“คอลลาเจน” เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยอดนิยม และก็เป็นหนึ่งส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการถกเถียงกันในสังคมโซเชียลมาหลายระลอก เราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยบอกว่าการกินคอลลาเจนเสริมนั้นไม่มีประโยชน์มาตลอดจนกระทั่งได้ลองหาข้อมูลและลองกินด้วยตัวเองนับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา เราก็กินคอลลาเจนมาเรื่อย ๆ อาจจะไม่ถึงกับต่อเนื่องไม่เคยขาด ลองตัวนั้นตัวนี้มองหารูปแบบที่เหมาะกับชีวิตตัวเองไป 

ล่าสุดทาง Scotch ได้ส่งผลิตภัณฑ์คอลลาเจนตัวใหม่ของเขามาให้ โดยชูจุดเด่นว่าเขาใช้ ‘คอลลาเจนไดเปปไทด์’ ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่มีขนาดเล็กมาก พร้อมสารสกัดจากซีบัคธอร์น และวิตามินซี เป็นครั้งแรกที่เขาออกผลิตภัณฑ์คอลลาเจนในรูปแบบผงที่ให้เราเลือกผสมเข้ากับอะไรก็ได้ที่เราอยากจะใส่ ทาง  Scotch อยากให้ปูเป้ทดลองและมาพูดถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ตัวนี้มีอะไรบ้าง แต่แค่นั้นมันจะง่ายไปหน่อย ไม่ท้าทาย ไม่ใช่แนว ปูเป้คิดว่าเรามาอัพเดทข้อมูลเรื่องการกินคอลลาเจนเพื่อประโยชน์ด้านผิวพรรณกันดีกว่าว่าในช่วงที่ 6 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปูเป้ทำข้อมูลไปครั้งแรกนั้นมีข้อมูลและมีการศึกษาวิจัยอะไรใหม่ ๆ มาเพิ่มบ้าง ทุกคนที่มาอ่านน่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่าที่จะมาพูดว่าผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นยังไงอย่างเดียว

แต่ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันเรืองพื้นฐานก่อน เราจะได้คุยกันรู้เรื่อง

Collagen Basics

คอลลาเจนเป็นโครงสร้างเกลียวของสายที่เกิดจากกรดอะมิโน โดยจะมีกรดอะมิโนหลัก ๆ ที่พบมากที่สุด 3 ชนิดได้แก่ Glycine ซึ่งมีมากที่สุด (คิดเป็น 1/3) กับ Proline และ Hydroxyproline (สองตัวนี้รวมกันเป็นอีก 1/3) คอลลาเจนมีหลายประเภทมากและประเภทที่พบในผิวหนังได้มากที่สุดคือ Collagen Type I และ III โดยตัวที่มีมากที่สุดคือ Type I และตลอดช่วงอายุขัยของเราปริมาณมันจะลดลงเมื่อแก่ตัวแต่ในสัดส่วนที่ไม่มาก ในทางตรงกันข้าม Type III ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่มีมากเป็นอันดับสองนั้นจะมีเยอะในตอนเด็กและลดลงอย่างมากในตอนที่เราโตและแก่ตัวลง ในรูปด้านบนนี้คือเมื่อเรานำคอลลาเจน อย่าง  Collagen Type I มาทำการ sequencing เราจะเห็นดังข้อมูลคือกรดอะมิโน Glycine (Gly) จะเป็นตัวที่มีมากสุด และ Proline (Pro) และ Hydroxyproline (Hyp) จะมีมากในสัดส่วนที่รองลงมา ที่เหลือก็จะเป็นกรดอะมิโนอื่น ๆ

กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อยที่สุดของโปรตีน ตามความรู้แต่เดิมที่เรียนกันมาคือเรากินโปรตีนอะไรเข้าไปก็จะถูกระบบย่อยจนเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึม แต่ก่อนที่จะสรุปไปเลยว่าการกินคอลลาเจนก็ไม่ต่างอะไรกับการกินเนื้อ กินโปรตีนไปที่สุดท้ายก็ย่อยไปเป็นกรดอะมิโนเหมือนกัน เราต้องเข้าใจว่าแต่ละแหล่งโปรตีนมีชนิดของกรดอะมิโนในสัดส่วนที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับการกินไขมัน น้ำมัน ต่างแหล่งต่างชนิดก็มีโปรไฟล์ของกรดไขมันที่ต่างกัน  ทีคุณอยากได้กรดไขมันดีเยอะคุณยังเลือกกินน้ำมันที่มาจากบางแหล่งเฉพาะ ดังนั้นถ้าเราอยากได้กรดอะมิโนบางอย่างมากเป็นพิเศษก็เลือกกินจากแหล่งที่มันมีอยู่เยอะก็ไม่น่าจะแปลกอะไร

