เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาปูเป้ได้ไปร่วมงานฉลองครบรอบ 3 ปีของบริษัท  NAOS (นาโอส) ประเทศไทย บอกแบบนี้คงจะงงว่าบริษัทอะไรฉันไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าบริษัทนี้เป็นเจ้าของและผู้ผลิตแบรนด์  BIODERMA ก็น่าจะร้อง อ๋อ ถึงบางอ้อกันทุกคน

ในงานนี้ปูเป้ก็ได้พบกับ Eduard Kolarik ผู้บริหารระดับสูงจาก  NAOS ประเทศฝรั่งเศส และในงานนี้ก็ได้มีการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงได้เข้าใจแนวคิดและสิ่งที่ทำให้แบรนด์ในเครือของ NAOS มีความแตกต่าง คิดว่าน่าสนใจจะเอามาเล่าสู่กันฟัง

NAOS กำเนิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้วโดย Jean-Noël Thorel เภสัชกรและนักชีววิทยา ที่นำเสนอหลักการในการดูแลผิวโดยเคารพถึงกลไกของผิวตามธรรมชาติมากกว่าจะเข้าไปยุ่งหรือวุ่นวายกับมันมากเกินไปซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Ecobiology หรือ ศาสตร์แห่งชีวนิเวศวิทยา ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในเครือของ NAOS เป็นต้นมาตั้งแต่นั้น

[Source : https://twitter.com/thinkecobiology]

Ecobiology เป็นแนวคิดที่มองการดูแลผิวที่มองภาพรวมทั้งหมดของปัญหาที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันแล้วดูแลให้ครอบคลุมมากกว่าจะมุ่งไปที่เป้าหมายใดอย่างหนึ่ง เพราะผิวของเราเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนและมีสมดุลของมันเอง ผิวมีการสื่อสารในระหว่างชั้นผิวต่าง ๆ ด้วยโมเลกุลหลายชนิดเพื่อให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ การเลียนแบบกลไกหรือส่งเสริมกลไกในการทำงานของผิวด้วยส่วนผสมที่เลียนมีความคล้ายหรือส่วนผสมแบบเดียวกับที่มีในผิวจึงมีความเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างจะแตกต่างและแปลกใหม่ในยุคนั้นทีเดียว

ตัดภาพมาที่ยุคปัจจุบันก็ต้องบอกว่าแนวคิดเรื่องการดูแลผิวแบบมองภาพรวมนั้นเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง การดูแลผิวไม่ใช่การมุ่งไปที่เป้าหมายใดอย่างหนึ่งโดยไม่สนใจผลกระทบอย่างอื่นในสมดุลนั้น จะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสกินแคร์บำรุงผิวได้ที่วนกลับมาสู่พื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่าง Skin Barrier หรือชั้นปราการปกป้องผิว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดของนักพัฒนาที่ใช้แนวทางของ Ecobiology จะต้องมีเป็นพื้นฐาน

[Source : https://twitter.com/thinkecobiology]

แนวคิดของ Ecobiology ยังคำนึงไปถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวเราที่ผิวจะต้องสัมผัสอีกด้วย ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำขึ้น การดูแลผิวจึงไม่ใช่แค่ภายในชั้นผิวอีกต่อไป แต่รวมไปถึงจุลชีพที่อาศัยอยู่บนผิวของเราอย่างพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งปัจจุบันได้เรียกศาสตร์นี้ว่า Microbiome ซึ่งเป็นการทำความเข้าใจและศึกษาจุลชีพอย่างแบคทีเรียและเชื้อชนิดต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บนผิว เป็นระบบนิเวศน์ที่มีความเฉพาะตัวและมีสมดุลของมันเองและสมดุลนี้เอื้อปีะโยชน์กับกับผิวของเราอย่างไรบ้าง (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางบทความ ‘Microbiome’ The Future of Skincare )

