สิวเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่คนกว่า 80% บนโลกใบนี้ต้องต่อสู้กับมันสักอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต (แต่กับเรานี่ต่อสู้มาครึ่งชีวิตแล้วจ้า) ถึงแม้คนเราจะเป็นสิวกันมาแต่โบราณ แต่เราก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุของการเกิดสิวได้อย่างถ่องแท้ เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็มีการค้นพบใหม่เกี่ยวกับการทำงานของผิว รูขุมขน และการเกิดสิวมากขึ้น ทำให้การรักษาสิวนั้นมีแนวคิด มีหนทางใหม่ ที่อ่อนโยนกับผิวมากขึ้น

 photo LRP EffaclarK 01.png



หนึ่งในแบรนด์ที่เด่นเรื่องผลิตภัณฑ์ลดการอุดตันและเหมาะกับผิวเป็นสิวง่ายก็คงจะหนีไม่พ้น La Roche-Posay ซึ่งในตอนนี้เขาได้ทำการปรับสูตรผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง La Roche-Posay : Effaclar K(+) (30ml / 990 THB) หลังจากที่เคยปรับสูตรมาครั้งก่อนเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เรามาดูกันว่าในสูตรใหม่นี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรพร้อมกับเหตุผลเบื้องหลังการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ดีกว่า

ส่วนผสมหลักที่ไม่เคยห่างหายไปเลยก็คือ Salicylic Acid หรือ BHA ซึ่งเป็นสารผลัดเซลล์ผิวที่แทรกผ่านน้ำมันลงไปในรูขุมขนได้ เป็นส่วนผสมมาตรฐานที่นิยมใช้เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขน กับ Capryloyl Salicylic Acid หรือ LHA เป็นอนุพันธ์ของ Salicylic Acid ที่พัฒนาและจดสิทธิบัตรโดย L’Oreal เคลมว่าช่วยผลัดเซลล์ในระดับเซลล์ต่อเซลล์ จึงทำให้มีความอ่อนโยนและเกิดอาการระคายเคืองหรือผิวลอกน้อยกว่า ด้วยค่า pH ที่ประมาณ 4.5 ~ 5.0 ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ทำให้ Salicylic Acid นั้นทำงานในการผลัดเซลลืไม่ได้ดี แต่ยังหวังผลในเรื่องการลดการอักเสบและช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ ส่วน Capryloyl Salicylic Acid เขาเคลมว่าไม่ต้องอาศัยค่า pH ที่เป็นกรดมากในการทำงาน การผลัดเซลล์ผิวหลัก ๆ น่าจะหวังจากตัวนี้มากกว่า

 photo Lipid Peroxidation.png
ในสูตรใหม่นี้เพิ่มส่วนผสมของสารแอนติออกซิแดนท์ขึ้นมา โดยในสูตรนี้ได้แก่ Carnosine และวิตามินอีในรูป Tocopherol เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าการเกิด Oxidation ของไขมันและน้ำมัน (Lipid Peroxidation) บนผิวและในรูขุมขนนั้นทำให้เกิดการอักเสบ (Inflammation) ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตซีบั่มหรือน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวที่มากขึ้น รวมไปถึงกระตุ้นการสร้างเซลล์ขี้ไคลในรูขุมขนที่มากเกินไป (Hyperkeratinization) ยังไม่นับรวมว่าการอักเสบนั้นทำให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยซึ่งสามารถบีบรูขุมขนให้ปิดแคบลงจนเกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้นอีก การศึกษายังพบว่าในผิวที่เป็นสิวนั้นมีปริมาณของสารแอนติออกซิแดนท์ที่น้อยกว่าในผิวปกติที่ไม่เป็นสิวอีกด้วย

(Source : Sebaceous gland lipids, Clinical implications of lipid peroxidation in acne vulgaris: old wine in new bottles, An update on the role of the sebaceous gland in the pathogenesis of acne., Biochemical markers of oxidative and nitrosative stress in acne vulgaris: correlation with disease activity.)

Carnosine เป็นไดเปปไทด์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการต้านอนุมูลอิสระและมีการศึกษาพบว่ามันสามารถลดการเกิด Lipid Peroxidation ได้เป็นอย่างดี ช่วยลดการอักเสบได้อีกด้วย ส่วน Tocopherol ก็เป็นรูปแบบของวิตามินอีที่ผิวสามารถนำไปใช้ได้ทันที และเป็นวิตามินที่ร่างกายขับออกมาทางรูขุมขนตามธรรมชาติเพื่อช่วยลดการเกิด Lipid Peroxidation อยู่แล้วด้วย

(Source : Carnosine and N-Acetylcarnosine Induce Inhibition of UVB Erythema in Human Skin, Inhibition of lipid peroxidation and nonlipid oxidative damage by carnosine.)

