หลังจากที่ได้เกริ่นไปแล้วในบทความก่อน คราวนี้ก็ได้ฤกษ์รีวิวผลิตภัณฑ์ใหม่ Estée Lauder : Advanced Night Repair Eye Concentrate Matrix Synchronized Multi-Recovery Complex สูตรใหม่ ซึ่งหน้าตาดูเผิน ๆ อาจจะคล้ายตัวเดิม แต่ถ้าเอามาเทียบกันแล้วต่างกันหลายอย่างนะจ๊ะ
สูตรใหม่นี้นอกจากจะมีแพคเกจที่โฉบเฉี่ยวขึ้น มาพร้อมกับ Applicator ใหม่ไฉไลกว่าเดิม (อย่างมาก) ก็เปิดตัวมานำเสนอแนวคิดว่า Micromovement หรือการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อขนาดเล็กแต่ต้องเคลื่อนไหวถี่ ๆ และยาวนานในแต่ละวันอย่างการกระพริบตาจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดริ้วรอยได้หรือไม่? และจะมีวิธีช่วยลดผลกระทบนี้ได้อย่างไร?
การทดสอบสมมุติฐานนี้ต้องอาศัยการสร้างแบบจำลองการกระพริบตาซึ่งเป็นการใช้ศาสตร์ของ Mechanobiology (ใครที่สนใจว่ามันคืออะไร จิ้มไปอ่านบทความในบล็อก Estée Lauder : Science & Innovation for Beauty Community ได้นะครับ) เพื่อตรวจดูว่ามีการแสดงออกของยีนหรือตัวชี้วัดที่ก่อให้เกิดริ้วรอยหรือไม่อย่างไร สิ่งที่น่าสนใจคือผลการทดสอบกับเซลล์ผิวที่มีช่วงอายุต่างกันไม่ว่าจะเป็น 19 ปี กับ 42 ปี และ 62 ปี เมื่อเทียบกับตัวควบคุมที่ไม่มีการเคลื่อนไหว
ผลออกมาก็น่าจะเหมือนกับที่เราคิดไว้คือเซลล์ของคนที่มีอายุน้อยจะสามารถปรับสภาพให้รับกับแรงเครียดที่กระทำได้มากกว่าเซลล์ของคนที่มีอายุมาก การเคลื่อนไหวยิ่งมากยิ่งกระตุ้นการอักเสบของเซลล์ (IL-8) ลดจำนวนของเซลล์ และลดปริมาณของคอลลาเจนลง ซึ่งทำให้ผิวรอบดวงตาที่บอบบางอยู่แล้วสามารถบางและระคายเคืองง่ายขึ้นไปอีก
สิ่งที่น่าสนใจคือ ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้แค่ส่งผลกระทบกับเซลล์ของคนที่มีอายุมาก แต่ยังส่งผลกับเซลล์ของคนอายุน้อยด้วย ดังนั้นพฤติรรมของเราที่จ้องจอคอมพิวเตอร์ สมาร์โฟนนานเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ใช้สายตาเยอะ พักผ่อนน้อย จนเกิดการใช้สายตาและต้องกระพริบตาในจำนวนครั้งที่มากขึ้นในแต่ละวัน เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวรอบดวงตาที่บอบบางลงในทุกช่วงวัย แม้แต่ในเซลล์ของวัยรุ่นอายุ 19 ปีก็ตาม
เมื่อดูไปทีระดับการแสดงออกของยีน อย่าง MicroRNA 146a (MiR-146a) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจน การแบ่งตัวของเซลล์ และกลไกการอักเสบของเซลล์ ที่เดิมเขาพบว่ามันแสดงออกน้อยลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้เขาก็พบว่าการกระพริบตายิ่งมากในแต่ละวันจะลดการแสดงออกของยีน MiR-146a ด้วยเช่นกัน
ปูเป้คิดว่าข้อมูลพวกนี้น่าสนใจ แต่นี่เป็นการศึกษาจากผู้ผลิตเอง ส่วนตัวก็อยากให้มีการตีพิมพ์เป็นงานวิจัยออกมาด้วยเพราะจะได้อ่านข้อมูลที่มีรายละเอียดมากขึ้น และรอดูว่าจะมีการศึกษาอื่นมาสนับสนุนมากกว่านี้หรือไม่ด้วยแหล่ะ