(Source :  The content and ratio of type I and III collagen in skin differ with age and injury)

Not All Collagen Food Supplement Are Created Equal

หลายคนน่าจะเคยได้ยินที่เขาบอกกันว่า กินคอลลาเจนไปมันก็ไม่ได้ดูดซึมเป็นคอลลาเจนแล้วเข้าไปทดแทนเป็นคอลลาเจนในผิว คอลลาเจนมีโครงสร้างขนาดใหญ่ดูดซึมไม่ได้โดยตรงต้องถูกย่อยก่อน ต้องบอกว่านั่นเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องแล้ว และใครที่คิดว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนที่ขายที่กินกันมันคือคอลลาเจนทั้งดุ้นก็ต้องทำความเข้าใจซะใหม่ เนื่องจากที่เรากินกันมันไม่ได้อยู่ในสภาพของคอลลาเจนที่สมบูรณ์แต่อย่างใด มันถูกย่อยมาแล้วทั้งนั้น

โครงสร้างของคอลลาเจนเสียสภาพได้ง่าย และคอลลาเจนที่เรากินกันเป็นอาหารเสริมก็เสียสภาพ ถูก Hydrolyzed ถูกย่อยจนเป็นโครงสร้างที่เล็กลง แต่จะเล็กลงแค่ไหนก็แล้วแต่กรรมวิธีและเทคโนโลยีในการทำขึ้นมา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบในการผลิตด้วย

วัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตคอลลาเจนก็มาจากหลายแหล่ง เช่น ไก่ หมู วัว และจาก ปลา ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องรู้และผู้ผลิตก็ควรจะบอก เพราะเวลาเราเอาไปเทียบกับงานวิจัยเราจะได้เทียบได้ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของ Diet Restriction หรือข้อจำกัดทางอาหาร ซึ่งก็อาจจะมีตั้งแต่การแพ้อาหาร หรือรสนิยม ความเชื่อทางศาสนา เช่นคุณเป็นอิสลามคุณก็น่าจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่ไม่ได้มาจากหมู หรือไปบนเจ้าบานเจ้าแม่ว่าถ้าได้นั่นได้นี่แล้วจะไม่กินเนื้อวัวก็ต้องหาคอลลาเจนที่ไม่ได้มาจากวัวอะไรแบบนี้เป็นต้น คอลลาเจนที่ได้มาจากปลา (ซึ่งก็จะเป็นพวกกระดูก เกล็ด อะไรทำนองนี้) จึงมักเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างสะดวกเพราะว่าไม่ค่อยมีข้อจำกัดทางอาหารในแง่ของความเชื่อเท่าไหร่ แต่คอลลาเจนที่มาจากปลาก็มีราคาที่สูงกว่าล่ะ

นอกจากชนิดของวัตถุดิบตั้งต้นแล้ว มันก็จะถูกแยกออกไปตามขนาด ซึ่งการย่อยขนาดก็คือการ Hydrolysis นั่นเองที่จะทำให้โครงสร้างคอลลาเจนเส้นยาวใหญ่แตกออกเป็นเปปไทด์สายที่สั้นลง จึงกล่าวโดยรวม ๆ ได้ว่าคอลลาเจนที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เราซื้อกินกัน (รวมไปถึงวุ้นเจลาตินด้วย) ต่างก็เป็น Hydrolyzed Collagen ทั้งนั้นแหล่ะ แต่ว่าจะย่อยเหลือขนาดเท่าไหร่นั้น ก็จะวัดกันที่ Molecular Weight ว่าจะกี่ดาลตันก็ว่ากันไป ซึ่งตัวเลขที่แน่นอนของเจ้าคอลลาเจนที่ใส่จะมีขนาดเท่าไหร่นั้นคงจะมีแต่ผู้ผลิตเท่านั้นที่รู้แน่ชัด 

