หลังจากช่วงที่ผ่านมาเห่อไปเยอะพอสมควรกับ ELIXIR ที่ในที่สุดก็กลับมาไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้ง  ปูเป้ก็จะมารีวิวผลิตภัณฑ์ที่ปูเป้เลือกทดลองใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์ นั่นก็คือ  Elixir : Design Time Serum ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นเหมือนเซรั่มที่ทุกคนใช้ได้ เพื่อทั้งชะลอการเกิดริ้วรอยรอย และเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างผิวชั้นนอกซึ่งจำเป็นต่อการคงผิวให้มีความอ่อนเยาว์สุขภาพดี และเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของเขาเลยล่ะ

สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับแบรนด์นี้ก็ขอเล่าคร่าว ๆ ว่า แบรนด์ ELIXIR (อิลิคเซอร์) เป็นสกินแคร์จากเครือชิเซโด้ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1983 และคว้าตำแหน่งสกินแคร์ยอดนิยมของญี่ปุ่นติดกัน 15 ปีซ้อนเลยทีเดียว ความนิยมอย่างล้นหลามนี้มาจากการที่เขาหยิบเทคโนโลยีเด่น ๆ จากแบรนด์ชั้นสูง เคาน์เตอร์แบรนด์ มาให้เราเลือกใช้ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า

โดย ELIXIR  เป็นแบรนด์ที่เน้นเรื่องการ Anti-Aging ลดเลือนริ้วรอยที่มีผลิตภัณฑ์หลัก ๆ 3 กลุ่ม สำหรับหลากช่วงวัยตั้งแต่ 20+  30+ 40+ เป็นต้นไป หัวใจสำคัญของแบรนด์คือการสร้างผิวแบบ TSUYADAMA Skin หรือ PEARLglow Skin จากการที่ผิวมีความชุ่มชื้น เรียบเนียน กระจ่างใส จนดูโกลว์เปล่งปลั่งแบบที่หลายคนใฝ่หา ซึ่งเป็นแนวคิดที่เข้าใจไม่ยากครับ

Product’s Formula


Elixir : Design Time Serum (40ml / 2,300 BAHT) ในแง่ของส่วนผสมนั้นจะเน้นไปส่วนผสมสำคัญหลัก ๆ 5 ชนิด โดยจากในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ปูเป้มีอยู่ในกลุ่มสีทอง มีเพียงเซรั่มตัวนี้เท่านั้นที่มีส่วนผสมของสารสกัด Iris Root Extract  กับ Cornflower Extract 

Iris Florentina Root Extract สารสกัดจากรากของต้นไอริสนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกในเซรั่มของ Ultimune รุ่นสองของ Shiseido เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ที่มาของสารสกัดตัวนี้นั้นมาจากการศึกษาเพื่ออธิบายกลไกเรื่องความเสื่อมชราของ Stem Cell ในชั้นผิวด้วยเทคนิคการตรวจจับที่ชิเซโด้พัฒนาขึ้นเอง และพบว่ารูปทรงของ Stem Cell ของผิวอย่างเซลล์ Fibroblast ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจน อีลาสติน ไฮยาลูโรนิคแอซิด และโมเลกุลที่สำคัญต่อโครงสร้างชั้นผิว ที่มีความอ่อนเยาว์นั้นจะมีรูปทรงแขนของเซลล์ (Dendrite) เหยียดยืด ต่างจากเซลล์ที่เสื่อมชราที่แขนของเซลล์เหล่านี้จะหดสั้นกว่า  เซลล์ที่ชรานี้ยังผลิตสารที่ส่งผลลบต่อเซลล์ที่ยังแข็งแรงอ่อนเยาว์อยู่ให้ผลิตเอนไซม์ที่ไปทำลายคอลลาเจนและโครงสร้างผิวให้มากขึ้น การผลิตคอลลาเจนและโมเลกุลที่สำคัญน้อยลง จนทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและสูญเสียความยืดหยุ่นเต่งตึง