ผลิตภัณฑ์ Estée Lauder : Advanced Night Repair Eye Concentrate Matrix Synchronized Multi-Recovery Complex (15ml / 3,200 BAHT) ตัวใหม่จึงมีการใช้ส่วนผสมที่มีชื่อว่า Adansonia Digitata Seed Extract หรือสารสกัดจากเมล็ดต้น Baobab นั้นถูกนำมาใช้เป็น MiR-146a Activator ซึ่งทางแบรนด์ระบุว่าการทดสอบในเซลล์ทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดตัวนี้ไม่ได้แค่ช่วยลดผลกระทบ Micromovement จากการกระพริบตา แต่ยังกระตุ้นการแสดงออกของ MiR-146a รวมไปถึงกระตุ้นคอลลาเจนได้สูงกว่าตัวควบคุมด้วย
นอกจากสารสกัดใหม่ที่ว่ามานี้แล้ว ยังคงมีส่วนผสมที่คุ้นเคยในสูตรก่อนหน้า อย่าง Tripeptide-32 ซึ่งเคลมเรื่องโปรตีน Period Gene ในการช่วยให้นาฬิกาชีวภาพของผิวมีการทำงานอย่างสอดประสานกันอย่างที่ควรจะเป็น และเป็นหัวใจสำคัญของ ANR มาหลายยุค กับ Yeast Extract เป็น Autophagy Activator และ Hydrolyzed Algin เป็น Proteosome Activator ซึ่งมีการเคลมเอาไว้ว่าช่วยเสริมการขจัดสิ่งที่เซลล์ไม่ต้องการออกไปเพื่อให้เซลล์ทำงานได้ตามปกติ โดยทางแบรนด์เรียกสารประกอบเชิงซ้อนอันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของเขาว่า Chronolux™ Power Signal ซึ่งถูกใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถไปอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเทคโนโลยีตัวนี้แบบละเอียดได้ในรีวิวผลิตภัณฑ์ Estee Lauder : Advanced Night Repair Synchronized Multi-Recovery Complex จ้า
ที่เหลือจะเป็นส่วยผสมที่เคยมีอยู่ในสูตรเดิมครับ ที่ต่างไปคือมีการปรับเพิ่มความเข้มข้นของ Bifida Ferment Lysate เข้ามาเป็นส่วนผสมลำดับต้น ๆ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเข้มส่วนผสมตัวนี้ช่วยเสริม skin barrier ให้แข็งแรงร่วมไปกับสารประกอบเชิงซ้อนอย่าง Cucumis Sativus (Cucumber) Fruit Extract กับ Hordeum Vulgare (Barley) Extract และ Helianthus Annuus (Sunflower) Seedcake ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Phytofix ตัวนี้เป็นการสกัดเอาสารที่คล้ายกับชั้นลิพิดของชั้นปราการปกป้องผิวตามธรรมชาติ และยังมีส่วนผสม Phytosphingosine ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในชั้นผิวอีกด้วย
ส่วนผสมของสารบำรุงอื่น ๆ จะเน้นไปที่และการลดการอักเสบและการระคายเคือง กับการเสริมความชุ่มชื้นครับ โดยตัวที่ช่วยต้านการอักเสบและการระคายเคืองที่เด่น ๆ ก็จะมี Anthemis Nobilis (Chamomile) Flower Extract กับ Poria Cocos Sclerotium Extract และ Scutellaria Baicalensis Root Extract นอกนั้นก็เป็นส่วนผสมที่เน้นเติมความชุ่มชื้นอย่าง Sodium Hyaluronate ซึ่งเคลมว่ามีหลายขนาดจึงให้ความชุ่มชื้นกับผิวในหลายระดับ ร่วมกับสารกลุ่ม Humectant อย่าง Sucrose กับ Trehalose และ Hydroxyethyl Urea เป็นต้น
ส่วนผสมที่ถูกตัดไปจากสูตรเดิมมีแค่ Garcinia Mangostana Peel Extract เท่านั้นเอง โดยรวมจึงเป็นการอัพเกรดแบบ minor-change ในแง่ของส่วนผสมครับ