ก่อนหน้านี้ตัวที่ดัง ๆ ก็จะมี  Collagen Tripeptide ที่ว่าเล็กสุด ๆ แล้วคือในเปปไทด์สายหนึ่งมีกรดอะมิโนเพียง 3 ยูนิตในหนึ่งสาย แต่ก็มี Collagen Dipeptide ที่เล็กลงไปอีกคือเหลือ 2 ยูนิตเท่านั้น เรียกว่าแทบจะกลายเป็นการกินกรดอะมิโนไปแล้ว ไม่ต้องผ่านการย่อยในร่างกายอย่างหนักหน่วงอีกแล้ว

นอกจากนี้ถ้าลงในรายละเอียดของ Amino Acid Profile ลงไป คอลลาเจนแต่ละสเป็ค แต่ละผู้ผลิต ก็อาจจะมีความแตกต่างกันอีก บางตัวผู้ผลิตสามารถล็อคให้มีกรดอะมิโนบางประเภท หรือชนิดของเปปไทด์บางแบบที่เจาะจงเป็นพิเศษมากขึ้น แต่ตรงนี้เป็นข้อมูลในระดับที่ซัพพลายเออร์และผู้ผลิตที่มีสเป็คเหล่านี้เท่านั้นถึงจะรู้ คนอย่างเราๆ ทั่วไปไม่รู้หรอก เว้นแต่เขาจะเอามาบอก

สรุปสั้น ๆ ว่า คุณจะกินขาหมูเน้นหนัง กินเยลลี่เจลลาติน หรือกินอาหารเสริมคอลลาเจนเปปไทด์ คุณก็กำลังกินคอลลาเจนเข้าไป แต่การดูดซึมจะทำได้ง่าย ได้มากน้อยไม่เท่ากัน ปริมาณกับชนิดของกรดอะมิโนรวมไปถึงสายเปปไทด์ และราคาของมันก็ไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับความซับซ้อนในการทำมันขึ้นมา คอลลาเจนในอาหารเสริมนั้นถูกสร้างมาต่างกัน คอลลาเจนเปปไทด์ยิ่งเล็กยิ่งเล็กยิ่งแพง

กินคอลลาเจนไปแล้วได้อะไรบ้าง? 

ปัจจุบันมีการศึกษามากขึ้นทุกปีในหัวข้อการกินคอลลาเจนเพื่อสุขภาพในแง่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ความงาม การเสริมการเยียวยาบาดแผล (ซึ่งจะเป็นการกิน Collagen Type I หรือ III) หรือแม้แต่เรื่องปัญหาไขข้อ (กิน Collagen Type II)

ข้อมูลว่ากินคอลลาเจนแล้วผิวจะชุ่มชื้นขึ้น ผิวยืดหยุ่นขึ้น หยาบกร้านน้อยลงนั้นมีอยู่หลายอัน มากขึ้นกว่าเมื่อ 6 ปีที่เราเคยลองหาข้อมูลเอาไว้ ทั้งการทดลองในสัตว์ ใน skin model และในมนุษย์ (ซึ่งในมนุษย์ส่วนใหญ่ที่เอามาทดสอบจะมีอายุแบบ 30+ 40+ กันเป็นต้นไป)