การศึกษานี้ยังพบอีกว่า Stem Cell ที่อยู่รอบ ๆ ต่อมไขมัน (Sebaceus Gland) แม้จะมีปริมาณที่ลดลงตามวัย แต่ยังคงสภาพที่สมบูรณ์และมีอยู่กันอย่าหนาแน่นกว่าในผิวส่วนอื่น (นี่อาจเป็นอีกเหตุผลที่คนผิวมันดูแก่ช้ากว่าคนผิวแห้งก็เป็นได้) ต่อมไขมันขั้นผิวที่อยู่ใต้รูขุมขนจึงเป็นเหมือนแหล่งสำรอง (reservoirs) เซลล์ที่แข็งแรงและเป็นเป้าหมายสำคัญของเทคโนโลยีสกินแคร์ เพราะการส่งส่วนผสมสำคัญให้ลงไปในผิวชั้นที่ลึกได้โดยมีระยะทางที่สั้นที่สุด คือเอามันแทรกลงไปในรูขุมขนและส่งผ่านชั้นผิวในรูขุมขนที่อุดมไปด้วยต่อมไขมันนั่นเอง  การค้นพบนี้เผยความเข้าใจกลไกที่สำคัญของผิว และได้รับรางวัลชนะเลิศในงาน IFSCC Congress ซึ่งเป็นงานใหญ่ยักษ์ของวงการวิทยาศาสตร์ด้านผิวพรรณและความงาม เมื่อปี 2018 เลยล่ะ

ทางศูนย์วิจัยของชิเซโด้จึงเอาความเข้าใจที่ค้นพบใหม่นี้มาทำการสกรีนส่วนผสมและพบว่าสารสกัดจากรากต้นไอริสนั้นสามารถไปทำงานในส่วนนี้เพื่อไปทำให้เซลล์แข็งแรงไปลดผลกระทบจากเซลล์ที่เสื่อมชรา  ผลก็คือช่วยทำให้ผิดูอ่อนเยาว์ขึ้น ผิวทำงานในแบบที่ควรเป็น ซึ่งจะช่วยให้สารสำคัญอื่น ๆ ที่เราทาลงไปและจำเป็นต้องให้เซลล์ไปผลิตนั่นผลิตนี่ ทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง ส่วนผสมนี้ถูกจดสิทธิบัตรเอาไว้แล้วตามระเบียบ

Centaurea Cyanus Flower Extract หรือ Cornflower Extract ส่วนผสมตัวนี้มีข้อมูลว่าช่วยต้านการอักเสบได้ และทางชิเซโด้ได้จดสิทธิบัตรว่าสารชนิดนี้มีคุณสมบัติในการเสริมการสร้าง Collagen IV กับ Collagen VII และ Laminin 5 ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญของโครงสร้าง Basement Membrane นั่นเอง  ความแข็งแรงที่ชั้นฐานที่เชื่อมระหว่างผิวชั้นนอกกับผิวชั้นในนี้มีผลต่อความยืดหยุ่นของผิว รวมไปถึงคุณสมบัติในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและสารอาหารด้วย

นอกจากนี้ก็เป็นส่วนผสมที่หาได้ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ตัวอื่นของ ELIXIR กลุ่ม Anti-Aging สีทอง เช่น Nasturtium Officinale Leaf/Stem Extract หรือสารสกัดจาก Watercress เป็นอีกส่วนผสมที่เขาเคลมว่าช่วยเรื่องการเสริม Collagen III ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่สำคัญของผิวหนัง มีปริมาณมากในชั้น Papillar Dermis โดยการศึกษาของเครือชิเซโด้ได้พัฒนาเครื่องมือในการตรวจวัดและแสดงระดับความยืดหยุ่นของข้างใต้ผิวได้เป็นครั้งแรกของโลกและพบว่า ผิวตั้งแต่อายุ 30 ขึ้นไป จะเริ่มมีขาดความยืดหยุ่นในผิวชั้น Papillar Dermis ซึ่งอยู่ใต้ชั้น Basement Membrane ความยืดหยุ่นที่ลดลงนี้นี้สัมพันธ์กับปริมาณ Collagen III ที่น้อยลง

Saccharomyces Ferment Lysate Filtrate มีข้อมูลจากสิทธิบัตรชี้ว่านี่คือส่วนผสมที่มีชื่อทางการค้าว่า Biodyne® EMPP เป็นส่วนผสมที่ถูกกระจายใช้ในสกินแคร์ของเครือชิเซโด้มากขึ้น เนื่องจากเขาศึกษาและให้ข้อมูลว่าส่วนผสมนี้นอกจากจะช่วยปรับสมดุลของ Microbiota บนผิวแล้ว ยังมีข้อมูลชี้ว่าช่วยเสริมความยืดหยุ่นของผิวผ่านกลไก integrin-α5 ที่ช่วยให้โครงข่ายเส้นเลือดฝอยใต้ผิวมีความแน่น และเสริมการสร้างคอลลาเจนได้ด้วย