Ingredients : Water\Aqua\Eau, Dimethicone, Bifida Ferment Lysate, Isohexadecane, Glycerin, Butylene Glycol, Bis-PEG-18 Methyl Ether Dimethyl Silane, PEG-10 Dimethicone, Disteardimonium Hectorite, Isopropyl Isostearate, PPG-15 Stearyl Ether, Sucrose, Trehalose, Adansonia Digitata Seed Extract, Tripeptide-32, Yeast Extract\Faex\Extrait De Levure, Sodium Hyaluronate, Lactobacillus Ferment, Algae Extract, Sodium RNA, Hydrolyzed Algin, Caffeine, Hydroxyethyl Urea, Aminopropyl Ascorbyl Phosphate, Cucumis Sativus (Cucumber) Fruit Extract, Anthemis Nobilis (Chamomile) Flower Extract, Hordeum Vulgare (Barley) Extract\Extrait D’Orge, Silybum Marianum (Lady’S Thistle) Extract, Glycine Soja (Soybean) Seed Extract, Camelina Sativa Seed Oil, Sorbitol, Betula Alba (Birch) Extract, Scutellaria Baicalensis Root Extract, Morus Bombycis (Mulberry) Root Extract, Poria Cocos Sclerotium Extract, Tocopheryl Acetate, Propylene Glycol Dicaprate, Sodium Polyaspartate, Hydrogenated Lecithin, Phytosphingosine, Ethylhexylglycerin, Polysilicone-11, Isododecane, Helianthus Annuus (Sunflower) Seed Extract, Polyethylene, Propylene Carbonate, Polyacrylate Crosspolymer-6, Lecithin, Glucose, Fructose, T-Butyl Alcohol, Disodium EDTA, BHT, Hydroxyacetophenone, Sodium Dehydroacetate, Potassium Sorbate, Phenoxyethanol, Iron Oxides (Ci 77491) <ILN49006>
เนื้อผลิตภัณฑ์จะมีความฟู ๆ นุ่ม ๆ โดยสูตรเก่าและสูตรใหม่ดูไม่แตกต่างกันครับ เนื้อผลิตภัณฑ์จะมีเทคโนโลยี 360° Mesh Matrix ซึ่งจากการสืบค้นข้อมูลพบว่าเป็นสิทธิบัตรที่ทาง Estee Lauder ทำการจดเอาไว้ โดยมีรายละเอียดคือการใช้สัดส่วนของ Sodium Hyaluronate แบบ High Molecular Weight และ Low Molecular Weight ร่วมกับโพลีเมอร์ Polyacrylate Crosspolymer-6 และ โพลีอะมิโนแอซิด Sodium Polyaspartateในสัดส่วนที่กำหนด จะสร้างโครงข่ายโพลีเมอร์ Micro-Mesh Hydrogel ซึ่งช่วยให้ผิวชั้นนอกมีความหนาตัวมากกว่าและมีความชุ่มชื้นที่สูงกว่า ซึ่งบ่งชี้ถึงคุณสมบัติในการทำให้ผิวอิ่มฟูได้ในทันทีหลังจากการใช้
ทางแบรนด์ยังเคลมว่าเทคโนโลยีนี้ยังเป็นเหมือนเบาะนุ่ม ๆ ที่ช่วยลดแรงเสียดสีเวลาที่เรากระพริบตา จึงช่วยลดการระคายเคืองและชะลอการเกิดร้ิวรอยได้อีกทางนึง ซึ่งส่วนตัวรู้สึกเนื้อผลิตภัณฑ์ตัวนี้ทำมาค่อนข้างถูกใจ เพราะให้ความชุ่มชื้นได้มากพอแต่ไม่เข้มข้นจนเกินไป
สิ่งที่เป็น Major Change เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงคือ Applicator ทำจากสแตนเลส ที่เรียกว่า Cryo-Steel Wand ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Cryogenic Wand อันเป็นสิทธิบัตรของเครือ Estée Lauder อยู่แล้ว ความโดดเด่นคือโครงสร้างที่มีตัวดูดซับความร้อน (Heat-Sink) เป็นแกนกลางจึงทำให้ Cryo-Steel Wand อันนี้สามารถลดอุณหภูมิของผิวได้ 2 องศาในขณะใช้ โดยตัวพื้นผิวชั้นนอก Applicator ยังคงความรู้สึกเย็นขณะใช้งานได้นานถึง 5 นาที มันดีกว่ารุ่นเก่าที่ใช้ Applicator พลาสติกอย่างมาก