จะเห็นได้ว่าการบำรุงผิวจึงไม่ใช่แค่การใส่หรือสาดตำรับหรือส่วนผสมต่าง ๆ ลงไปบนผิวเท่านั้น หากแต่ต้องเข้าใจกลไกในการทำงานและมองหาหนทางที่จะใช้ส่วนประกอบและเทคโนโลยีที่สามารถทำงานร่วมสอดประสานหรือเลียนแบบกลไกทางชีววิทยาของผิวไปได้ อย่างเช่นการเลือกใช้ส่วนผสมหรือสารที่มีอยู่ในผิวตามธรรชาติ (Skin Identical) หรือโมเลกุลที่มีความคล้ายหรือเลียนแบบสิ่งที่ผิวมีตามธรรมชาติ (Biomimetic) เพื่อลดโอกาสในการเกิดการต่อต้านหรืออาการแพ้ระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ และยังช่วยเสริมการทำงานของส่วนผสมหรือสารแอคทีฟต่าง ๆ ให้มีประสิทธิดีขึ้นอีกด้วย

ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องของ Biomimetic ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์น่าจะเป็นในเรื่องของโครงสร้างของอิมัลชั่นในเนื้อผลิตภัณฑ์ เพราะถึงสิ่งที่เรามองเห็นอาจจะเป็นเนื้อครีมที่มีความข้น สี กลิ่น สัมผัสที่เหมือนกัน แต่ความแตกต่างในโครงสร้างระดับโมเลกุลนั้น ทำให้เนื้ออิมัลชั่นที่ใช้ลิพิดที่มีอยู่ในผิวตามธรรมชาติและผลิตขึ้นมาให้มีโครงสร้างแบบ Multilamellar เลียนแบบโครงสร้างของชั้น Lipid Lamellar Structure ที่อยู่ระหว่างเซลล์เคราตินของผิวชั้นนอก ก็ทำให้ประสิทธิภาพในการเสริมความแข็งแรงและเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวแตกต่างกัน เทคโนโลยีส่วนผสมสกินแคร์อย่างเปปไทด์ก็เช่นเดียวกัน ในช่วง 10 ปีมานี้มีการสังเคราะห์หรือการสกัดสร้างเปปไทด์ที่เลียนแบบการทำงานในผิวตามธรรมชาติขึ้นมามากมายทีเดียว

แบรนด์ในเครือของ NAOS ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 แบรนด์ โดยแบรนด์แรกก็คือ BIODERMA ที่ใช้แนวคิด Ecobiology เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำงานร่วมกันกับผิว ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงไม่อ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม ส่วนแบรนด์ที่กำลังจะเข้าในจำหน่ายในประเทศไทยอย่าง Institut Esthederm ซึ่งใช้หลักของ Ecobiology ในการพัฒนา Cellular Water ซึ่งเลียนแบบโครงสร้างของน้ำในเนื้อเยื่อชั้นผิวเพื่อบำรุงและเสริมความงดงามอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ เขากระซิบบอกมาว่าภายในปี 2019 นี้เจอกันแน่นอน ส่วนอีกแบรนด์คือ ETAT PUR ยังไม่มีกำหนดเข้ามาในไทยแต่น่าสนใจมากเพราะเป็นแบรนด์ที่ทำขึ้นมาด้วยคอนเซปต์ของการ  Personalization กับสกินแคร์แบบ Biomimetic ซึ่งกำลังฮิตแบบสุด ๆ ในตอนนี้

แบรนด์ BIODERMA มีผลิตภัณฑ์เยอะมาก ตอนที่ปูเป้ไปร้านขายยาที่ฝรั่งเศสนี่คือละลานตาไปหมดเลย แต่ในประเทศไทยจะยังมีผลิตภัณฑ์ไม่ครบทุกกลุ่ม อย่างเช่นกลุ่มสำหรับเส้นผมและหนังศีรษะซึ่งก็ต้องมารอดูกันว่าจะมีเข้ามาเพิ่มหรือไม่ในอนาคต แต่โดยภาพรวมแล้วปัจจุบันประเทศไทยมีจำหน่ายอยู่ทั้งหมด 6 กลุ่มดังนี้

Sensibio – เพื่อผิวอ่อนแอบอบบางระคายเคืองง่ายเป็นพิเศษ 

Hydrabio – เพื่อผิวขาดความชุ่มชื้น 

Atoderm – สำหรับผิวแห้งมากหรือมีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนัง

