photo AirAsiaMyanmar01.jpg
มิงกะลาบา สวัสดีทุกท่านเป็นภาษาพม่าเพราะวันนี้จะมาเล่าเรื่องทริปไหว้พระทำบุญกับที่พม่าเมื่อเดือนที่ผ่านมา แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณ Air Asia ที่ชวนปูเป้ไปร่วมทริปทำบุญในครั้งนี้ด้วยนะฮะ

พูดถึงประเทศพม่าแล้วส่วนตัวเราไม่เคยไปมาก่อน และเราก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับประเทศนี้มากไปกว่าภาพเจดีย์ชเวดากอง กับเรื่องสู้รบระหว่างไทยพม่ากับกรุงศรีอยุธยาตามแบบที่เราถูกตอกเสาเข็มปลูกฝังในหัวผ่านทางวิชาสังคมศึกษาของไทย การไปทริปครั้งนี้นอกจากจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปทำบุญก่อนเดือนเกิดแล้ว ยังได้ไปเปิดหูเปิดตาดูความเป็นไปของต่างบ้านต่างเมืองด้วย

 photo AirAsiaMyanmar02.jpg
ปูเป้เคยใช้บริการ Air Asia อยู่บ้างตอนแว่บไปแรดฮ่องกง ไปภูเก็ต ซึ่งเป็นทริปที่ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ก็ไม่เคยได้ลองทานอาหารบนเครื่อบินของที่นี่เลบสักที ทริปนี้ทาง Air Asia ก็ให้ได้ลองอาหารแนะนำของเขาดู ซึ่งเมนูที่ได้ลองทานคือผัดไท กับเมนูไก่ผัดเผ็ดสูตรเล็กคาราบาว พร้อมของหวานเป็นลูกตาลลอยแก้ว

สารภาพว่าไม่คิดว่ามันจะอร่อย แต่ผิดคาดเพราะว่าทำรสชาติออกมาได้ดีกว่าที่คิด โดยเฉพาะเมนูลูกตาลลอยแก้วที่แข็งเป็นเกล็ดน้ำแข็งหน่อย ๆ นั้นอร่อยมาก เป็นการเพิ่มความสดชื่นตบท้ายมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี ทาง Air Asia บอกว่าอาหารพวกนี้ให้ร้านสีฟ้าเป็นคนคิดสูตรให้ล่ะ

หลังจากนั่งเครื่องราวหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงสนามบินย่างกุ้งซึ่งมีขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ไม่ได้มีดิวตี้ฟรีหรูหราอะไร แต่มีไวไฟฟรีให้ใช้นะเออ

จากแผนเดิมเราจะไปที่เจดีย์ชเวดากองราวหกโมงเย็น แต่สภาพการจราจรในย่างกุ้งนั้นรถติดเอามาก ๆ ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้ร่วมทริปที่เคยไปพม่าหลายครั้งในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมาเขาบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นรถเยอะมากขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าพม่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตทางเศรษฐกิจ

 photo AirAsiaMyanmar03.jpg
เรามาถึงเจดีย์ชเวดากองช้ากว่ากำหนดราวชั่วโมงนึง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะว่าอากาศจะได้ไม่ร้อน และในตอนกลางคืนเจดีย์จะต้องแสงไฟเป็นสีทองอร่ามสวยงามมาก ความประทับใจแรกคือเจดีย์แห่งนี้มีความใหญ่โต อลังการ และสวยงามกว่าที่คิดไว้มาก สวยกว่าที่เห็นในรูปหลายเท่าเลยทีเดียว

จากข้อมูลทางโบราณคดีนั้นเจดีย์ชเวดากองนั้นมีอายุประมาณ 2,000 ปี โดยมีความสูง 48 เมตร และกว้าง 105 เมตร ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาจึงยิ่งทำให้เจดีย์ดูเป็นจุดเด่นของเมืองย่างกุ้งอย่างมาก