ดังนั้นการบอกว่าไม่มีการศึกษาหรือไม่มีหลักฐานเรื่องประโยชน์ในการกินคอลลาเจนเลยนั้นก็คงไม่ถูก เพราะถ้าจะให้ว่ากันตามจริงคือมีการศึกษาแล้วนะ มีข้อมูลสนับสนุนแล้วนะ (ลองคลิกไปอ่านดูใน  Source ส่วนหนึ่งด้านล่าง) แต่ระดับของข้อมูลที่สนับสนุนยังไม่หนักแน่นสุดติ่งกระดิ่งแมวเนื่องจากข้อจำกัดทั้งในแง่ของ Conflict of interest เองก็ดี หลายอย่างยังเป็นการทดสอบแค่ในสัตว์ทดลอง รวมไปถึงตัวแปรต่าง ๆ ในการทดลองต่าง ๆ ที่บางอันก็ไม่มี control placebo ไม่  blind ไม่ random (แต่การศึกษาใหม่ ๆ ทำตรงนี้ได้ดีขึ้น) ที่น่าคิดคือแต่ละการทดลองก็ไม่ได้ใช้คอลลาเจนแบบเดียวกัน จากซัพพลายเออร์เดียวกันทั้งหมด มีคอลลาเจนจากทั้ง หมู ไก่ ปลา และสัตว์แปลกประหลาดมากมายอย่างแมงกระพรุนงี้ โปรไฟล์ของกรดอะมิโน ชนิดของคอลลาเจนเปปไทด์จำเพาะมันจะเหมือนกันไหม ต่างกันเท่าไหร่ แล้วมันจะให้ผลแบบเดียวกันรึเปล่า ยังมีหลายจุดที่ยังต้องมาตอบคำถาม  ซึ่งต้องคอยดูกันในอนาคตว่าจะมีการศึกษาที่จะมาเพิ่มระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐานสนับสนุน หรือจะมีอะไรมาหักล้างกันได้อีก

(Source : Nutraceuticals for Skin Care: A Comprehensive Review of Human Clinical StudiesCollagen supplementation as a complementary therapy for the prevention and treatment of osteoporosis and osteoarthritis: a systematic reviewOral Intake of Low-Molecular-Weight Collagen Peptide Improves Hydration, Elasticity, and Wrinkling in Human Skin: A Randomized, Double-Blind, Placebo-Controlled Study.Oral Supplementation of Specific Collagen Peptides Has Beneficial Effects on Human Skin Physiology: A Double-Blind, Placebo-Controlled StudyDaily oral supplementation with collagen peptides combined with vitamins and other bioactive compounds improves skin elasticity and has a beneficial effect on joint and general wellbeing.Oral administration of collagen tripeptide improves dryness and pruritus in the acetone-induced dry skin model.Improvement of skin condition by oral administration of collagen hydrolysates in chronologically aged mice.Effects of collagen and collagen hydrolysate from jellyfish umbrella on histological and immunity changes of mice photoaging.The protective effects of long-term oral administration of marine collagen hydrolysate from chum salmon on collagen matrix homeostasis in the chronological aged skin of Sprague-Dawley male rats.Effects of a nutritional supplement containing collagen peptides on skin elasticity, hydration and wrinklesThe effect of oral collagen peptide supplementation on skin moisture and the dermal collagen network: evidence from an ex vivo model and randomized, placebo-controlled clinical trialsSkin Antiageing and Systemic Redox Effects of Supplementation with Marine Collagen Peptides and Plant-Derived Antioxidants: A Single-Blind Case-Control Clinical StudyEffects of Collagen Tripeptide Supplement on Photoaging and Epidermal Skin Barrier in UVB-exposed Hairless MiceClinical effects of fish type I collagen hydrolysate on skin propertiesImprovement in the Moisture Content of the Stratum Corneum Following 4 Weeks of Collagen Hydrolysate Ingestion

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือคนจำนวนมากรวมถึงตัวเองนี่แหล่ะ ก็ยังคิดว่าคอลลาเจนที่เรากินเข้าไป มันต้องย่อยเป็นกรดอะมิโนก่อนที่จะดูดซึมได้ รูปแบบเปปไทด์ที่ย่อยมาจนเล็กมากแล้วก็แค่ทำให้เราย่อยต่อได้ง่ายแค่นั้น แต่ปรากฏว่ามันไม่เป็นแบบนั้นแฮะ จากข้อมูลพบว่าคอลลาเจนเปปไทด์บางรูปแบบไม่ได้ต้องย่อยเป็นกรดอะมิโนทั้งหมดเพื่อดูดซึม แต่คอลลาเจนเปปไทด์สายสั้นที่มีขนาดเล็กมากบางแบบก็สามารถถูกดูดซึมไปเข้าระบบได้เลย

