ถ้าถามปูเป้ว่า สกินแคร์ตัวไหนของ ÍPSA ที่ปูเป้ชอบมากที่สุด คนที่ติดตามกันมานานก็จะต้องรู้ว่า ME ULTIMATE สูตรเก่าคือตัวที่ปูเป้พูดถึงบ่อยมากที่สุด และส่วนตัวก็เฝ้ารอดูว่าเขาจะปรับปรุงสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นที่สุด (Ultimate) ของตัวเองออกมายังไงบ้าง

ซึ่งสูตรใหม่นี้ก็เป็นไปตามที่คาดไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเนื้อผลิตภัณฑ์เป็น 4 ระดับ (จากเดิม 3) และการหยิบคอนเซปต์เรื่องออกซิเจนในผิวที่พึ่งนำออกมาใช้ในปีก่อน โดยคงส่วนผสมสำคัญของสูตรเดิมที่ทำให้เราชอบสิ่งนี้มาก เพราะมอบผิวคุณภาพดี กระจ่างใส และยืดหยุ่น แถมใช้ง่าย และไม่มีน้ำหอมอีกด้วย

ปูเป้เชื่อว่าคนที่เป็นแฟนของสูตรเก่าอยู่แล้ว คงไม่รีรอที่จะลองสูตรใหม่อย่างแน่นอน  แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคยลองใช้ หรือไม่รู้จัก ÍPSA มาก่อน ปูเป้อยากแนะนำให้รู้จักว่ามันเลิศยังไง

ทำความรู้จัก ÍPSA และ ME กันสักหน่อย

ÍPSA (อิปซ่า) ถือกำเนิดมาในปี 1987 ด้วยแนวคิดของสกินแคร์ที่เรียบง่ายและสามารถปรับแต่ง (Customize) ตามความต้องการของผิวที่แตกต่างเฉพาะบุคคล ซึ่งปัจจุบัน Customized Skincare เป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความสนใจและนิยมกัน จึงถือได้ว่า ÍPSA เป็นแบรนด์ที่มีแนวคิดล้ำยุคอย่างมาก โดยผลิตภัณฑ์ที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับแบรนด์และยังคงพัฒนามาจนถึงปัจจุบันก็คือ Metabolizer หรือปัจจุบันเรียกย่อ ๆ ว่า ME (อ่านว่า เอ็ม-อี) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามรูปด้านล่างนี้

IPSA : ME ULTIMATE e นั้นเป็นสูตรใหม่ของตัวท็อปสุดในกลุ่ม ME ซึ่งย่อมาจากคำว่า Metabolizer ซึ่งสื่อว่าเป็นตัวเสริมกระบวนการ Metabolism (เมตาบอลิซึ่ม) หรือกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตเพื่อให้ร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ ไม่ว่าจะการสร้างพลังงานของเซลล์เคราติโนไซต์ในผิวชั้นนอก การแบ่งเซลล์ การสังเคราะห์โปรตีนคอลลาเจน อีลาสติน การสังเคราะห์ไขมัน เซราไมด์ การเปลี่ยนสภาพของโมเลกุลให้ความชุ่มชื้นของผิวตามธรรมชาติ ล้วนเป็นกระบวนการทางเคมี และจัดเป็น Metabolism ทั้งสิ้น

Product’s Formula

ในสูตรใหม่ของ IPSA : ME ULTIMATE e (50ml / 3,700 THB )นั้นได้อัพเกรดส่วนผสมใหม่และปรับการสื่อสารเกี่ยวกับการทำงานของส่วนผสมที่ยังคงจากสูตรเดิมให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเน้นไปที่การทำงานอย่างเป็นระบบของ 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ออกซิเจนในผิว (ใหม่) + การแสดงออกของยีนที่ผลิตโปรตีนสำคัญ (อัพเกรด) + กรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีน ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้จะมีอยู่ใน ทั้ง 4 สูตรย่อยให้เลือกใช้ตามระดับน้ำมันบนผิว

 