อ้อ… สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือเราห้ามใส่รองเท้าเข้าในพื้นที่วัดอย่างเด็ดขาด ดังนั้นแนะนำให้ใส่รองเท้าที่ถอดง่าย ๆ เข้าไว้ และพกทิชชู่เปียกห่อใหญ่ ๆ เอาไว้เช็ดเท้าหลังจากไหวพระเสร็จด้วยนะ

 photo AirAsiaMyanmar04.jpg
ชาวพม่านั้นมีความศรัทธาทางศาสนาเป็นอย่างมาก และเป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณที่เจ้านายหรือกษัตริย์จะมาสร้างเรือนไม้เพื่อประทับระหว่างการแสวงบุญที่เจดีย์แห่งนี้ ทำให้รอบ ๆ เจดีย์จะมีปราสาทเรือไม้แกะสลักหลังน้อยใหญ่อยู่เต็มบริเวณโดยรอบ

ตัวเจดีย์นี้มีตำนานกล่าวว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุหรือเส้นผมของพระพุทธเจ้า ตัวเจดีย์ถูกหุ้มด้วยแผ่นทอง และส่วนยอดของเจดีย์มีเครื่องประดับ อัญมณีกว่า 5,000 ชิ้น โดยจุดเด่นสุดคือเพชรที่มีน้ำหนักกว่า 76 กะรัต

คนไทยส่วนหนึ่งมีความเข้าใจว่าทองที่หุ้มเจดีย์นี้ถูกพม่าเผาขโมยไปสมัยมีตีอยุธยา แต่ในความเป็นจริงแล้วการหุ้มทององค์พระเจดีย์เป็นธรรมเนียมมาช้านานก่อนที่จะมีการตีอยุธยาด้วยซ้ำไป ดังนั้นการพูดว่าทองที่แปะองคืพระเจีดีย์เป็นของไทยที่พม่าขโมยไปนั้นจึงเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไม่มีหลักฐานยืนยันทางโบราณคดี และส่งผลให้เกิดความรู้สึกต่อต้านหรือเกลียดชังกันเสียเปล่า ๆ อีกด้วย

การหุ้มทองครั้งสำคัญของเจดีย์ชเวดากองเกิดในสมัยของพระนางเชงสอบูเมื่อราว 550 ปี ที่ผ่านมา โดยพระนางเป็นผู้ที่มีศรัทธาในศาสนาพุทธเป็นอย่างสูง และมีการถวายทองคำเท่าน้ำหนักของพระนางเอง หรือราว 40 กิโลกรัม เพื่อปิดองค์พระเจดีย์ และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันของผู้ปกครองพม่า

 photo AirAsiaMyanmar05.jpg
เจดีย์ชเวดากองมีนัยยะสำคัญทางการเป็นอย่างมากอีกด้วย นี่เป็นจุดที่มีการุมนุมทางการเมืองจนนำไปสู่การปลดแอกจากการปกครองอันกดขี่ของอังกฤษในยุคอณานิคม

ในยุคที่พม่าเป็นของอังกฤษนั้น ทหารอังกฤษได้มีการขุดค้น (ปล้น) เอาทรัพย์สมบัติมากมายที่ถูกฝังไว้ในองค์พระเจดีย์จนมีเรื่องเสื่อมเสียถึงควีนอลิซาเบทที่ 1 จนต้องมีการสอบสวนและปลดนายทหารที่ดูแลออก แต่สมบัติก็ไม่คืนนะ ของหลายอย่างถูกเก็บไว้ที่พิพิธพันธ์วิคตอเรียของอังกฤษ บางส่วนพึ่งมีการคืนกลับให้พม่าเมื่อไม่นานมานี้เอง

ชาวพม่าเป็นคนที่มีศรัทธาทางศาสนาเป็นอย่างมาก ทุกเย็นจะมีคนมากมายตั้งแต่เด็ก หนุ่ม สาว คนแก่ มาทำความสะอาด มากราบไหว้ สวดมนต์กันเต็มไปหมด เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่คนพม่าเขาทำกันหลังเลิกงาน เป็นจุดมีทติ้ง แต่แทนที่จะเจอกันที่สยาม กินเอ็มเค คนพม่าเขามาเจอกันที่วัด มาทำบุญกันเก๋ ๆ

 photo AirAsiaMyanmar07.jpg
ที่พักของวันแรกนี้คือโรงแรม KANDAWGYI PALACE HOTEL ที่ดีที่สุดในย่างกุ้ง โรงแรมกันดอจีอยู่ในทำเลที่ดีมาก มองเห็นเจดีย์อยู่ไม่ไกลมาก ในอดีตเคยเป็นของคนไทย แต่ตอนที่พม่ามีปัญหาทางการเมืองก็รีบขาย แต่พอขายได้แปปเดียวก็เปิดประเทศ ซวยไปจ้าาาา…