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2005 พบว่าการรับประทาน Gelatin Hydrolysates จากหมูและไก่นั้น สามารถตรวจพบ  Free Hydroxyproline  และ Hydroxyproline Peptide ในพลาสม่าของกลุ่มผู้เข้าร่วมทดสอบ แม้การศึกษานี้จะมีข้อจำกัดตรงกลุ่มผู้ทดสอบจำนวนน้อยมาก แต่เป็นข้อมูลแรก ๆ ที่บ่งชี้ว่าเปปไทด์จากคอลลาเจนขนาดเล็กอย่าง Tripeptide Gly-Pro-Hyp สามารถดูดซึมเข้าไปได้โดยตรง การศึกษาในสัตว์ทดลองและในมนุษย์หลังจากนั้นก็พบข้อมูลที่สอดคล้องกัน

(Source : Identification of food-derived collagen peptides in human blood after oral ingestion of gelatin hydrolysates.Absorption and effectiveness of orally administered low molecular weight collagen hydrolysate in rats.Absorption and Urinary Excretion of Peptides after Collagen Tripeptide Ingestion in Humans.)

 

การศึกษาที่น่าสนใจที่ตีพิมพ์ในปี 2017 นั้นน่าสนใจตรงที่มีการทดสอบในมนุษย์ว่า การกินคอลลาเจนเปปไทด์ ที่มีขนาดใหญ่ 4500-5000 ดาลตัน (Low Tripeptide) เทียบกับ คอลลาเจนเปปไทด์โมเลกุลเล็ก 1500-1800 ดาลตัน (High Tripeptide) พบว่ากลุ่มที่กิน High Tripeptide มีการพีคขึ้นของเปปไทด์เฉพาะ Gly-Pro-Hyp ซึ่งตรงกันข้ามกับกลุ่มที่กิน Low Tripeptide ซึ่งแดงให้เห็นว่าร่างกายสามารถดูดซึม Tripeptide อย่าง Gly-Pro-Hyp ไปได้โดยตรง นอกเหนือจาก Collagen Dipeptide อย่าง Pro-Hyp ซึ่งมีความทนทานต่อเอนไซม์ Peptidase จนไม่ถูกย่อยและสามารถดูดซึมได้อยู่แล้ว

การทดสอบนี้ยังทำในหนูทดลองและตรวจพบว่าว่ามี Gly-Pro-Hyp กระจายอยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมถึงผิวหนังของหนูทดลองด้วย แต่มันจะไปฟังก์ชั่นอะไรพิเศษโดยตรงโดยที่ไม่ต้องถูกย่อยจนไปเป็น Dipeptide ก่อนหรือไม่นั้นยังต้องศึกษากันต่อไป แต่ไม่ว่าจะกินคอลลาเจนเปปไทด์ใหญ่เล็กนั้นมันมีการพีคขึ้นของ Dipeptide อย่าง Pro-Hyp ทั้งคู่

(Source : Oral Ingestion of Collagen Hydrolysate Leads to the Transportation of Highly Concentrated Gly-Pro-Hyp and Its Hydrolyzed Form of Pro-Hyp into the Bloodstream and Skin.)

นอกจากนี้แล้วเรามีข้อมูลอยู่ว่า Collagen Dipeptide อย่าง Pro-Hyp มีส่วนในการ Migration และการเจริญเติบโตของเซลล์  Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์สำคัญที่สร้าง Dermal Extracellular Matrix ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจน อีลาสติน และรวมไปถึง Hyaluronic Acid ซึ่งตัวหลังนี้เป็นโครงสร้างเจลที่ทำให้ผิวมีความดึ๋งดั๋งและชุ่มชื้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาที่ออกมาว่ากลุ่มที่กินอาหารเสริมคอลลาเจนเปปไทด์นั้นจะเห็นผลที่ดีขึ้นในแง่ของความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวที่ดีขึ้นเป็นหลัก

ทั้งหมดนี่คือข้อมูลเกี่ยวกับการกินคอลลาเจนเป็นอาหารเสริมที่เรามี ขาด ตก บกพร่อง มีอะไรผิดพลาดต้องแก้ไข หรือมีอะไรให้เพิ่มเติมสามารถชี้แนะกันได้ ส่วนใครจะมองว่ามันจำเป็นหรือไม่จำเป็นก็แล้วแต่ความเห็นของแต่ละคน คือคุณจะไปต้มหนังหมูกินแทนเพราะเชื่อว่ามันก็เหมือนกับการกินคอลลาเจนในอาหารเสริมที่ขายกันก็เอาที่สะดวก แต่ส่วนตัวเราเลือกกินอะไรที่มันง่ายกับชีวิตและคุมคุณภาพได้มากกว่า ตอนช็อตแล้วต้องประหยัดเงินไม่ค่อยมีก็ตัด ๆ อะไรที่เป็นหยุดกินไป ช่วงไหนล่ำซำฟู่ฟ่าก็กลับมากิน เอาแบบตัวเองไม่เดือดร้อน

