อยากจะบอกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา สิ่งที่เป็นที่จับตาของวงการเครื่องสำอางก็คือส่วนผสมที่ผ่านหมักบ่ม เราเลนตามเทรนด์ด้วยการดองบล็อกบ้างจะได้อินเทรนด์กับเขา (ข้ออ้างล้วน ๆ)
แม้ข้อมูลผลิตภัณฑ์หลายอย่างในบล็อกนี้จะเห็นผ่านตากันไปหมดแล้ว แต่ที่อยากจะเอามาเล่าให้ฟังก็เพราะว่าเราได้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่างจากแพทย์ผิวหนังที่มีชื่อเสียงจาก 3 ทวีปมาฝากด้วยล่ะ










หลังจากฟังบรรยายในรอบแรกจบและพักกินข้าวกลางวันแล้ว ในช่วงบ่ายเราก็จะได้สัมภาษณ์แพทย์ผิวหนังที่บินมาจากทั้งอเมริกาและยุโรปเพื่องานนี้โดยเฉพาะ เขาเหล่านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ Kiehl’s ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา

ข้อมูลที่ได้จากคุณหมอคือ ผู้ที่มาปรึกษาคุณหมอนั้นจำนวนมากละลเลยในเรื่องการป้องกันผิวจากแสงแดด ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะกลัวริ้วรอยและต้องการฟื้นฟูผิวจนมาทำ BOTOX ยิงเลเซอร์ ก็ตาม บางคนไม่ทาคีมกันแดดเลย บางคนทาบ้างไม่ทาบ้าง ไม่มีความสม่ำเสมอ ทั้งที่จริงแล้วการปกป้องผิวจากแสงแดดต้องทำเป็นประจำทุกวัน
ในกรณีผิวโดยแดดทำร้ายจนเกิดอาการไหม้นั้น Dr. Derek แนะนำว่าสามารถใช้ Aspirin หรือ Ibuprofenในการลดการอักเสบของผิวและลดความเจ็บปวดได้
ส่วนทรีตเมนต์ 3 อันดับแรกที่คนไข้นิยมทำมากที่สุดเมื่อมาพบคุณหมอ ได้แก่
1. การฉีด BOTOX
2. การฉีด Filler (Hyaluronic Acid)
3. การทำเลเซอร์
ในปี 2015 นี้ ทางแบรนด์ก็จะมีการปรับสูตรกันแดดใหม่หนึ่งตัวได้แก่ Kiehl’s : Dermatologist Solutions Ultra Light Daily UV Defense SPF50 PA++++
และกันแดดใหม่เอี่ยมอีกหนึ่งตัว Kiehl’s : Dermatologist Solutions Ultra Light Daily UV Defense Mineral Sunscreen SPF50 PA+++ ซึ่งใช้ Titanium Dioxide ล้วนในการป้องกันรังสี UV เจือสีเนื้อจาง ๆ และเซ็ทตัวแบบแมทด้วยล่ะ

นอกจากนี้แล้วสีเนื้อของ Kiehl’s : Dermatologist Solutions Ultra Light Daily UV Defense Mineral Sunscreen SPF50 PA+++ ก็ยังถูกทดสอบแล้วว่าไม่เป็นรอยเปื้อนสีฝังติดเสื้อแน่นอน
นอกจากนี้ยังได้ความรู้ว่า ปัญหารูขุมขนที่เกิดขึ้นมีจาก 2 ปัจจัย อย่างแรกคือจากการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป รูขุมขนกว้างจะมีทรงกลม แต่ถ้าเกิดจากความหย่อนคล้อยของผิวจากวัยที่มากขึ้น รูขุมขนจะเป็นรูปวงรี ซึ่สามารถลดปัยหาได้ด้วยการเสริมชั้นผิวให้ฟูแน่นและยืดหยุ่นขึ้นนั่นเอง