โรงแรมนี้อาจจะเก่า แต่ก็มีเสน่ห์ และความสะอาดก็พอใช้ได้

 photo AirAsiaMyanmar08.jpg
อากาศในยามเช้าของเมืองย่างกุ้งค่อนข้างสดใส มีหมอกบาง ๆ ในตอนเช้า บรรยากาศของสวนในโรงแรมร่มรื่นและสวยงาม

 photo AirAsiaMyanmar09.jpg
และยังมีไดโนเสาร์ด้วย…

 photo AirAsiaMyanmar10.jpg
หลังจากเช็คเอาท์เราก็เดินทางมาที่เจดีย์โบดาทาวน์ (Botatauang Paya) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่รับพระเกศาธาตุก่อนที่จะย้ายไปไว้ที่เจดีย์ชเวดากอง ที่แห่งนี้มีพระพุทธรูปทองคำ แล้วก็พระเขี้ยวแก้วเก็บรักษาเอาไว้ด้วย

 photo AirAsiaMyanmar11.jpg
ทางซ้ายมือของเจดีย์เป็นที่อยู่ของรูปปั้น นัตโบโบยี หรือเทพทันใจ ที่ชาวไทยนิยมแห่กันไปขอพรเพราะลือกันในความขลังขออะไรได้ทันใจจริง ๆ

วิธีขอพรจากเทพทันใจให้เตรียมเครื่องถวายสักการะเช่น มะพร้าม กล้วย ดอกไม้ มีขายในวัดประมาณ 3,000-4,000 จัตต์ จากนั้นให้เตรียมเงินธนบัตรไว้ 2 ใบมาม้วนเป็นรูปกรวยซ้อนกัน จากนั้นนำไปใส่ไว้ที่มือของเทพทันใจ จากนั้นนำหน้าผากของเราไปแตะชิดที่นิ้วชี้ของเทพทันใจที่ชี้มา พร้อมกันนั้นให้เราอธิษฐานสิ่งที่ต้องการขอพรเพียงแค่ 1 อย่างเท่านั้นจากนั้นให้เดินวน 3 รอบ ไหว้ท่านอีกสักรอบหน้าผากแตะไว้ที่นิ้วชี้ของเทพทันใจ และหยิบเงินที่ซ้อนในกรวยในมือท่านออก 1 ใบนำมาเก็บรักษาไว้ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี

มีคนแนะนำเคล็บไม่ลับในการขอพรคือ อย่าขอหลายอย่าง ให้เน้นไปที่อย่างใดอย่างหนึ่ง และเจาะจงให้ชัดเจน อย่าวเช่นขอให้ได้โบนัส ก็ขอไปเลยว่าได้กี่เดือน ถูกหวยก็บอกไปว่าขอถูก สามแสน บอกสกุลเงินด้วย ท่านจะได้ให้ถูก ขอถูกหวยสามแสน อาจจะได้สามแสนจ๊าดแทน อะไรแบบนี้

อืมมมมมมมมมมม….

 photo AirAsiaMyanmar12.jpg
ระหว่าที่เราเดินทางต่อไปยังเมืองหงสาวดี ก็จะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่และบ้านเมืองของพม่าได้เรื่อย ๆ บนถนนตอนนี้จะมีรถใหม่มากขึ้น ไม่ได้โทรมซอมซ่อแบบสมัยก่อน พม่ากำลังก้าวเข้าสู่ความเจริญหลังกระบวนทางประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบาน และการลงทุนจากต่างประเทศเริ่มมากขึ้น