ร่ายมาซะยาว แต่จำเป็น เพราะว่าเรื่องกินคอลลาเจนนี่เป็นประเด็นคันปากมานานละ (ฮา)

(Source : Effect of Prolyl-hydroxyproline (Pro-Hyp), a food-derived collagen peptide in human blood, on growth of fibroblasts from mouse skin.Collagen-derived dipeptide, proline-hydroxyproline, stimulates cell proliferation and hyaluronic acid synthesis in cultured human dermal fibroblasts.The presence of food-derived collagen peptides inhuman body-structure and biological activity)

SCOTCH : Collagen Plus

เราขอวกกลับมาที่คอลลาเจนตัวใหม่ที่เราได้ลอง นั่นก็คือ  SCOTCH Collagen Plus  บรรจุ 170 กรัม ราคาปกติ 1,200 บาท กินวันละ 1 ช้อนตวงก็จะได้เท่ากับ 30 วัน โดยในแต่ละ 1 ช้อนตวง จะประกอบไปด้วยส่วนผสมดังนี้โดยประมาณ

Fish Collagen Peptide 4,000 มิลลิกรัม

Fish Collagen Dipeptide 1,000 มิลลิกรัม

สารสกัดจาก Sea Buckthorn 70 มิลลกรัม

วิตามินซี 60 มิลลิกรัม

ทั้งหมดนี้กระจายตัวในเบสของผง Maltodextrin ซึ่งมักใช้เพิ่มปริมาณและทำให้การกระจายตัวเวลาละลายทำได้สะดวกขึ้น

ทาง SCOTCH เคลมว่าคอลลาเจนของเขานั้นมาจากญี่ปุ่น โดยระบุว่า Fish Collagen Dipeptide ของเขานั้นมีขนาดที่เล็กมากเพียง 200 ดาลตัน และมีปริมาณของคู่ Collagen Dipeptide อย่าง Pro-Hyp และ Hyp-Gly ที่โดดเด่น และมาจากซัพพลายเออร์อย่าง Nitta Gelatin

จากข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว เราได้เห็นแล้วแหล่ะว่าไดเปปไทด์อย่าง Pro-Hyp นั้นมีส่วนสำคัญในการ Migration และการเจริญเติบโตของเซลล์  Fibroblast และการกิน Collagen Peptide และ  Collagen Tripeptide ก็ตรวจพบ Collagen Dipeptide อย่าง Pro-Hyp ในพลาสม่า แต่การกิน Collagen Dipeptide อย่าง Pro-Hyp และ Hyp-Gly โดยตรงเข้าไปเลยจะให้ผลอย่างไร มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับการศึกษาด้านผิวพรรณบ้าง?

เราลองหาข้อมูลดูและก็พบว่าในปี 2015 มีการทดสอบในสัตว์ทดลองพบว่าการกิน Collagen Dipeptide Pro-Hyp (PO) และ Hyp-Gly (OG) อาจช่วยในเรื่องของการ Skin Barrier ได้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2016 ทำการทดสอบในมนุษย์ 85 คน เพศหญิงชาวจีน อายุระหว่าง 35-55 ปี และพบว่ากลุ่มที่กิน Collagen Dipeptide ที่มีสัดส่วนของ Pro-Hyp (PO) และ Hyp-Gly (OG) ที่สูง [H-CP] ปริมาณ 5 กรัมต่อวัน ลงในเครื่องดื่มอะไรก็ได้หลังอาหารเย็น เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าผิวมีความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น  ที่สูงขึ้น และมีริ้วรอยหยาบกร้านน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก Placebo และกลุ่ม [L-CP] ซึ่งกินคอลลาเจนเปปไทด์ที่มีสัดส่วนของ Pro-Hyp (PO) และ Hyp-Gly (OG) ต่ำ ฟังดูน่าสนใจแต่ก็ต้องโน๊ตเอาไว้ว่าบริษัท Nitta Gelatin เป็นผู้สนุนวัตถุดิบในการทำวิจัยด้วย