Cryo-Steel Wand ใช้เป็นตัวตักเนื้อผลิตภัณฑ์และลูบไล้เพื่อลดอาการบวม และช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณรอบดวงตาได้เป็นอย่างดี โดยใช้การลูบเบา ๆ จากหัวตาออกไปหางตา การกดจุดเบา ๆ รอบแนวกระดูเบ้าตาเพื่อช่วยกระตุ้นการเดรนของเสียก็รู้สึกดีครับ จะช่วยลดความบวมของบริเวณเปลือกตาได้ด้วย หลังจากนั้นค่อยใช้ปลายนิ้วนางแตะเกลี่ยผลิตภัณฑ์ก็เป็นที่เรียบร้อย นอกจากรอบดวงตาแล้ว เจ้า Applicator นี้ก็ใช้นวดเพื่อผ่อนคลายบริเวณพวกร่องริ้วรอยได้ครับ
ปูเป้มีการถ่ายรูปก่อนที่จะลองใช้ผลิตภัณฑ์ และหลังการใช้งานมาระยะนึง ซึ่งในช่วงหลังที่มีคำสั่งปิดยิมเป็นต้นมา ทุกคนคงจะเห็นว่าพังพินาศขนาดไหน เพราะตี 4 หรือตี 5 ยังเห็นปูเป้อัพเฟสบุ๊คอยู่เลย เรื่องใช้สายตามาก พักผ่อนน้อย นอนไม่เป็นเวลา ใช้ชีวิตเละเทะขนาดนี้แต่ตายังไม่แพนด้า ไม่แห้งเหี่ยวหนักกว่าเดิม ยังสามารถประคองสภาพเอาไว้ได้ส่วนตัวถือว่าก็น่าพอใจแล้วครับ
*note* ปูเป้เผลอบันทึก White Balance ทับพรีเซ็ทเดิมที่ตั้งเอาไว้ครับ พยายาม custom ใหม่แล้วแต่ก็ยังไม่เหมือนเป๊ะ จึงทำให้โทนสีของรูปก่อนและหลังจะมีต่างกันนิดนึง แต่ทั้งสองรูปถ่ายในสถานที่และสภาพแสงเดียวกันครับ ต้องขออภัยทุกคนด้วย แต่ยังสามารถดูรายละเอียดของพื้นผิว ความเรียบเนียนของผิวได้ครับ
นอกจากนี้แล้วถ้าใช้ผลิตภัณฑ์หมดแล้ว เราก็เก็บ Applicator เอาไว้ ไม่ต้องทิ้งนะ สามารถเอามาใช้กดจุดหรือลูบเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับรอบดวงตาเราได้ตลอดตามที่ต้องการ หรือเอาไว้ใช้ทาอายครีมตัวอื่นที่เรามีก็ได้ครับ
โดยสรุปแล้ว Estée Lauder : Advanced Night Repair Eye Concentrate Matrix Synchronized Multi-Recovery Complex เป็นการอัพเกรดที่ปูเป้ว่าคุ้มค่ากับค่าตัวที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย ได้ส่วนผสมที่มีสารบำรุงมากขึ้น เข้มข้นขึ้น และได้ Applicator คุณภาพสูงที่ใช้ดีมาก แถมยังเก็บเอาไว้ใช้ต่อได้อีกเรื่อย ๆ
จากประสบการณ์ในการใช้นั้นพบว่าเนื้อผลิตภัณฑ์แม้จะดูบาง ๆ แต่ว่าให้ความชุ่มชื้นและคลุมผิวละการเสียดสีได้ดี และช่วยประคองสภาพผิวรอบดวงตาจากการใช้ชีวิตที่พักผ่อนน้อย ใช้สายตาเยอะได้
เรื่องที่จะติจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรจะให้ตินะ แค่รู้สึกว่า Applicator เนี่ยเวลาที่เราควักผลิตภัณฑ์ออกมาแต่ละครั้งมันไม่เท่ากัน บางทีออกมาเยอะจนแฉะเกินไป โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ที่เปิดใช้ แต่โดยรวมแล้วปูเป้แฮปปี้กับผลิตภัณฑ์ครับ
สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง
***Sponsored Item***
Estée Lauder : Advanced Night Repair Eye Concentrate Matrix Synchronized Multi-Recovery Complex
Price : 15ml / 3,200 BAHT
Skin Type : All Skin Type
Outstanding : Barrier Repair / Antioxidant / Anti-Aging / Hydration
- ส่วนผสมของสารบำรุงที่อัดแน่นแบะให้ประโยชน์ที่หลากหลาย ปราศจากน้ำหอม
- เนื้อไม่หนักไปแต่ไม่เบาเกิน ให้ความชุ่มชื้นได้ดี ประคองผิวรอบดวงตาให้มีสภาพดีได้แม้จะใช้ชีวิตเละเทะพอสมควร
- Applicator แบบใหม่ใช้ดีมาก ๆ ๆ ๆ
- ข้อมูลบางส่วนมาจากผู้ผลิต ยังไม่มีการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