Sébium – สำหรับผิวมันและเป็นสิว

Photoderm – ผลิตภัณฑ์สำหรับปกป้องผิวจากแสงแดด

Cicabio – เพื่อบำรุงผิวที่เกิดบาดแผลและช่วยลดการเกิดแผลเป็น

หลังจากงานนี้ก็ได้รับผลิตภัณฑ์ที่ขายดีและเป็นสินค้าที่เขาภาคภูมิใจกลับมาด้วย ชิ้นแรกที่ทุกคนต้องรู้จักก็คือ BIODERMA : Sensibio H2O ซึ่งเป็น Micellar Water ตัวแรกที่ปูเป้เคยลองใช้ เคยให้เป็น  PuPe’s Favorite Item of Year 2012 อยู่ด้วยประสิทธิภาพในการทำความสะอาดที่พอเหมาะ และความรู้สึกหลังใช้ที่สบายผิว ไม่ระคายเคือง และหนักหรือเหนอะหนะผิวและก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่แนะนำเสมอมา

ในงานนี้ปูเป้ก็พึ่งได้ทราบว่า BIODERMA เป็นแบรนด์แรกที่วางจำหน่าย Micellar Water ตั้งแต่ปี 1995 และอีกกว่า 20 ปีหลังจากนั้น Micellar Water ก็เป็นหนึ่งรูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่ขาดไม่ได้ไปแล้วของวงการเครื่องสำอาง แต่ Sensibio H2O ก็ยังคงมียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่าใช้น้ำที่มีความบริสุทธ์สูงระดับที่ใช้ในการผลิตยามาด้วย

หลักการของ Micellar Water ก็คือการใช้โมเลกุลของ Surfactant เข้าไปจับกับสิ่งสกปรกนั่นแหล่ะ แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างหลัก ๆ คือการเลือกชนิดของ Surfactant โดยทางแบรด์ก็เลือกใช้ทั้งชนิดที่อ่อนโยนในสัดส่วนที่ลงตัวและมีความเข้ากันกับผิวตามแนวทางของ  Ecobiology และยังมีส่วนผสมของ  Rhamnose และ Mannitol ที่ลดการระคายเคือง ต้านอนุมูลอิสระ จึงได้ผลิตภัณฑ์เช็ดทำคามสะอาดผิวที่ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดที่ดีโดยไม่ระคายเคืองผิวนั่นเอง

อีกผลิตภัณฑ์ที่ได้ติดมาก็คือ BIODERMA : Photoderm Aquafluid Neutral SPF50+ ซึ่งปูเป้ยังไม่เคยทดลองใช้ แต่จากส่วนประกอบก็พบว่าใช้สารกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงมากทั้ง Tinosorb M และ  Tinosorb S มาคู่เลยทีเดียว ซึ่งในแง่ของสารกันแดดนี่ไม่ต้องห่วงเลย กัน UV ได้ครบและเสถียรอย่างมากอีกด้วย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่น่าสนใจอย่าง Ectoin มาด้วย ตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมจึงดูเหมาะกับผิวที่ระคายเคืองง่ายเหมือนกัน

นอกจากนี้ NAOS ประเทศไทยยังมี Member Program อย่าง  NAOS Club เพื่อให้ลูกค้าได้สมัครสมาชิกและสะสมคะแนนได้ง่าย ๆ โดยทุกผลิตภัณฑ์ BIODERMA ที่นำเข้าและจำหน่ายโดย NAOS ประเทศไทยจะมี QR Code ซึ่งนอกจากจะใช้สะสมคะแนนแล้ว ลูกค้ายังจะสามารถตรวจสอบได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ซื้อนั้นเป็นสินค้าของแท้ ไม่ใช่ของปลอมลอกเลียนแบบด้วยล่ะ ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครสมาชิกได้ทาง https://www.bioderma.co.th/naos-club ได้เลยจ้า

บอกเลยว่างานนี้เรารอการมาถึงของ Institut Esthederm กับ ETAT PUR มาก ๆ ถ้าได้ข่าวว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่เราจะมาแจ้งข่าวให้ทราบกันอีกทีนะฮะ

Related Posts