Belamcanda Chinensis Root Extract หรือ Blackberry Lily Extract คือส่วนผสมใหม่ซึ่งเคลมว่าเสริมการทำงาน ให้เซลล์สามารถดูดซับออกซิเจนเข้ามาได้มากขึ้น และจากที่เคยได้กล่าวไว้ในรีวิวของ IPSA : Metabolizer 9th Generation แล้วว่า  ออกซิเจนคือหัวใจสำคัญในกระบวนการสันดาปผลิตพลังงานของเซลล์

แต่การศึกษาพบว่าการดูดซับออกซิเจนของเซลล์นั้นลดน้อยถอยลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น การทำงาน การซ่อมแซม และการผลิตโมเลกุลที่สำคัญจึงน้อยลง และเมื่อเซลล์อิ่มด้วยออกซิเจนจึงสันดาปพลังงานได้มากขึ้นซึ่งนำไปใช้ในกระบวนการทำงานตามปกติของเซลล์ จึงช่วยเสริมการทำงานของส่วนผสมบำรุงผิวอื่น ๆ ในสูตรให้ดีขึ้นได้นั่นเอง

แบรนด์เคลมถึงคุณสมบัติของ GN3 ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อน 3 ชนิดในการเสริมการแสดงออกของยีน (Gene Expression) ซึ่งเป็นแนวคิดของ Epigenetics ที่สภาพแวดล้อมนั้นส่งผลต่อการ เปิดปิด สวิตช์ของยีน การสั่งงานของยีนจะทำการคัดลอกรหัสพันธุกรรมของ DNA ออกมาเป็น RNA ที่เปรียบเสมือนชุดคำสั่งเพื่อไปผลิตโมเลกุลต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์หรือ ไม่ว่าจะในแง่ของการสื่อสารระหว่างกัน หรือเป็นโครงสร้างต่าง ๆ ของผิว

 

Retinyl Acetate หรือ Retinol Aceteate เป็นส่วนผสมที่เพิ่มเข้ามาในสูตรใหม่เพื่อช่วยให้ผิวสุขภาพดีด้วยการเสริมการพัฒนาตัวของเซลล์เคราติน ผ่านกลไกการกระตุ้นการสร้างคอเลสเตอรอลในผิวชั้นนอก

 

ทางเครือชิเซโด้ได้ทำการศึกษาและพบว่าทรีตเมนต์ W-PPR (Platelet Rich Plasma) ที่นำเลือดของคนไข้ไปปั่นเป็นสารสกัดพลาสม่าที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้นสูงและฉีดกลับเข้าไปในร่างกายของเจ้าของเลือดเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูการบาดเจ็บหรือแม้แต่เพื่อลดเลือนริ้วรอยให้ผิวอิ่มฟูนั้น กลไกสำคัญคือไปกระตุ้นการแสดงออกของยีน DHCR7 ซึ่งผลิตเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในผิวชั้น Epidermis หรือผิวชั้นนอก หลังจากการสกรีนส่วนผสมก็พบว่า Retinyl Acetate เป็นตัวที่กระตุ้น DHCR7 ได้ดีและยื่นจดสิทธิบัตรเอาไว้เรียบร้อย

คอเลสเตอรอลนั้นนอกจากจะเป็นส่วนสำคัญของไขมันที่ปกป้องชั้นผิวแล้ว ยังจำเป็นกระบวนการเมตาบอลิซึมเพื่อพัฒนาตัวของเซลล์เคราติโนไซต์ (Keratinocyte Differentiation) ซึ่งหากขาดเอนไซม์ DHCR7 ที่ไปสร้างคอเลสเตอรอล การพัฒนาตัวของเซลล์เคราตินจะหยุดชะงัก โดยการศึกษาจากแหล่งอื่นได้อธิบายว่าการลดลงของคอเลสเตอรอลในผิวชั้นนอกสัมพันธ์กับการลดลงของโปรตีน Keratin 14 (K14) และ Keratin 10 (K10) โปรตีน K10 นั้นจำเป็นต่อการพัฒนาตัวของเซลล์เคราติโนไซต์ และการศึกษายังพบว่าในผู้ที่มีความผิดปกติของยีน KRT10 ที่ผลิตโปรตีนตัวนี้จะเจอปัญหา Skin Barrier ที่อ่อนแอ

