรดอย่าง AHAs ที่จะผลัดเซลล์ผิวได้ แต่ถึง AHAs จะทำงานได้ไม่เต็มที่เท่ากับ ค่า pH ที่ต่ำกว่านี้ คุณสมบัติพื้นฐานของสารกลุ่ม AHAs ก็ยังเป็นตัวที่เพิ่มความชุ่มชื่นกับผิวได้ นอกจากนี้ค่า pH ที่ 4.5 นี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีความอ่อนโยนและเหมาะกับการรักษาความเสถียรของส่วนผสมอย่างเช่น Hydroxyethyl Urea ที่ใส่มา นอกจากนี้สารสกัดจากเปลือกคีนัวก็ยังต้องใช้ความเป็นกรดอ่อนในการทำงานด้วยเช่นกัน
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะมี Alcohol Denat. มาเป็นอันดับที่สอง แต่ทั้งตัว HEPES เอง Hydroxyethyl Urea เองที่ใส่มาในปริมาณสูงนั้นทำให้เนื้อเซรั่มอันนี้มีความเข้มข้นและทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้นด้วยซ้ำไปดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลกับส่วนผสมตัวนี้ว่าจะทำให้ผิวแห้งกร้านได้
Ingredients : Aqua/Water, Alcohol Denat., Hydroxyethylpiperzine Ethane Sulfonic Acid, Hydroxyethyl Urea, Sodium Citrate, Vaccinium Myrtillus Fruit Extract, Sodium Hydroxide, Chenopodium Quinoa Seed Extract, Saccharin Officinarum (Sugar Cane) Extract, Glycerin, Propanediol, Phytic Acid, Carrageenan, Phenoxyethanol, Citrus Aurantium Dulcis (Orange) Fruit Water, Citrus Limon (Lemon) Fruit Extract, Disodium EDTA, Acer Sacrarium (Sugar Maple) Extract, Hydrolyzed Opuntia Ficus-Indica Flower Extract, Potassium Sorbet, Aloe Barbadensis Leaf Juice Powder, Adenosine, Ethylhexylglycerin, Citrus Aurantium Dulcis (Orange) Juice, Sodium Benzoate, Ascorbyl Glucoside. Film 685697 33 Code F.I.l. D178562/1
เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเซรั่มสีเหลืองอ่อนและใส มีความหนืดเล็กน้อยและเมื่อเซ็ทตัวบนผิวจะมีความหนึบผิวไม่มาก พอรับได้ แต่ความหนึบผิวนี้จะรู้สึกมากขึ้นถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจลเบสในขั้นตอนก่อนหน้าหรือตามหลังเซรั่มตัวนี้
ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม กลิ่นที่คล้ายกับซีอิ้วที่ได้นั้นมาจากส่วนผสมที่ใส่มา ซึ่งเราโอเคกับกลิ่นแบบนี้นะ ถึงมันจะไม่ได้หอมชวนดมแต่มันก็ดีกว่าการใส่น้ำหอมมาซึ่งจะไปลดคะแนนความอ่อนโยนของผลิตภัณฑ์ลงไปอีก
ปริมาณในการใช้ต่อครั้งก็คือประมาณ 5 หยด ในตอนกลางคืนเป็นประจำทุกวัน โดยใช้ในขั้นตอนก่อนที่จะลงเซรั่มบำรุงผิว สามารถเพิ่มหรือลดปริมาณได้ตามสะดวก แต่แนะนำให้ทาบริเวณลำคอ และแนวเนินอกหรือในส่วนที่เรามักจะเผยให้คนอื่นเห็นเวลาใส่เสื้อคอกว้าง ผิวบริเวณที่ต่ำกว่าใบหน้าลงไปมักถูกละเลยและมีความเสียหายจากแสงแดด การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยฟื้นบำรุงสภาพผิวที่เสียหายให้ดีขึ้น แต่ก็ต้องทำควบคู่กับการทาครีมกันแดดในจุดเหล่านั้นเป็นประจำด้วย