สิ่งหนึ่งที่ประทับใจคือคนพม่ายังคงนุ่งโสร่งกันเป็นปกติ แม้จะมีบางส่วนที่นุ่งกางเกง แต่โสร่งก็ยังคงเป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้กันทั่วไป

 photo AirAsiaMyanmar26.jpg
เราอาจจะมองว่าทำไมคนไทยถึงไม่ภูมิใจในชุดประจำชาติตัวเอง ทำไมเราไม่นุ่งโจงกระเบนกันเป็นปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลืมคือการที่เราไม่นุ่งโสร่ง โจงกระเบน นั้นมันเป็นผลจากการปฏิวัติความเป็นไทยในสมัยยุคที่รัฐบาลทหารปกครองเมือง ที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม บอกว่าคนไทยต้องสวมกางเกง ใส่เสื้อรัดกระดุม สวมหมวก ห้ามนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งได้แต่ผ้าซิ่น ห้ามเคี้ยวหมาก เพราะอยากให้ดูเป็นสากลเป็นที่ยอมรับแบบชาติตะวันตกที่เจริญแล้ว ผลก็คือวัฒนธรรมการแต่งกายที่หลากหลายไปตามเชื้อชาตินั้นถูกทำลายไป ปัจจุบันจะให้ใครมาใส่โสร่งเดินถนน นุ่งโจงกระเบน ใส่ชุดไทยวันศุกร์ คงยากแล้วล่ะ…

 photo AirAsiaMyanmar13.jpg
ระหว่างทางเราแอบมีแวะไหว้พระใหญ่กันซะหน่อย จำชื่อสถานที่ไม่ได้ แต่ว่าความเป็นมาเล่าว่าพระทั้ง 4 รูปประจำ 4 ทิศนี้สร้างโดยเจ้าหญิง 4 องค์ที่สาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ชาย แต่มีเจ้าหญิงองค์หนึ่งที่ผิดคำสาบานไปแต่งงาน ผลก็คือฟ้าผ่าที่พระพุทธรูปของเจ้าหญิงองค์นั้นจนเสียหาย ทำให้ใบหน้าของพระพุทธรูปทั้ง 4 องค์จะมี 3 องค์ที่เป็นศิลปะแบบมอญ แต่มีองค์หนึ่งที่แปลกไป เป็นศิลปะแบบพม่าในยุคหลัง

 photo AirAsiaMyanmar14.jpg
อีกสิ่งหนึ่งที่คนไปพม่าต้องซื้อกันก็คือทานาคา ซึ่งเป็นไม้ตระกูลมะนาวชนิดหนึ่ง คนพม่ามีการเอาเปลือกของต้นทานาคามาใช้ในการปกป้องผิวมานานด้วยการเลาะเปลือกแข็ง ๆ ด้านนอกแแกแล้วเอาเปลือกสีอ่อน ๆ มาฝนกับหินจนได้เป็นแป้งเหลว ๆ มาทาบนผิว

ผงแป้งทานาคานี้มีกลิ่นเฉพาะตัว ช่วยไล่แมลง มีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรีย ช่วยให้รู้สึกเย็นผผิวและปกป้องผิวจากรังสี UV อีกด้วย ทานาคาเป็นพืชที่โตช้า กว่าจะโตพอเอามาฝนได้ใช้เวลาหลายปีทีเดียว ดังนั้นเรายังไม่เห็นทานาเป็นสินค้าส่งออกอย่างเป็นทางการในตอนนี้

 photo AirAsiaMyanmar15.jpg
ต่อมาเราก็แวะไปนมัสการมหาเจดีย์ชเวมอดอร์ (Shwemawdaw Pagoda) หรือที่เราเรียกกันว่า พระธาตุมุเตา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหงสาวดี มหาเจดีย์องค์นี้ถือว่ามีความโดดเด่นในหลายๆด้าน มีความเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และยังเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของชาวพม่า

ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเจดีย์ชเวมอดอก็คือ เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญอย่างเด่นชัด คือมีฉัตรแบบเรียบๆและมีองค์ระฆังของเจดียย์มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ ภายในเป็นอิฐกลวง แตกต่างจากเจดีย์ชเวดากองที่เป็นเจดีย์แบบพม่า

 photo AirAsiaMyanmar16.jpg
มหาเจดีย์ชเวมอดอ เคยผ่านการพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 4 ครั้ง แผ่นดินไหวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ก.ค. พ.ศ. 2473 ได้ทำให้ปลียอดของเจดีย์องค์นี้หักพังลงมา แต่ชาวพม่าก็ช่างมองโลกในแง่ดี มองว่านี่เป็นเรื่องมงคล ด้วยความที่ผู้หญิงไม่สามรถเข้าไปนมัสการเจดีย์อย่างใกล้ชิดได้ การที่ยอดเจดีย์หักลงมาแต่ตกไม่ถึงพื้น เหมือนเป็นการเดลิเวอรี่ให้ผู้หญิงได้มีโอกาสนมัสการได้อย่างใกล้ชิดกันเลยทีเดียว

 photo AirAsiaMyanmar17.jpg
ต่อไปเราก็แวะมาเยี่ยมชมพระราชวังพระเจ้าบุเรงนอง (Bayint Naung Palace) ซึ่งเป็นของที่สร้างขึ้นมาใหม่ตามพงสาวดารบรรยายไว้

