พูดถึงประเทศพม่าแล้วส่วนตัวเราไม่เคยไปมาก่อน และเราก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับประเทศนี้มากไปกว่าภาพเจดีย์ชเวดากอง กับเรื่องสู้รบระหว่างไทยพม่ากับกรุงศรีอยุธยาตามแบบที่เราถูกตอกเสาเข็มปลูกฝังในหัวผ่านทางวิชาสังคมศึกษาของไทย การไปทริปครั้งนี้นอกจากจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปทำบุญก่อนเดือนเกิดแล้ว ยังได้ไปเปิดหูเปิดตาดูความเป็นไปของต่างบ้านต่างเมืองด้วย
สารภาพว่าไม่คิดว่ามันจะอร่อย แต่ผิดคาดเพราะว่าทำรสชาติออกมาได้ดีกว่าที่คิด โดยเฉพาะเมนูลูกตาลลอยแก้วที่แข็งเป็นเกล็ดน้ำแข็งหน่อย ๆ นั้นอร่อยมาก เป็นการเพิ่มความสดชื่นตบท้ายมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี ทาง Air Asia บอกว่าอาหารพวกนี้ให้ร้านสีฟ้าเป็นคนคิดสูตรให้ล่ะ
หลังจากนั่งเครื่องราวหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงสนามบินย่างกุ้งซึ่งมีขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ไม่ได้มีดิวตี้ฟรีหรูหราอะไร แต่มีไวไฟฟรีให้ใช้นะเออ
จากแผนเดิมเราจะไปที่เจดีย์ชเวดากองราวหกโมงเย็น แต่สภาพการจราจรในย่างกุ้งนั้นรถติดเอามาก ๆ ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้ร่วมทริปที่เคยไปพม่าหลายครั้งในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมาเขาบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นรถเยอะมากขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าพม่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตทางเศรษฐกิจ
จากข้อมูลทางโบราณคดีนั้นเจดีย์ชเวดากองนั้นมีอายุประมาณ 2,000 ปี โดยมีความสูง 48 เมตร และกว้าง 105 เมตร ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาจึงยิ่งทำให้เจดีย์ดูเป็นจุดเด่นของเมืองย่างกุ้งอย่างมาก
อ้อ… สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือเราห้ามใส่รองเท้าเข้าในพื้นที่วัดอย่างเด็ดขาด ดังนั้นแนะนำให้ใส่รองเท้าที่ถอดง่าย ๆ เข้าไว้ และพกทิชชู่เปียกห่อใหญ่ ๆ เอาไว้เช็ดเท้าหลังจากไหวพระเสร็จด้วยนะ
ตัวเจดีย์นี้มีตำนานกล่าวว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุหรือเส้นผมของพระพุทธเจ้า ตัวเจดีย์ถูกหุ้มด้วยแผ่นทอง และส่วนยอดของเจดีย์มีเครื่องประดับ อัญมณีกว่า 5,000 ชิ้น โดยจุดเด่นสุดคือเพชรที่มีน้ำหนักกว่า 76 กะรัต
คนไทยส่วนหนึ่งมีความเข้าใจว่าทองที่หุ้มเจดีย์นี้ถูกพม่าเผาขโมยไปสมัยมีตีอยุธยา แต่ในความเป็นจริงแล้วการหุ้มทององค์พระเจดีย์เป็นธรรมเนียมมาช้านานก่อนที่จะมีการตีอยุธยาด้วยซ้ำไป ดังนั้นการพูดว่าทองที่แปะองคืพระเจีดีย์เป็นของไทยที่พม่าขโมยไปนั้นจึงเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไม่มีหลักฐานยืนยันทางโบราณคดี และส่งผลให้เกิดความรู้สึกต่อต้านหรือเกลียดชังกันเสียเปล่า ๆ อีกด้วย
