หากเราไม่ได้ออกจากบ้าน อยู่แต่ในห้อง จำเป็นต้องทาครีมกันแดดหรือไม่? เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบเดียวแต่จะแตกต่างไปแล้วแต่ตัวแปรและปัจจัยของแต่ละคน จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจตัวแปรและเหตุผลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะตอบคำถามนั้นกับตัวเองได้
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า รังสี UV มีทั้งหมด 3 ช่วง เป็นเป็น UVC —> UVB —> UVA โดยเรียงลำดับจากความแรงในการสร้างความเสียหายต่อเซลล์จากมากไปน้อย แต่ในทางตรงกันข้าม ก็เรียงลำดับจากความสามารถในการแทรกผ่านไปน้อยไปมาก
นั่นหมายความว่า แม้ว่ารังสี UVC จะสร้างความเสียหายกับเซลล์ได้มาก (ถึงขั้นเอามาฆ่าเชื้อโรคกัน) เป็นอันตรายกับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกประเภท แต่มีความสามารถในการแทรกผ่านที่ต่ำ UVC ทั้งหมดจึงไม่สามารถแทรกผ่านชั้นบรรยากาศโลกได้
UVB ทำให้เกิดการ Burn หรือผิวไหม้ได้ง่าย เป็นตัวการสำคัญของมะเร็งผิวหนัง มีความสามารถในการทะลวงผ่านที่มากกว่า จึงผ่านเข้ายังชั้นบรรยากาศมายังระดับพื้นผิวได้ แต่ในวันที่มีเมฆมากหรือมีหมอก อานุภาคเหล่านี้จะกรองรังสี UVB ออกไปได้ส่วนหนึ่ง ปริมาณของรังสี UVB จึงมีมากในช่วงเที่ยงและบ่าย หรือในยามฟ้าใสไร้เมฆ และ รังสี UVB ไม่สามารถทะลุกระจกได้
UVA แม้จะมีความรุนแรงที่น้อยกว่า แต่การทะละทะลวงมากกว่า UVA ทะลุผ่านได้หมดทั้งเมฆและกระจก ดังนั้นปริมาณ UVA จะค่อนข้างแรงสม่ำเสมอแม้ในวันที่ฝนจะตกเมฆครึ้มก็ตาม แต่เนื่องจากมีพลังงานที่ต่ำกว่า การก่อความเสียหายของรังสี UVA จึงไม่ก่อให้เกิดอาการไหม้บวมแดงได้ชัดเจนอย่างรวดเร็วเหมือน UVB แต่ผลจะเกิดสะสมต่อเนื่องยาวนานให้เป็นริ้วรอยก่อนวัย ผิวคล้ำเข้ม และจุดด่างดำตามมา
(Source : UV and pigmentation: molecular mechanisms and social controversies, Solar radiation induced skin damage: review of protective and preventive options., Comprehensive Review of Ultraviolet Radiation and the Current Status on Sunscreens, DNA damage after acute exposure of mice skin to physiological doses of UVB and UVA light., Solar UV irradiation and dermal photoaging., UV wavelength-dependent DNA damage and human non-melanoma and melanoma skin cancer., Effects of UV and visible radiation on DNA-final base damage.)