ในแง่ของประสิทธิภาพก็ต้องบอกว่าเซรั่มตัวนี้ให้ผลที่น่าประทับใจและคาดหวังการผลัดเซลล์ผิวได้จริง ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื่น และดูสดใสขึ้น ในขณะเดียวก็อ่อนโยนทีเดียว ปูเป้เป็นคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวมาเยอะ และในขณะที่ลองผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็มีการสลับใช้กับ BHA ของ Paula’s CHoice ในตอนกลางวันไปด้วยซึ่งในวันที่ใช้ BHA ก็จะมีการลดหรือพักการใช้เซรั่มตัวนี้ไปเพื่อให้เกิดสมดุลการผลัดเซลล์ผิวที่พอดี ไม่มากเกินไป ผิวก็ยังคงสภาพดีและไม่มีการระคายเคืองเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี สภาพผิวของคนเราไม่เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวมาก่อน หรือกังวลเรื่องการระคายเคืองเนื่องจากเป็นคนผิว Sensitive ก็สามารถปรับจากการใช้เป็นประจำทุกวัน เริ่มจากการใช้สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้งในตอนกลางคืนก่อน และสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้เมื่อผิวมีการตอบสนองที่ดี
คำแนะนำเพิ่มเติมในการใช้คือต้องทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ และควรหลบแดดถ้าทำได้ แต่อย่างที่บอกเอาไว้แต่ต้นว่า ต่อให้ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ก็ควรที่จะทากันแดและหลบแดดเท่าที่ทำได้อยู่ดีเช่นกัน
แนะนำให้ทาผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาก่อนที่จะลงผลิตภัณฑ์ตัวนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะไประคายเคืองผิวรอบดวงตาได้ล่ะ
โดยรวมแล้ว Kiehl’s : Dermatologist Solutions Nightly Refining Micro-Peel Concentrate เป็นผลิตภัณฑ์ที่เราชอบมาก มันดีงาม นอกจากเรื่องเนื้อสัมผัสที่อาจจะมีความหนึบผิวหน่อยแล้ว นี่เป็นตัวผลัดเซลล์ผิวที่อ่อนโยนแต่มีประสิทธิภาพและรู้สึกได้เลยว่าผิวดูดีขึ้น สดใสขึ้น ความชุ่มชื่นของผิวยังเต็ม สาวกผู้ชื่อนชอบผลิตภัณฑ์ผลัดเซลลล์ผิวแบบเราจึงขอแนะนำรัว ๆ ให้ไปลอง!!!
การผลัดเซลล์ผิวจำเป็นและมีประโยชน์หลายด้าน ช่วยลดการเกิดสิว ช่วยทำให้ไวท์เทนนิ่งที่ใช้เห็นผลดีขึ้น และทำให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลงอีกด้วย คนที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวตัวอื่น ๆ แล้วรู้สึกว่ามันรุนแรงไป ผิวค่อนข้างไว เราอยากให้ลองตัวนี้ดูเพราะมันอ่อนโยนจริง ๆ และนโยบายของ Kiehl’s ยังมีการให้ Sample ไปทดลองใช้ได้ฟรีแบบไม่มีเงื่อนไขทำให้เราจะได้ลองทดสอบก่อนที่จะเสียเงินซื้อด้วยความมั่นใจ
สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง
***Sponsored Item***
- Kiehl’s : Dermatologist Solutions Nightly Refining Micro-Peel Concentrate
- เป็นผลิตภัณฑ์ผลัดเซล์ผิวที่มีประสิทธิภาพ แต่อ่อนโยน
- ผิวคงความชุ่มชื่น ไม่ระคายเคือง
- ไม่เจอข้อเสีย แต่มีข้อเสนอแนะว่าสามารถมีการใส่ส่วนผสมต้านการระคายเคืองมาเพิ่มได้อีก