Inositol หรือ Vitamin B8 เป็นส่วนผสมสำคัญที่ทางเครือชิเซโด้ได้จดสิทธิบัตรเอาไว้ว่ามีคุณสมบัติในการกระตุ้น Platelet-Derived Growth Factor-BB (PDGF-BB) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยควบคุม การเคลื่อนตัว และการแบ่งตัวของ Mesenchymal Stem Cells ซึ่งสามารถพัฒนาตัวไปเป็นเซลล์หลายชนิดได้ รวมไปถึงเซลล์อย่าง fibroblasts จึงเคลมถึงคุณสมบัติในการเสริมการฟื้นฟูตัวเองของผิว และลดเลือนริ้วรอยได้  ในเอกสารยังระบุด้วยว่าเมื่อ Inositol ผสมเข้ากับ Saccharomyces Ferment Lysate Filtrate  จะยิ่งมีประสิทธิภาพที่มากขึ้นในการเสริม PDGF-BB

ส่วน Soluble Collagen นั้น สารคอลลาเจนในสกินแคร์มีขนาดใหญ่ และไม่สามารถซึมไปเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในผิวได้ แต่มีคุณสมบัติพื้นฐานเป็นส่วนผสมเติมความชุ่มชื้นครับ และการใส่มาก็มีประโยชน์ให้แบรนด์สามารถพูดถึงส่วนผสมที่มีคอลลาเจนในชื่อผลิตภัณฑ์หรือในเคลมทางการตลาดได้ 

โดยรวมในแง่ของสารบำรุงหลักจะเน้นไปที่การเสริมความยืดหยุ่นของผิว ผ่านการเสริมคอลลาเจนหลายชนิดที่จำเป็นกับผิวในชั้นต่าง ๆ กัน  และถ้าให้มองจากข้อมูลที่หามา ส่วนผสมหลักในนี้น่าจะเห็นผลและตอบโจทย์คนวัย 30+ แต่คนอายุน้อยกว่านี้จะใช้ก็ได้เหมือนกันครับ

Ingredients : Water, Butylene Glycol, Dipropylene Glycol, Alcohol, Glycerin, Dimethicone, Pantaerythrityl Tetraethylhexanoate, PEG-32, PEG-6, Beheneth-20, Copernicia Carffera Wax, Phenoxyethanol, Diisostearyl Malate, PEG-20 Glyceryl Isostearate, PEG-400, Carbomer, PEG-10 Dimethicone, PEG/PPG-14/7 Dimethyl Ether, Xanthan Gum, Sodium Polyacrylate, Potassium Hydroxide, Acrylates/C 10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer, Disodium EDTA, Inositol, Fragrance, Centaurea Cyanus Flower Extract, Iris Florentina Root Extract, Rosmarinus Officinalis Leaf Oil, Tocopherol, Saccharomyces Ferment Lysate Filtrate, Nasturtium Officinale Leaf/Stem Extract, Soluble Collagen, Limonene.

Usage & Result

เซรั่มตัวนี้มีเนื้อที่ค่อนข้างเบา เนื้อหยุ่น ๆ กลืนกับผิวได้ง่าย มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แต่ก็เซ็ทตัวแบบให้ผิวมีความชุ่มชื้นพอประมาณ ลงสกินแคร์ในขั้นต่อไปได้ไม่ยาก มีส่วนผสมของน้ำหอมซึ่งกลิ่นค่อนข้างเบาและกลิ่นติดไม่ทน ดังนั้นในแง่ของ sensory ประสบการณ์ในการใช้งานปูเป้ไม่ติดอะไรเลยครับ ใช้ได้สบายมาก ส่วนนี้ให้ผ่านสบาย ๆ

สำหรับผลในการใช้นั้นปูเป้ทดลองเป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยแทนเซรั่มตัวที่ลองก่อนหน้า และคงใช้สกินแคร์อื่น ๆ แบบเดิม  มีเพิ่มคือกำลังลอยครีมทารอบดวงตาตัวใหม่ครับ ซึ่งผลก็ออกมาเป็นดังรูปด้านล่างหน้า


ในเรื่องริ้วรอยที่มองเห็นได้ยังไม่เห็นความแตกต่างกันนัก เรื่องความยืดหยุ่นกระชับปูเป้ก็ไม่มีเครื่องมือในการตรวจอันนี้ก็คงยังบอกไมไ่ด้ชัดเจน แต่ที่เห็นได้ชัดคือโทนผิวและเนื้อผิวมีความโกลว์ใสขึ้น โทนแดงของผิวลดลง