(Source : Oral collagen-derived dipeptides, prolyl-hydroxyproline and hydroxyprolyl-glycine, ameliorate skin barrier dysfunction and alter gene expression profiles in the skin.Ingestion of bioactive collagen hydrolysates enhance facial skin moisture and elasticity and reduce facial ageing signs in a randomised double-blind placebo-controlled clinical study.)

สารสกัดจากซีบัคธอร์น (Sea Buckthorn Extract) หรือ Hippophae Rhamnoides ซึ่งเป็นพืชยืนต้นที่อยู่กระจายในยุโรปและเอเชียตอนบน สามารถทนความความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี ผลจากต้น Sea Buckthorn มีสีเหลืองส้มสดใส สามารถกินได้และถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารของคนแถบนั้นมานานแล้ว

ผลของซีบัคธอร์นมีคุณค่าทางอาหารสูง มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 15 เท่า และยังประกอบไปด้วยวิตามินอีกหลายชนิด กับกรดอะมิโน รวมไปถึงสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ แคโรทีนอยด์ โพลีฟีนอล และไลโคปีน เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงในแถบอเมริกาและยุโรปเนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่สูงมากจนถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน Super Fruit เลยทีเดียว ทำให้มีการนำมาใช้ในวงการความงามกันอย่างแพร่หลาย เช่นเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมไปถึงมีการนำน้ำมันสกัดและสารสกัดจาก ซีบัคธอร์น (Sea Buckthorn Extract) มาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวอีกด้วย

ทว่าการศึกษาผลของการรับประทานซีบัคธอร์นเพื่อความงามของผิวนั้นมีอยู่ไม่มาก ส่วนตัวปูเป้หาเจออยู่อันเดียวคือเขาบอกว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ผสมคอลลาเจนกับสารสกัดของ ซีบัคธอร์น และ บลูเบอรี่ จะช่วยลดผลกระทบของรังสี UV ที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้ แถมยังลดการแสงออกของ MMP-1 และ MMP-9 (เอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายโครงสร้างโปรตีน ซึ่งในที่นี้คือพวกคอลลาเจนในผิว) และเพิ่มการทำงานของ Superoxide Dismutase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เป็นแอนติออกซิแดนท์ของเซลล์ตามธรรมชาติอีกด้วย แต่การศึกษานี้ทำในสัตว์ทดลอง ทำให้โดยรวมแล้วเราก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเท่าไหร่ว่ามันกินกับคนแล้วจะได้ผลขนาดไหน แต่ด้วยคุณค่าทางอาหารและสารประกอบที่มีคุณค่าในซีบัคธอร์นนั้นมีมากมาย ในอนาคตคงมีการศึกษาใหม่ ๆที่ทำให้เราได้รู้ถึงศักยภาพที่ผลไม้สีส้มนี้สามารถทำได้มากขึ้น

ส่วนวิตามินซี 60 mg ต่อหน่วยบริโภคที่ไม่ใช่ของเหลวก็ถือว่าชนเพดานสูงสุดของการเป็นผลิตภัณฑ์อาหารในไทยแล้ว วิตามินซีจำเป็นต่อการสังเคราะห์คอลลาเจน อันนี้ก็เป็นที่รู้กันดี ไม่ขอพูดอะไรมาก

(Source : Remedial Prospective of Hippophae rhamnoides Linn. (Sea Buckthorn)UV radiation-induced skin aging in hairless mice is effectively prevented by oral intake of sea buckthorn (Hippophae rhamnoides L.) fruit blend for 6 weeks through MMP suppression and increase of SOD activity.)