สรุปสั้น ๆ คือ กระจกธรรมดาสามารถกรองรังสี UVB เกือบทั้งหมดออกไปแล้ว แต่ UVA สามารถทะลุผ่านได้ ซึ่งโดยทั่วไปตามบ้านเราก็ใช้กระจกธรรมดาพวกนี้แหล่ะ ถ้าอยากได้คุณสมบัติในการกรองรังสี UVA เพิ่มก็จะต้องเลือกติดฟิลม์ที่ช่วยกรองรังสี UV มาแปะเพิ่ม หรือเลือกใช้กระจก Laminated / Insulated ที่มันชั้นฟิลม์กรอง UV ไปด้วย ซึ่งก็มีให้เลือกมากมายว่าฟิลม์ที่ใช้จะกรอง UV ไปโดยปล่อยให้แสงผ่านมาได้มากหรือน้อยแค่ไหนตามความชอบ ถ้าคุณใช้กระจกแบบ Insulated ก็จะสามารถกันความร้อนหรือเย็นจากภายนอกห้องได้ด้วย (แต่จะมีประโยชน์ต่อต่อเมื่อผนังอาคารทั้งหมดมีการ Insulated ด้วยเช่นกัน) ถ้าคุณมั่นใจว่าห้องหรือบ้านของคุณมีการใช้ฟิลม์กรอง UV ด้วยอยู่แล้ว หรือใช้กระจกในสเป็คที่ถูกต้องแล้วละก็ ปัญหาเรื่องรังสี UV ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วง
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ การตอบคำถามว่าถ้าเราอยู่ในห้อง จำเป็นต้องทาครีมกันแดดหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่าสภาพห้องที่อยู่อาศัยนั้นเป็นแบบไหน มีหน้าต่างเยอะน้อย กระจกที่ใช้มีฟิลม์กรอง UVA ได้ไหม
ถ้าคุณอยู่ในห้องที่มีหน้าต่างบานใหญ่ มีช่องแสงเปิดรับแสงธรรมชาติตลอด ถ้าไม่ปิดบานหน้าต่างหรือมีกระจกเลย จะมีทั้ง UVB และ UVA ถล่ม แต่ถ้ามีบานกระจกโดยที่กระจกที่ใช้ก็เป็นกระจกธรรมดา ก็จะกัน UVB ออกไป แต่จะได้รับปริมาณ UVA ไปอย่างเต็ม ๆ ซึ่งทำให้ผิวเสียหายในระดับลึกและสะสมจนเกิดเป็นริ้วรอย และเกิดความหมองคล้ำทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วย
ในกรณีนี้ถ้าคุณไม่อยากจะปิดรับแสงธรรมชาติที่คุณชอบ อยากอยู่ในบ้านที่ดูโปร่งสบาย ก็ควรที่จะทาผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากรังสี UVA เป็นหลัก โดยดูจากค่า PPD / UVA-PF / PA เอา ซึ่งส่วนตัวแนะนำว่าควรมีค่า PA 3 บวกขึ้นไป ส่วนค่า SPF ที่กำลังดีคือ SPF30
เหตุผลที่แนะนำตัวเลข SPF30 เพราะหลักการพัฒนาผลิตภัณฑ์กันแดดที่เป็นมาตรฐานของ EU ใช้กันคือต้องมีสัดส่วนการป้องกัน UVB : UVA อย่างน้อย 3 : 1 ดังนั้นค่า SPF30 ควรมีค่า UVA-PF / PPD มากกว่าหรือเท่ากับ 10 ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในช่วง PA+++ หรือมากกว่า นั่นเอง แต่ใครจะใช้ SPF มากกว่าหรือน้อยกว่านี้ ก็ตามสบาย ขอให้ค่า PA อยู่ในระดับที่แนะนำ และมีความเสถียรของสารกันแดดที่ดีก็พอแล้ว
ถ้าคุณใช้ชีวิตแบบมนุษย์ถ้ำ เกลียดแสงแดด อยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง มีหน้าต่างก็ปิดม่าน Blind เกือบตลอดเวลา มีแสงลอดมาจากหน้าต่างระบายอากาศในห้องน้ำบ้างเล็กน้อย (แบบเราเอง) จะไม่ทาครีมกันแดดก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผลกระทบเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเศษเสี้ยวของรังสีที่ลอดผ่านช่องผ้าม่านมาได้เราก็ใช้พวกสารต้านอนุมูลอิสระหลาย ๆ ชนิดในสกินแคร์ที่ใช้อยู่ช่วยดูแลตรงนั้นไป หรือจะทาครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF / PA ก็ไม่ได้ผิด แค่ไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่แค่นั้นเอง