ส่วนผสมของสารออกฤิทธ์อื่น ๆ ก็คือ Zinc PCA ที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับผิวมันเพื่อลดการผลิตซีบั่ม มีข้อมูลสนับสนุนว่าสารกลุ่มสังกะสีนี้ช่วยลดแบคทีเรีย ลดการอักเสบจึงช่วยลดการผลิตน้ำมันของผิวได้ ส่วน Sarcosine ก็เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามา ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนอะไรเกี่ยวกับตัวนี้เท่าไหร่ แต่บริษัทผู้ผลิตสารจะใช้ Sarcosine เป็นตัวลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินอีกเช่นกัน

ในแง่ของการออกฤิทธิ์นั้น La Roche-Posay : Effaclar K(+) พยายามลดปัจจัยในการเกิดการอุดตันของผิวให้ครอบคลุมมากขึ้นด้วยการใข้สารแอนติออกซิแดนท์ที่เจาะจงในเรื่องการลด Lipid Peroxidation เพื่อไม่ให้ผิวถูกกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการผลิตเซลล์ขี้ไคลที่มากไป มีการใช้ส่วนผสมที่ช่วยลดแบคทีเรีย และสารผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดการอุดตันที่เกิดขึ้นแล้วและเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีก

Ingredients : Aqua/Water, Propylene Glycol, Octyldodecanol, Dimethicone, PEG-100 Stearate, Glyceryl Stearate, Salicylic Acid, Ammonium Polyacryldimethyltauramide/Ammonium Polyacryloyldimethyl Taurate, Zinc PCA, Sarcosine, Sodium Hydroxide, Silica, Silica Salicylate, Perlite, Carnosine, Dosdium EDTA, Capryloyl Salicylic Acid, Xanthan Gum, Penthylene Glycol, Acrylates Copolymer, Cetyl Alcohol, Butylene Glycol, Tocopherol, Parfum/Fragrance. (CODE F.I.L. : B168721/1)

 photo LRP EffaclarK 02.png


เนื้อผลิตภัณฑ์แม้จะดูจากภายนอกคล้ายเดิมแต่มันถูกยกเครื่องใหม่หมดด้วยนวัตกรรมการทำเนื้อสัมผัสแบบใหม่ซึ่งทางแบรนด์ใช้ชื่อว่าเทคโนโลยี Airlicium โดยหลังจากการงมหาข้อมูลสักพักก็พบเอกสารการจดสิทธิบัตรของ L’Oreal ที่น่าจะตรงกับเจ้าเทคโนโลยี Airlicium พอดีจึงขอสรุปคร่าวๆ ให้ฟังดังต่อไปนี้

คือการทำเครื่องสำอางให้มีเนื้อสัมผัสเพื่อลดความเงามันนั้นมีหลายทาง หนึ่งในวิธีที่นิยมก็คือการใช้ Silicone Elastomer (ให้นึกถึงพวกเบสแต่งหน้าเนื้อฟู ๆ ลื่นๆ ทาแล้วเนื้อแห้งแมททันใจ) แต่ข้อจำกัดคือต้องใช้ในความเข้มข้นเยอะมากซึ่งทำให้ต้นทุนสูง อีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้พวกสาร Absorbent เป็น Filler ในการเติมเต็มเนื้อสัมผัสและช่วยในการดูดซับความเงามันส่วนเกิน แต่ข้อจำกัดคือส่งผลกับเนื้อของผลิตภัณฑ์ (เนื้อมันจะไม่ละเอียดเท่าไหร่ถ้าใส่มาเยอะ) และอาจทำให้ผิวรู้สึกแห้งเกินไป

ทีนี้ L’Oreal ก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำเนื้อสัมผัสที่บางเบาและแห้งแมทโดยไม่ต้องกระทบกับเรื่องต้นทุน การสูญเสียสุนทรีย์ทางเนื้อสัมผัส และเรื่องความแห้งที่มากเกินไป ด้วยการใช้ Hydrophobic Silica Aerogel (Silica Salicylate) เข้ากับ Silicone Oil มาตรฐานทั่วไปอย่าง Dimethicone เพื่อให้ได้เนื้อผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูดวับน้ำมันส่วนเกินได้กำลังดี เนื้อสัมผัสเลิศ และตุ้นทุนก็ไม่พุ่งอีกต่างหาก

ปูเป้ว่า เทคโนโลยี Airlicium นอกจากจะมี Silica Salicylate ในการดูดซับน้ำมันส่วนเกินแล้ว ก็ยังรวมถึง Perlite ที่ทำให้สามารถระเหยเหงื่อได้ไวขึ้นด้วย เพราะเขาเคลมว่าเป็น (Anti-Sebum – Anti-Sweat)