การหุ้มทองครั้งสำคัญของเจดีย์ชเวดากองเกิดในสมัยของพระนางเชงสอบูเมื่อราว 550 ปี ที่ผ่านมา โดยพระนางเป็นผู้ที่มีศรัทธาในศาสนาพุทธเป็นอย่างสูง และมีการถวายทองคำเท่าน้ำหนักของพระนางเอง หรือราว 40 กิโลกรัม เพื่อปิดองค์พระเจดีย์ และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันของผู้ปกครองพม่า
ในยุคที่พม่าเป็นของอังกฤษนั้น ทหารอังกฤษได้มีการขุดค้น (ปล้น) เอาทรัพย์สมบัติมากมายที่ถูกฝังไว้ในองค์พระเจดีย์จนมีเรื่องเสื่อมเสียถึงควีนอลิซาเบทที่ 1 จนต้องมีการสอบสวนและปลดนายทหารที่ดูแลออก แต่สมบัติก็ไม่คืนนะ ของหลายอย่างถูกเก็บไว้ที่พิพิธพันธ์วิคตอเรียของอังกฤษ บางส่วนพึ่งมีการคืนกลับให้พม่าเมื่อไม่นานมานี้เอง
ชาวพม่าเป็นคนที่มีศรัทธาทางศาสนาเป็นอย่างมาก ทุกเย็นจะมีคนมากมายตั้งแต่เด็ก หนุ่ม สาว คนแก่ มาทำความสะอาด มากราบไหว้ สวดมนต์กันเต็มไปหมด เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่คนพม่าเขาทำกันหลังเลิกงาน เป็นจุดมีทติ้ง แต่แทนที่จะเจอกันที่สยาม กินเอ็มเค คนพม่าเขามาเจอกันที่วัด มาทำบุญกันเก๋ ๆ
โรงแรมนี้อาจจะเก่า แต่ก็มีเสน่ห์ และความสะอาดก็พอใช้ได้
วิธีขอพรจากเทพทันใจให้เตรียมเครื่องถวายสักการะเช่น มะพร้าม กล้วย ดอกไม้ มีขายในวัดประมาณ 3,000-4,000 จัตต์ จากนั้นให้เตรียมเงินธนบัตรไว้ 2 ใบมาม้วนเป็นรูปกรวยซ้อนกัน จากนั้นนำไปใส่ไว้ที่มือของเทพทันใจ จากนั้นนำหน้าผากของเราไปแตะชิดที่นิ้วชี้ของเทพทันใจที่ชี้มา พร้อมกันนั้นให้เราอธิษฐานสิ่งที่ต้องการขอพรเพียงแค่ 1 อย่างเท่านั้นจากนั้นให้เดินวน 3 รอบ ไหว้ท่านอีกสักรอบหน้าผากแตะไว้ที่นิ้วชี้ของเทพทันใจ และหยิบเงินที่ซ้อนในกรวยในมือท่านออก 1 ใบนำมาเก็บรักษาไว้ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี
มีคนแนะนำเคล็บไม่ลับในการขอพรคือ อย่าขอหลายอย่าง ให้เน้นไปที่อย่างใดอย่างหนึ่ง และเจาะจงให้ชัดเจน อย่าวเช่นขอให้ได้โบนัส ก็ขอไปเลยว่าได้กี่เดือน ถูกหวยก็บอกไปว่าขอถูก สามแสน บอกสกุลเงินด้วย ท่านจะได้ให้ถูก ขอถูกหวยสามแสน อาจจะได้สามแสนจ๊าดแทน อะไรแบบนี้
อืมมมมมมมมมมม….
สิ่งหนึ่งที่ประทับใจคือคนพม่ายังคงนุ่งโสร่งกันเป็นปกติ แม้จะมีบางส่วนที่นุ่งกางเกง แต่โสร่งก็ยังคงเป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้กันทั่วไป
ผงแป้งทานาคานี้มีกลิ่นเฉพาะตัว ช่วยไล่แมลง มีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรีย ช่วยให้รู้สึกเย็นผผิวและปกป้องผิวจากรังสี UV อีกด้วย ทานาคาเป็นพืชที่โตช้า กว่าจะโตพอเอามาฝนได้ใช้เวลาหลายปีทีเดียว ดังนั้นเรายังไม่เห็นทานาเป็นสินค้าส่งออกอย่างเป็นทางการในตอนนี้
ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเจดีย์ชเวมอดอก็คือ เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญอย่างเด่นชัด คือมีฉัตรแบบเรียบๆและมีองค์ระฆังของเจดียย์มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ ภายในเป็นอิฐกลวง แตกต่างจากเจดีย์ชเวดากองที่เป็นเจดีย์แบบพม่า