พระราชวังแห่งเมืองหงสาวดี หรือ เมืองพะโค ของพระเจ้าบุเรงนอง เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2109  ชื่อ กัมโพชธานี (Kanbawzathadi Palace) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการปกครองและใช้ออกว่าราชการ

พระราชวังมีอณาเขตที่ใหญ่โต มีประตูเข้าออกถึง 10 ทาง ซึ่งแต่ละประตูจะตั้งชื่อด้วยหัวเมืองขึ้นต่าง ๆ โดยแรงงานที่ใช้ก่อสร้างก็มาจากทาสที่ได้จากเมืองขึ้น ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีเมืองเชียงใหม่ และอยุธยาด้วย

พระราชวังเดิมนั้นไหม้ไปหมดแล้ว นักโบราณคดีขุดค้นเจอแต่เสาไม้ที่เป็นฐานของพระราชวัง ซึ่งที่ก้นของเสาไม้นั้นมีการสลักอักษรโบราณว่าเป็นเสาที่มาจากหัวเมืองใดนั่นเอง

เหตุผลที่พระราชวังเดิมไหม้ไปนั้นไม่ใช่ข้าศึกมาเผาแต่อย่างใด แต่ทางพม่าตัดสินใจเผาเองหลังจากถูกตีเมืองเพื่อไม่ให้เป็นที่มั่นสำหรับข้าศึกในการพักและรวมไพร่พลเพื่อยึดตีเมืองอื่น ๆ ต่อไป

พระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นี้สร้างขึ้นในสมัยรัฐบาลทหารของพม่า ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของโบราณคดีเท่าไหร่ การสร้างพระราชวังใหม่แห่งนี้จึงดูไม่ค่อยสวยงามและมีรายละเอียดที่ดีเท่าไหร่ในความเห็นส่วนตัวของปูเป้เอง

ปูเป้มองว่าหากพม่าไม่ติดหล่มอยู่ในช่วงความวุ่นวายทางการเมือง พม่าคงเจริญไปกว่านี้มาก เขามีทรัพยากรที่พร้อม มีเขตติดชายฝั่ง มีศิลปะวัฒนธรรมที่ยาวนานซึ่งเป็นจุดขายในการท่องเที่ยวได้ไม่ยาก…

 photo AirAsiaMyanmar18.jpg
ต่อไปเราก็จะเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน หรือ เจดีย์ไจก์ทิโย (Kaiktiyo  Pagoda)
 ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากเมืองพะโคกว่า 4 ชั่วโมง โดยช่วงของการขึ้นเขาเราต้องเปลี่ยนมาขึ้นรถบรรทุกขนหมูแบบในรูปนี้

อาจจะดูไม่สะดวกสบาย แต่จากปากของคนที่มาหลายรอบแล้วบอกว่านี่ดีกว่าเดิมหลายสิบเท่าแล้วนะ สมัยก่อนคงลำบากกว่านี้น่าดูทีเดียว

 photo AirAsiaMyanmar19.jpg
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์นั้นอากาศตอนขึ้นเขาดีมาก เย็นสบาย และช่วงเวลาที่ไปก็เห็นอาทิตยค่อย ๆ ลับขอบฟ้าส่งแสงรัสมีเรืองรองบนขอบทิวยอดเขา สวยงามมาก ๆ แม้ทางขึ้นเขาจะชันมากและมีหลุมบ่อบ้าง แต่ก็สนุกเหมือนนั่งรถวิบากหรือรถไฟเหาะในสวนสนุก

 photo AirAsiaMyanmar20.jpg
พระธาตุอินทร์แขวน หรือ เจดีย์ไจก์ทิโย (Kaiktiyo  Pagoda)
 มีลักษณะที่แปลกแตกต่างไปจากเจดีย์อื่นๆ คือเป็นลักษณะของก้อนหินที่ปิดทองไว้รอบๆ องค์เจดีย์ ตั้งวางอยู่บนปลายหน้าผาได้อย่างน่าอัศจรรย์  บนความสูงจากพื้นดินกว่า 1,200 เมตร