Pyrola Incarnata Extract ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นตัวที่กระตุ้นการสร้าง Filaggrin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญที่จะถูกแตกตัวไปเป็นสารกลุ่ม Natural Moisturizing Factor (NMF) เพื่อให้ความชุ่มชื้นกับชั้นผิว ซึ่งจากการค้นข้อมูลพบว่าเคลมนี้อิงมาจากการจดสิทธิบัตรของสารประกอบเชิงซ้อนอันประกอบไปด้วยสารกลุ่ม Betaine (Lauryl Betaine) กับสารกลุ่ม Polyols (Glycerin) และสารสกัดจากพืช (Pyrolaceae)  ซึ่งเอามาแทนที่ Algaelumina EX ที่ถูกถอดออกไป และนอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าสารสกัด Pyrola สามารถช่วยลดเมลานินได้ด้วย

Bupleurum Falcatum Root Extract เป็นส่วนผสมที่เคยมีในสูตรเดิม ซึ่งเป็นสิทธิบัตรการสกัดสาร Saikosaponins มาใช้มาช่วยเสริมการสร้างพวก Extracellular Matrix อย่างพวกคอลลาเจน ไฮยาลูโรนิคแอซิด และสารกลุ่มแซคคาไรด์ในชั้นผิวเพื่อช่วยต่อต้านริ้วรอยและให้ความชุ่มชื่นกับผิว  ข้อมูลจากแหล่งอื่นระบุว่า Saikosaponins มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบได้

สารประกอบเชิงซ้อนที่สำคัญอีกอันนึงคือ AMINO5 GL อันประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 5 ชนิด คงคอนเซปต์เดิมจากสูตรเก่า แต่สื่อสารใหม่ว่ามี GN3 ไปเปิดสวิตช์ในการสร้างโปรตีนสำคัญในผิวแล้ว ก็ต้องช่วยเติมกรดอะมิโนที่วัตถุดิบในการสร้างโปรตีนด้วย  ซึ่งเป็นการสื่อสารที่เข้าใจง่ายและเห็นภาพมากกว่าเดิม โดยคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดของกรดอะมิโนเมื่อนำมาใช้ในสกินแคร์คือการให้ความชุ่มชื้นและต้านอนุมูลอิสระ โดยกรดอะมิโนแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไป เช่น

Glycine เป็นกรดอะมิโนที่มีอยู่มากในร่างกายและเป็นส่วนประกอบหลักของเส้นใยคอลลาเจน

Hydroxyproline เป็นกรดอะมิโนตัวหลักอีกตัวของเส้นใยคอลลาเจน มีข้อมูลไม่มากว่านำมาทาแล้วได้ประโยชน์อะไร แต่รูปแบบของ N-acetyl-L-hydroxyproline นั้นช่วยกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้

Arginine HCL สามารถกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของ Urea เพื่อให้ผิวชุ่มชื่น และอาจเสริมการเยียวยาบาดแผลให้เร็วขึ้นด้วย

Serine เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เอง มีข้อมูลไม่มาก แต่อนุพันธุ์ของกรดอะมิโนตัวนี้มีข้อมูลว่าช่วยเสริมการสร้างเซราไมด์ได้

Natto Gum (Polyglutamic Acid) คือสายโพลิเมอร์ของ Glutamic acid ซึ่งเป็นตัวให้ความชุ่มชื่นที่ดีและทำให้เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ดีขึ้น มีคุณสมบัติในการเสริมการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนด้วย