สิ่งที่เราชอบคือตัวฝาปิดที่ปิดได้ค่อนข้างสนิทดีหลังจากที่เปิดใช้ และใต้ฝาก็มีที่ล็อคช้อนตวงด้วย หยิบใช้สะดวก แถมยังมีที่ปาดช้อนตวงมาพร้อมตรงฝาทำให้การใช้แต่ละครั้งทำได้ง่าย ตัวผงคอลลาเจนบรรจุแยกมาในห่อฟอยล์ที่กันการสัมผัสแสงและอากาศ

SCOTCH Collagen Plus เป็นผงที่กระจายตัวได้ง่าย ปกติปูเป้จะผสมผงคอลลาเจนลงในชานมพม่าที่ตัวเองกินเป็นประจำทุกเช้า ตัวนี้ไม่มีปัญหาในเรื่องการจับเป็นก้อนเลย (คอลลาเจนแบบเก่า ๆ ที่เคยกินบางตัวจะมีปัญหาการจับเป็นก้อน  เวลาผสมแม้จะใช้น้ำร้อนก็ตาม เพื่อแก้ปัญหานี้ต้องเอาผงคอลลาเจนมาผสมกระจายในผงชานมพม่าก่อนค่อยเติมน้ำร้อนล่ะ)

สำหรับคำเคลมว่าผสมกับอะไรก็ได้โดยไม่ทำให้รสชาติอาหารและเครื่องดื่มเปลี่ยน อันนี้เราไม่เห็นด้วยซะทีเดียว อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นคนลิ้นไว จมูกไว (ตามประสาคนเป็นเชฟทำขนมมาก่อน) เราสัมผัสได้ว่าแม้รสในแว่บแรกอาจจะไม่ค่อยรู้สึก แต่มันมีกลิ่นที่สัมผัสท้ายหลงเหลือในปากโผล่ขึ้นมา ซึ่งเราพบว่าการใส่อะไรที่เป็นนม ๆ ลงไปจะช่วยกลบและทำให้รสชาติมันกลืนกันไปได้ อย่างชานมพม่าที่กินแค่ใส่นมข้นหวานลงไปเพิ่มก็ช่วยกลบไปได้เกือบมิดเลย ดังนั้นส่วนตัวเราจะแนะนำให้ผสมกับอะไรที่เป็นนม ๆ โยเกิร์ตน่าจะเวิร์คสุด แต่ผสมน้ำผลไม้อย่างน้ำส้มนั้นส่วนตัวเรารู้สึกว่าไม่ค่อยเข้ากัน (ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของคอลลาเจนผงอยู่แล้ว) เราไม่แนะนำเท่าไหร่ ถ้าผสมกับพวกสมูทตี้ปั่น ๆ อย่างพวกเบอรี่โยเกิร์ตก็ได้อยู่ อันนี้เราว่าแล้วแต่คนชอบ

เอาเป็นว่านี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคอลลาเจนทั้งหมดเท่าที่เรามีในตอนนี้ พวกเธออ่านแล้วก็ไปพิจารณาตัดสินใจกันเอาเองถึงความคุ้มค่า และความสะดวกที่แต่ละคนอาจจะชอบต่างกัน ส่วนตัวปูเป้ชอบแบบผงลักษณะนี้เพราะว่ามันไม่มีไขมันและไม่มีแคลอรี่ ไม่มีน้ำตาลจากส่วนที่เกินความจำเป็นจากตัวปรุงแต่งรสชาติ อีกรูปแบบที่ชอบคือพวกขวดพร้อมดื่ม หรือเยลลี่อร่อย ๆ ก็ชอบ

การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ นั้นต้องคำนึงถึงความพร้อมทั้งในแง่ของเงินทุนที่มีและข้อจำกัดเรื่องสุขภาพของตัวเอง นอกจากนี้การกินอะไรที่เป็นโปรตีนมากไปก็ไม่ดี อย่างช่วงที่ปูเป้ออกกำลังกายกินเวย์โปรตีนก็จะงดการกินคอลลาเจนไปเลย เพราะการมีโปรตีนโหลด การมีกรดอะมิโนในเลือดสูงไปก็เป็นภาระกับตับ-ไต กินอะไรพวกนี้จึงควรมีความเข้าใจและควรจะไปตรวจเลือดดูค่าตับด้วยนะ

หากใครที่สนใจ ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาและร้านเพื่อสุขภาพความงามทั่วไป รวมถึงผ่านเวปไซต์ shop.scotch.co.th ของเขาด้วยเด้อ