ในเรื่องของรูขุมขนโดยเฉพาะตรงจมูกก็จะยังไม่เห็นอะไรที่แตกต่างชัดเจน แต่เรื่องโทนผิวและความใสนั้นดีขึ้นจริง ๆ  โดยรวมปูเป้คิดว่าการที่โทนผิวดูดีขึ้น มีความใสขึ้น สำหรับก็น่าจะทำให้ผิวดูโกลว์ตามที่ทางแบรนด์ตั้งคอนเซปต์ไว้นั่นเอง

Conclusion

 

โดยรวมแล้ว Elixir : Design Time Serum เป็นเซรั่มอีกตัวนึงที่สำหรับปูเป้ในวัย 40 ลองใช้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ก็ช่วยให้ผิวมีโทนผิวที่สวยขึ้น เนื้อผิวดูใสขึ้น แม้จะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่เคลมว่าเป็นไบร์เทนนิ่ง และก็ไม่มีส่วนผสมเหล่านั้น นั่นอาจเป็นเพราะโทนผิวที่หมองลงในวัยที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากความเสื่อมคล้ำของโปรตีนในโครงสร้างชั้นผิว และการไหลเวียนใต้ผิวที่ด้อยประสิทธิภาพลง ซึ่งน่าจะไปตรงกับกลไกการทำงานหลัก ๆ ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้พอดีล่ะ   ส่วนในระยะยาวกว่านี้จะได้ผลอย่างไรก็ต้องลองใช้กันอย่างต่อเนื่องไปยาวๆ ดูครับ

แม้ว่าผลที่ได้ปูเป้จะค่อนข้างพอใจ แต่ก็มองว่าเซรั่มตัวนี้ยังสามารถยัดอะไรมาเพิ่มได้อีกหลายตัว คือถ้ามองในแง่ของผู้ซื้อเราก็อยากได้เซรั่มที่อัดเทคโนโลยีมาเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องใช้อะไรหลายตัว  แต่ถ้ามองในแง่ของแบรนด์แล้ว เขาก็เลือกแอคทีฟหลักที่ล้ำและพบเจอได้แต่ในแบรนด์ชั้นสูงในเครือมาใส่ถึง 2 ชนิด ก็น่าจะเป็นเรื่องของการกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้แบรนด์สามารถขยายต่อไปได้ แต่ในแง่ของการให้คะแนนก็ขออิงจากความรู้สึกของคนซื้อเป็นหลัก ดังนั้นก็จะหักตรงนี้ไปหน่อย

แบรนด์นี้ยังมีผลิตภัณฑ์อีกหลายตัวที่น่าสนใจอีกหลายตัวเลยทีเดียว โดยเฉพาะกันแดด Elixir : Daily Brightening UV Protector SPF50+ PA++++  (35ml / 1,300 BAHT) ที่เนื้อดีม๊ากกกก  เป็นตัวโปรดที่ใช้บ่อยสุดในช่วงนี้เลย อยากแนะนำให้ลองกัน แต่ใครที่อยากจะลองไปปาด ๆ ดูก่อนค่อยตัดสินใจอาจจะต้องรอการเปิดตัวของเคาน์เตอร์นะครับ ไปติดตามอัพเดทข่าวสารกันที่ทาง Facebook : Elixir Thailand ได้เลย แต่ใครที่สนใจ อยากลอง หรือเคยใช้อยู่แล้ว สำหรับช่องทางในการจำหน่าย ตอนนี้ก็มีในช่องออนไลน์อย่างเป็นทางการใน Central Online และใน Lazada : Elixir Flagship Store

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

***Sponsored Item***

Elixir : Design Time Serum 
Price : 40ml / 2,300 BAHT
Skin Type : All Skin Type
Outstanding : Clarity / Anti-Aging / Lightweight Hydration

Elixir : Design Time Serum 
FORMULA
GENTLENESS
SENSORY
RESULT
PUPE LOVE IT
PROS
  • ส่วผนสมหลักเป็นเทคโนโลยีที่ทางชิเซโด้ค้นพบใหม่และจดสิทธิบัตรแล้ว
  • เนื้อบางเบา กลิ่นไม่แรง ใช้ได้กับทุกสภาพผิว
  • ส่วนตัวใช้แล้วพบว่าโทนผิวและความใสของผิวดีขึ้น
CONS
  • มีส่วนผสมของน้ำหอม
  • ส่วนผสมหลักยังมีเพียงข้อมูลจากผู้ผลิต
3.9Overall Score

Related Posts