(Source : Cosmetic composition comprising silica aerogel particles and silicone oils )

 photo EU Fragrance Allegen.gif
ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีส่วนผสมของน้ำหอมที่ทางแบรนด์เคลมว่าผ่านการทดสอบแล้วว่าก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ยากนั้น ปูเป้มีความเห็นว่าน่าจะจากการที่กลิ่นน้ำหอมที่ใช้นั้นไม่มีส่วนผสมของ Fragrance Component ตามที่ทาง EU ระบุเอาไว้ว่าเป็น Common fragrance allergen จำนวน 26 ชนิดตามรูปด้านบน (จากส่วนผสมที่ใช้ในการทำน้ำหอมกว่า 2,500 ชนิด) ซึ่งถ้าน้ำหอมที่ใช้มีองค์ประกอบของส่วนผสมใด ๆ ใน 26 ตัวที่ว่านี้ ผู้ผลิตจะต้องทำการระบุ Fragrance Component ที่มีในผลิตภัณฑ์ลงบนฉลากด้วย แต่อย่างไรก้ดี สารประกอบของน้ำหอมอื่น ๆ ที่ใช้ก็ยังมีโอกาสก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคนไปอยู่ดีนะจ๊ะ (และข่าวเมื่อปีที่แล้วก็มีการยื่นขอเพิ่มรายชื่อส่วนประกอบน้ำหอมที่จะให้เป็น Common fragrance allergen อีกกว่า 50 ตัวแน่ะ ต้องรออัพเดทกันต่อไปว่าผลจะออกมาบังคับใช้เมื่อไหร่ยังไงบ้าง)

***การระบุ Common fragrance allergen ลงบนฉลากเป็นกฏหมายบังคับใช้กับเครื่องสำอางที่จำหน่ายเครือ EU เท่านั้น เครื่องสำอางที่ไม่ได้จำหน่ายใน EU มีส่วนผสมของน้ำหอมแต่ไมไ่ด้ระบุว่ามี Common fragrance allergen ในฉลาก ก็ไม่ได้แปลว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นจะไม่มี Common fragrance allergen นะจ๊ะ เขาไม่ระบุเพราะว่ากฏหมายในส่วนอื่นของโลกไม่ได้บังคับเอาไว้น่ะ***

 photo LRP EffaclarK 03.png


ประสบการณ์ในการใช้ 3 สัปดาห์ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น (วันไหนไปยิมก็ทารวมเป็น 3 ครั้งต่อวัน) หมดไปแล้วประมาณครึ่งหลอด เรารู้สึกได้เลยว่าเนื้อของ La Roche-Posay : Effaclar K(+) นั้นเซ็ทตัวแบบแมทได้ดีกว่ารุ่นก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้สึกว่ามันแห้งจนไม่สบายผิว สามารถใช้คู่กับสกินแคร์ที่ใช้อยู่เดิมได้โดยไม่มีปัญหาอะไรนะ ยังไม่เจอเรื่องลอกเป็นขุยหรือ Ball-up ทำให้หน้ามันน้อยลงในระหว่างวันด้วย

ในแง่ของประสิทธิภาพในการลดการอุดตันนั้น สิวอุดตันจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาอย่างช้า ๆ จนสามารถกดออกได้ในราวสัปดาห์ที่ 2 ของการใช้ คือค่อนข้างใช้เวลา อาจจะไม่ไวแว่บทันใจบางคน แต่ข้อดีของมันคือความอ่อนโยน ช่วงที่ใช้ไม่มีอาการผิวแดง ผิวลอก และสิวที่ผุดขึ้นมาแทบจะไม่อักเสบเลย (ยกเว้นจะไปแกะมัน)

La Roche-Posay : Effaclar K(+) สามารถใช้เป็นทรีตเมนต์ในการลดการอุดตัน ก่อนลงตามด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีอยู่ หรือสำหรับคนที่ผิวมันถึงมันมากในช่วงอากาศร้อน ๆ แบบนี้ ก็สามารถใช้ La Roche-Posay : Effaclar K(+) แทนขั้นตอนของมอยซ์เจอไรเซอร์และตามด้วยกันแดดในตอนกลางวันไปได้เลย

โดยรวมแล้วเราชอบ La Roche-Posay : Effaclar K(+) เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาสิวอุดตันในระดับที่ไม่รุนแรงนัก ผิวเป็นสิวที่ระคายเคืองง่าย และสำหรับคนที่ต้องการคงสภาพผิวให้เกิดการอุดตันได้ยาก

สิวนั้นเป็นอาการของโรคที่ค่อนข้างซับซ้อน สาเหตุและปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิวนั้นมีมากมายแม้จะเป็นสิวที่ดูเหมือนกันแต่สาเหตุอาจจะต่างกันไป ดังนั้นการรักษาสิวให้ได้ผลจะต้องรักษาให้ถูกจุดนะจ๊ะ ไม่ว่าจะเป็นยาหรือเครื่องสำอางบำรุงผิวที่ทา การรับประทานอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์และมีกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน แล้วก็เรื่องจิตใจก็พยายามอย่าไปเครียดกับสิวมาก ยิ่งเครียดสิวก็ไม่ได้หายไวขึ้นแต่จะแย่ลงมากกว่านะ

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

ข้อดี

– มีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยลด Lipid Peroxidation
– ลดการอุดตันได้อย่างอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว ไม่ทำให้ผิวลอก
– เนื้อบางเบา ช่วยดูดซับความมัน ทำให้รู้สึกสบายผิว
– บรรจุภัณฑ์มิดชิดและเป็นมิตรกับสารต้านอนุมูลอิสระ

ข้อเสีย

– มีส่วนผสมของน้ำหอม (แต่ไม่มี Common fragrance allergen ตามมาตรฐาของ EU)

***Sponsored Item***

– La Roche-Posay : Effaclar K(+)