– แพทย์ผิวหนังในสวิสเซอร์แลนด์ แนะนำว่า ถ้าอยากได้ประิทธิภาพสูงสุดจากเครื่องสำอางบำรุงผิวที่เราใช้ เราไม่ควรใช้สกินแคร์เกิน 3 ชิ้น เพราะการทาผลิตภัณฑ์พวกเซรั่มและครีมมากไปก็จะไปลดการดูดวึมผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนหลัง ๆ นั่นเอง (3 ชิ้นที่ว่านี้ ไม่รวมการทำความสะอาด การเตรียมผิวด้วยโทนเนอร์และโลชั่นน้ำ และครีมกันแดด ดังนั้นขั้นตอนของเซรั่มและมอยซ์เจอไรเซอร์ไม่ควรใช้เกิน 3 ชิ้นนะจ๊ะ)
– น้ำมันหอมระเหย หรือ Essential Oil นั้นจะเกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์
– การนวดหน้านั้น ถ้าทำอย่างพอดีจะเป็นการช่วยการไหลเวียนโลหิต เสริมกระบวนการ Metabolism ในการทำงานของผิว แต่ถ้าทำมากไป ทำหนักไป จะไปกระตุ้นให้เกิดความหย่อนคล้อยเพิ่มขึ้นแทน
– Hayflick Phenomenon หรือทฤษฏีที่ว่าเซลล์มีขีดจำกัดในการแบ่งตัว จนทำให้เกิดความเชื่อว่าถ้าเราผลัดเซลล์ผิวบ่อยๆ หรือใช้ Anti-Aging ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทำให้ตอนแก่ผลิตภัฑืจะทำงานไม่ได้ผล หรือเซลล์เสื่อมจนไม่สามารถแบ่ตัวได้อีกนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะว่าในร่างกายของเรามี Stem Cell อยู่จ้า
ผลิตภัณฑ์ที่คุณหมอช่วยพัฒนาขึ้นมาก็คือ Kiehl’s : Dermatologist Solutions Precision Lifting & Pore-Tightening Concentrate ซึ่งใช้ส่วนผสม Yeast Extract ในการสร้างความบูรณ์ให้กับชั้น Dermal-Epidermal Junction เพื่อคืนความยืดหยุ่น ให้ผิวและรูขุมขนกระชับขึ้น ตัวนี้ลองใช้จะหมดขวดแล้ว รู้สึกว่าผิวมันแน่นดีเลยล่ะ

1. Volume Loss หรือการเสื่อมลงของโปรตีนในชั้นผิวทำให้ผิวบางลงจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิวชัดขึ้น รวมถึงความหย่อนคล้อยที่ทำให้เกิดแสงเงามากขึ้น
2. Hyperpigmentation หรือการผลิตเม็ดสีที่มากไป ซึ่งอาจจะมาจากการระคายเคืองจนเกิดเป็นการอักเสบ (โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้) การอักเสบจะไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานิน อีกปัจจัยหนึ่งคือการโดยแสง UV กระตุ้นการผลิตเมลานิน ส่งผลเป็นรอยคล้ำดำ
3. Poor Circulation หรือการไหลเวียนโลหิตที่ไม่ดี อันมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ปัญหาสุขภาพ ความเครียด
ผลิตภัณฑ์ Kiehl’s : Dermatologist Solutions Cleary Corrective Dark Circle Perfector SPF30 นั้นทำขึ้นมาเพื่อดูแลปัญหารอยคล้ำที่มาจากเมลานินเป็นหลัก ด้วยส่วยผสมของวิตามินซีที่ช่วยลดเมลานินส่วนเกิน รวมถึงส่วนผสมของ Titanium Dioxide ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV เพื่อป้องกันการเกิดความหมองคล้ำจากเมลานินและอ่อนโยนพอที่จะใช้กับผิวรอบดวงตา นอกจากนี้ยังใช้ Mineral Pigment เพื่อให้เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นสีเนื้อ ช่วยปกปิดรอยหมองคล้ำแบบบางเบาอีกด้วย



ส่วนผสมหลักอย่างสารสกัดจากรากของต้นไอริชนั้น เขาเคลมว่าช่วยให้การยึดเหนี่ยวของเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ปกป้องโปรตีนของผิวชั้นหนังกำพร้า ทำให้ราการปกป้องผิวแข็งแรง เก็บกักความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นนั่นเอง ตัวนี้ใช้แล้วผิวชุ่มชื้นดี แต่ไม่รู้สึกว่ามันโดดเด่นเมื่อเทียบกับเอสเซนส์น้ำอื่น ๆ ที่เราเคยใช้มา



ต้องขอขอบคุณ Kiehl’s ประเทศไทย ที่ให้โอกาสในการสัมผัสกับประสบการณ์และได้รับข้อมูลอันมีคุณค่าจะบุคคลที่ปกติเราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันง่าย ๆ แบบนี้ด้วยนะฮะ