เหตุผลที่ชื่อว่าพระธาตุอินทร์แขวนก็เพราะมีความเชื่อมาแต่ครั้งโบราณว่า พระอินทร์ได้เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อนำพระธาตุมา วางไว้ที่ยอดผานั่นเอง

การมากราบไหว้ขอพรที่เจดีย์แห่งนี้ถ้าเป็นไปได้ควรทำ 3 รอบ ซึ่งปูเป้ก็ขึ้นไปรอบเย็น 1 รอบ กลับมากินข้าวที่โรงแรมใกล้ยอดเขาก่อนเดินขึ้นเขาไปขอพรในตอนดึกอีกที แล้วอีกรอบก็คือตอนเช้าหลังตื่นนอน ครบ 3 รอบเรียบร้อยตามที่ตั้งใจไว้

ช่วงกลางคืนอากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่ด้วยระยะทางที่เราต้องเดินขึ้นเขาทำให้ไม่รู้สึกหนาวเลย แต่เหงื่อออกแทน คนก็เยอะมาก ใครที่แพ้ควันธูปจะเจอปัญหาหนักมากเพราะว่าควันธูปเยอะราวกับไฟไหม้ แต่อยากทำบุญก็ต้องอดทนกันนิดนึงนะ…

 photo AirAsiaMyanmar21.jpg
อากาศในตอนเช้าดีมาก เราเห็นทะเลหมอกสวย ๆ พาดผ่านหุบเขาไปอย่างช้า ๆ นับเป็นบุญตาที่ได้มาเห็น หลังจากทานข้าวเช้า และเช็คเอ้าท์ก็เตรียมตัวเดินทางลงเขาเพื่อกลับบ้านของเรา

โรงแรมบนยอดเขาอาจจะไม่ได้หรูหรา สวยงามอะไรนัก น้ำก็ค่อนข้างกระด้าง แต่การมีน้ำ ไฟฟ้า ห้องน้ำใช้บนยอดเขาที่ห่างไกลขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้วล่ะ

 photo AirAsiaMyanmar22.jpg
ตอนลงเขาก็อากาศดีมากนะ แต่หวาดเสียวยิ่งกว่าตอนขาขึ้นเพราะว่าบางจุดทางชันมาก ซึ่งส่วนตัวเราเอนจอยและรู้สึกว่าสนุกดีล่ะ

 photo AirAsiaMyanmar25.jpg
ระหว่างขากลับเราก็มีแวะซื้อของฝากแล้วก็ทานข้าวบ้างซึ่งไม่มีอะไรพิเศษ ส่วนใหญ่หลับอยู่บนรถเพราะความเหนื่อยมากกว่า

แอบแนะนำของฝากที่น่าซื้อกลับมาจากพม่าสักหน่อย อย่างแรกที่ติดใจเลยก็คือขนมถั่วตัดที่ด้านนอกจะเป็นตังเม ด้านในจะเป็นไส้ถั่วตัดหอมหวานอร่อย ราคาไม่แพง

อีกอย่างก็คือชานมพม่าที่รสเข้มข้น ไม่หวานมากแนะนำให้ลองเอามาชงแบบเข้มข้น ใส่นมข้นหวาน แล้วทำเป็นชานมเย็นอร่อยมากเลยล่ะ

 photo AirAsiaMyanmar24.jpg
สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณ Air Asia อีกครั้งที่ให้โอกาสปูเป้ในการสัมผัสกับประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตที่ประเทศพม่า ทริปนี้ปูเป้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง รวมถึงเห็นมุมมองมากมาย รวมถึงได้ลองทานอาหารอร่อย ๆ บนเครื่องบิน Air Asia

โอกาสหน้าที่ได้บินกับ Air Asia เราจะไม่พลาดที่จะสั่งอาหาร โดยเฉพาะลูกตาลลอยแก้ว แล้วก็ข้าวเหนียวมะม่วงอย่างแน่นอน