(Source : A Dermatological View—Percutaneous Penetration of Amino Acids, Topical effects of N-acetyl-L-hydroxyproline on ceramide synthesis and alleviation of pruritus.Topically applied arginine hydrochloride. Effect on urea content of stratum corneum and skin hydration in atopic eczema and skin aging.Poly-L-arginine topical lotion tested in a mouse model for frostbite injury.Pilot Experimental Study on the Effect of Arginine, Glutamine, and β-Hydroxy β-Methylbutyrate on Secondary Wound Healing.Polyglutamic Acid: A Novel Peptide for Skin Care)

สารสำคัญอื่น ๆ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ยกมาจากสูตรเดิม ได้แก่

Potassium Methoxysalicylate หรือ 4MSK พัฒนาขึ้นโดยเครือชิเซโด้เอง กลไกในการทำงานของ 4MSK นั้นมุ่งเป้าไปที่การขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ช่วยลดการสร้างเมลานิน ส่วนตัวเราพบว่าสารตัวนี้ช่วยให้เนื้อผิวมีความเคลียร์ ใสได้ดีมาก แต่เรื่องจุดด่างดำจะไม่เด่นเท่าไหร่

Zingiber Aromaticus Extractเป็นพืชตระกูลขิง มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Lempuyang ในอินโดนีเซีย ส่วนภาษาไทยเรียกว่า กะทือ ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็นของจริงเหมือนกัน มีข้อมูลการจดสิทธิบัตรเอาไว้ว่าช่วยในเรื่องของการเสริมเสริม Skin Barrier

ส่วนผสมที่ถูกตัดออกไปจากสูตรเดิมคือ 2-O-Ethyl Ascorbic Acid ที่ช่วยเสริมเรื่องไวท์เทนนิ่ง และ Citrus Limon (Lemon) Fruit Extract ที่ช่วยต้านความเหลืองคล้ำของโปรตีนผิว  ปูเป้มองว่าเป็นการปรับในแง่ของการตลาดเพื่อไม่ให้ผลิตภัณฑ์ไป cannibalise หรือซ้ำซ้อนกับ IPSA : White Process Essence OP

IPSA : ME ULTIMATE e 1

Ingredients : Water, Alcohol, Dipropylene Glycol, Glycerin, Hydrogenated Polydecene, Dimethicone, PEG-400, PEG/PPG-14/7 Dimethyl Ether, Potassium Methoxysalicylate, Triethylhexanoin, Phytosteryl/Octyldodecyl Lauroyl Glutamate, PEG-12 Dimethicone, Phenoxyethanol, Carbomer, Xanthan Gum, Potassium Hydroxide, Butylene Glycol, Disodium EDTA, Tocopheryl Acetate, Hydroxyproline, Arginine HCl, Serine, Sodium Methyl Stearoyl Taurate, Isostearic Acid, Natto Gum, Lauryl Betaine, Belamcanda Chinensis Root Extract, Glycine, Scutellaria Baicalensis Root Extract, Bupleurum Falcatum Root Extract, Tocopherol, Retinyl Acetate, Pyrola Incarnata Extract, Helianthus Annuus Seed Oil, Zingiber Aromaticus Extract, Thymus Serpyllum Extract, BHT, Sodium Benzoate.

IPSA : ME ULTIMATE e 2

Ingredients :  Water, Dipropylene Glycol, Glycerin, Alcohol, Butylene Glycol, Dimethicone, Triethylhexanoin, Behenyl Alcohol, Betaine, Diphenylsiloxy Phenyl Trimethicone, Isodecyl Neopentanoate, PEG-75, Potassium Methoxysalicylate, Batyl Alcohol, Diglycerin, Phenoxyethanol, Phytosteryl Macadamiate, Maltitol, Behenic Acid, PEG-60 Glyceryl Isostearate, PEG-10 Dimethicone, Sodium Citrate, Potassium Hydroxide, Tocopheryl Acetate, Citric Acid, Disodium EDTA, Hydroxyproline, Arginine HCl, Serine, Natto Gum, Belamcanda Chinensis Root Extract, Glycine, Scutellaria Baicalensis Root Extract, Isostearic Acid, Bupleurum Falcatum Root Extract, Retinyl Acetate, Pyrola Incarnata Extract, Helianthus Annuus Seed Oil, Zingiber Aromaticus Extract, Tocopherol, Lauryl Betaine, BHT, Sodium Benzoate.