หากคุณอยู่ในสภาพนี้ สิ่งที่เราควรกังวลไม่ใช่เรื่อง UV แต่เป็นเรื่องของการขาด Vitamin D จากการไม่โดนแสงธรรมชาติในปริมาณที่เหมาะสมมากกว่า เราแนะนำให้ออกไปโดนแสงธรรมชาติอ่อน ๆ ในช่วงเช้าเพื่อการนี้จะดีต่อสุขภาพโดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันของเราเองนะจ๊ะ หรือถ้าทำไมไ่ด้จริง ๆ ก็พิจารณากินเป็นวิตามินเสริมก็ยังพอได้
หากจะใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด ก็ต้องพิจารณาเลือกดังนี้
1. เลือกค่าการป้องกัน UVB / UVA ที่เหมาะสมกับปริมาณรังสีที่เราจะเจอเป็นหลัก ถ้าที่บ้านมีหน้าต่างเยอะ ไม่ได้ปิดบานหน้าต่าง เปิดให้ลมโกรกถ่ายเท คุณจะเจอทั้ง UVB และ UVA ถ้ามีหน้าต่างเยอะแต่ปิดบานหน้าต่างตลอด ก็จะเจอแต่ UVA เป็นหลัก เลือกตามนั้นพอ
2. เลือกคุณสมบัติและเนื้อสัมผัสให้เหมาะสมกับกิจกรรม และสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ถ้าอยู่ในห้องแอร์ ไม่ได้ร้อนหรือทำกิจกรรมอะไรที่เหงื่อไหลไคลย้อย ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเนื้อแมทหรือแห้งหรือต้องกันน้ำกันเหงื่อ
เพราะว่าการใช้อะไรที่เซ็ทตัวแบบ Matte เป็นประจำ ไม่ใช่เรื่องที่ดีกับผิว จะทำให้ผิวขาดน้ำ เสียความสมดุลได้ ผลิตภัณฑ์ที่กันน้ำและเหงื่อสูงมักติดผิวดีและเนื้อหนักกว่า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ เลือกอะไรที่เนื้อสบายผิว ไม่หนักผิวและไม่แห้งไปจะดีกว่า
ส่วนตัวโดยปกติจะชอบปิดม่านตลอดอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีการปลูกต้นไม้ในห้อง ก็จำเป็นต้องให้มันไปโดนแสงธรรมชาติบ้าง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 – 3 วัน โดยผ่านม่านโปร่งกรองแสง ก็ต้องเลือกทากันแดดในวันดังกล่าว โดยผลิตภัณฑ์ที่ปกติเลือกใช้ก็ได้แก่
Eucerin : UltraWhite+ Spotless Day Fluid UVA/UVB SPF30 ใช้เป็นขั้นตอนของมอยซ์เจอไรเซอร์ได้เลย เนื้อไม่หนักไม่แห้งและยังช่วยลดจุดด่างดำให้จางลงได้อีกด้วย หรืออีกตัวเลือกที่ปกติใช้ก็คือ Biore UV : Kids Milk SPF50+ PA++++ เพราะค่าการปกป้องที่มั่นใจได้ ในขณะเดียวกันก็เนื้อเหมือนมอยซ์เจอไรเซอร์สบายผิว แต่ถ้าคุณมีตัวเลือกที่คุณใช้แล้วชอบ เข้ากับสภาพผิว เข้ากับกิจวัตร สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย แล้วไม่เกิดปัญหาอะไรกับผิว ก็ใช้ตามนั้นต่อไปจ้า
หากรู้สึกต้องการกลบความมันวาวบนผิวบ้าง สามารถลงแป้งฝุ่นหรือแป้งอัดแข็งชนิดไม่มีรองพื้นบาง ๆ ได้ ตอนนี้กำลังใช้ IPSA : Skincare Powder แล้วชอบมาก เพราะเป็นแป้งอัดแข็งชนิดไม่ผสมรองพื้นที่ไร้สี โปร่งบาง และมีส่วนผสมของส่วนผสมบำรุงผิวอย่าง 4MSK ช่วยเสริมเรื่องความกระจ่างใส ใช้ตอนก่อนนอนหลังลงสกินแคร์ฉ่ำ ๆ ก็ได้ จะช่วยลดอาการหน้าหนึบติดปลอดหมอนได้
จริงๆ แล้ว Skincare Powder ไม่ใช่รูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ มีผลิตภัณฑ์ลักษระแบบนี้ออกมาเป็นสิบปีแล้วแต่ยังไม่แพร่หลายนัก แต่เราว่ามันเวิคร์กว่าการใช้แป้งเด็กมากเพราะว่ามันกลืนไปกับผิวเลยจริง ๆ
ส่วนใครที่กังวลว่าเอ๊ะการลงแป้งฝุ่นหรือแป้งอัดแข็งไม่มีรองพื้นบางใสพวกนี้จะอุดตันผิวหรือทำให้เป็นสิวหรือไม่ ขอบอกว่าพวกสกินแคร์และกันแดดที่เราทาลงไปมันมีความน่าจะก่อการอุดตันมากกว่าแป้งฝุ่นเสียอีก ดังนั้นแป้งฝุ่นน่ะใช้ไปเถอะ ดีกว่ากลัวหน้ามันแล้วไปเลือกกันแดดเนื้อแมท ๆ แห้งๆ อยู่เยอะ