พระราชวังแห่งเมืองหงสาวดี หรือ เมืองพะโค ของพระเจ้าบุเรงนอง เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2109 ชื่อ กัมโพชธานี (Kanbawzathadi Palace) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการปกครองและใช้ออกว่าราชการ
พระราชวังมีอณาเขตที่ใหญ่โต มีประตูเข้าออกถึง 10 ทาง ซึ่งแต่ละประตูจะตั้งชื่อด้วยหัวเมืองขึ้นต่าง ๆ โดยแรงงานที่ใช้ก่อสร้างก็มาจากทาสที่ได้จากเมืองขึ้น ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีเมืองเชียงใหม่ และอยุธยาด้วย
พระราชวังเดิมนั้นไหม้ไปหมดแล้ว นักโบราณคดีขุดค้นเจอแต่เสาไม้ที่เป็นฐานของพระราชวัง ซึ่งที่ก้นของเสาไม้นั้นมีการสลักอักษรโบราณว่าเป็นเสาที่มาจากหัวเมืองใดนั่นเอง
เหตุผลที่พระราชวังเดิมไหม้ไปนั้นไม่ใช่ข้าศึกมาเผาแต่อย่างใด แต่ทางพม่าตัดสินใจเผาเองหลังจากถูกตีเมืองเพื่อไม่ให้เป็นที่มั่นสำหรับข้าศึกในการพักและรวมไพร่พลเพื่อยึดตีเมืองอื่น ๆ ต่อไป
พระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นี้สร้างขึ้นในสมัยรัฐบาลทหารของพม่า ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของโบราณคดีเท่าไหร่ การสร้างพระราชวังใหม่แห่งนี้จึงดูไม่ค่อยสวยงามและมีรายละเอียดที่ดีเท่าไหร่ในความเห็นส่วนตัวของปูเป้เอง
ปูเป้มองว่าหากพม่าไม่ติดหล่มอยู่ในช่วงความวุ่นวายทางการเมือง พม่าคงเจริญไปกว่านี้มาก เขามีทรัพยากรที่พร้อม มีเขตติดชายฝั่ง มีศิลปะวัฒนธรรมที่ยาวนานซึ่งเป็นจุดขายในการท่องเที่ยวได้ไม่ยาก…
อาจจะดูไม่สะดวกสบาย แต่จากปากของคนที่มาหลายรอบแล้วบอกว่านี่ดีกว่าเดิมหลายสิบเท่าแล้วนะ สมัยก่อนคงลำบากกว่านี้น่าดูทีเดียว
เหตุผลที่ชื่อว่าพระธาตุอินทร์แขวนก็เพราะมีความเชื่อมาแต่ครั้งโบราณว่า พระอินทร์ได้เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อนำพระธาตุมา วางไว้ที่ยอดผานั่นเอง
การมากราบไหว้ขอพรที่เจดีย์แห่งนี้ถ้าเป็นไปได้ควรทำ 3 รอบ ซึ่งปูเป้ก็ขึ้นไปรอบเย็น 1 รอบ กลับมากินข้าวที่โรงแรมใกล้ยอดเขาก่อนเดินขึ้นเขาไปขอพรในตอนดึกอีกที แล้วอีกรอบก็คือตอนเช้าหลังตื่นนอน ครบ 3 รอบเรียบร้อยตามที่ตั้งใจไว้
ช่วงกลางคืนอากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่ด้วยระยะทางที่เราต้องเดินขึ้นเขาทำให้ไม่รู้สึกหนาวเลย แต่เหงื่อออกแทน คนก็เยอะมาก ใครที่แพ้ควันธูปจะเจอปัญหาหนักมากเพราะว่าควันธูปเยอะราวกับไฟไหม้ แต่อยากทำบุญก็ต้องอดทนกันนิดนึงนะ…
โรงแรมบนยอดเขาอาจจะไม่ได้หรูหรา สวยงามอะไรนัก น้ำก็ค่อนข้างกระด้าง แต่การมีน้ำ ไฟฟ้า ห้องน้ำใช้บนยอดเขาที่ห่างไกลขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้วล่ะ
แอบแนะนำของฝากที่น่าซื้อกลับมาจากพม่าสักหน่อย อย่างแรกที่ติดใจเลยก็คือขนมถั่วตัดที่ด้านนอกจะเป็นตังเม ด้านในจะเป็นไส้ถั่วตัดหอมหวานอร่อย ราคาไม่แพง
อีกอย่างก็คือชานมพม่าที่รสเข้มข้น ไม่หวานมากแนะนำให้ลองเอามาชงแบบเข้มข้น ใส่นมข้นหวาน แล้วทำเป็นชานมเย็นอร่อยมากเลยล่ะ
โอกาสหน้าที่ได้บินกับ Air Asia เราจะไม่พลาดที่จะสั่งอาหาร โดยเฉพาะลูกตาลลอยแก้ว แล้วก็ข้าวเหนียวมะม่วงอย่างแน่นอน