IPSA : ME ULTIMATE e 3

Ingredients : Water, Hydrogenated Polydecene, Butylene Glycol, Glycerin, Triethylhexanoin, Dipropylene Glycol, Dimethicone, PEG-60 Glyceryl Isostearate, Potassium Methoxysalicylate, Petrolatum, Phytosteryl/Octyldodecyl Lauroyl Glutamate, Behenyl Alcohol, PEG-5 Glyceryl Stearate, Stearic Acid, Phenoxyethanol, Behenic Acid, Isostearic Acid, Batyl Alcohol, Alcohol, Chlorphenesin, Myristyl Myristate, Potassium Hydroxide, Carbomer, Tocopheryl Acetate, Succiniglycan, Disodium EDTA, Hydroxyproline, Lauryl Betaine, Arginine HCl, Serine, Sodium Metabisulfite, Natto Gum, Belamcanda Chinensis Root Extract, Glycine, Rosa Canina Fruit Oil, Tocopherol, Bupleurum Falcatum Root Extract, Retinyl Acetate, Pyrola Incarnata Extract, Helianthus Annuus Seed Oil, Zingiber Aromaticus Extract, Sodium Benzoate, BHT, Ascorbyl Dipalmitate.

IPSA : ME ULTIMATE e 4

Ingredients : Water, Glycerin, Pentaerythrityl Tetraethylhexanoate, Alcohol, Dipropylene Glycol, Betaine, Xylitol, Petrolatum, Hydrogenated Polydecene, Behenyl Alcohol, Phytosteryl Macadamiate, Dimethicone, Potassium Methoxysalicylate, Beheneth-20, Batyl Alcohol, PEG-32, PEG-6, Phenoxyethanol, Butylene Glycol, Xanthan Gum, Sodium Citrate, Isostearic Acid, Tocopheryl Acetate, Hydroxyproline, Lauryl Betaine, Arginine HCl, Citric Acid, Disodium EDTA, Serine, Sodium Metabisulfite, Natto Gum, Belamcanda Chinensis Root Extract, Glycine, Rosa Canina Fruit Oil, Sesamum Indicum Seed Oil, Tocopherol, Bupleurum Falcatum Root Extract, Retinyl Acetate, Pyrola Incarnata Extract, Helianthus Annuus Seed Oil, Zingiber Aromaticus Extract, Sodium Benzoate, BHT, Ascorbyl Dipalmitate, CI 75130.

Usage & Result

บรรจุภัณฑ์ของ IPSA : ME ULTIMATE e จะหน้าตาเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ที่ฝาขวดจะมีการเพิ่มหมายเลขเพื่อให้ง่ายต่อการดูว่าเป็นสูตรไหน (จากเดิมต้องพลิกก้นขวดดูสติกเกอร์ที่ตัวอักษรเล็กเท่าหัวมด)

ความเข้มข้น ระดับการเคลือบผิว และการเซ็ทตัวของแต่ละสูตรทำออกมาได้ตรงตามโจทย์ โดยที่เบอร์ 1 จะมีเนื้อบางเบาที่สุดและเซ็ทตัวแบบดูไม่มันวาว ไล่ไปจนถึงเบอร์ 4 ที่แม้การดูด้วยตาเปล่าจะมีความข้นเท่ากับเบอร์ 3 จนต้องมีการใส่สีเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดขึ้น แต่การเซ็ทตัวจะรู้สึกว่าเบอร์ 4 จะมีการเคลือบผิวมากกว่าเบอร์ 3 อย่างรู้สึกได้เมื่อทาลงไป  ปริมาณในการใช้คือ 3 ปั๊มลงบนฝ่ามือและลูบไล้ให้ทั่วใบหน้าและลำคอ

IPSA : ME ULTIMATE e สูตรใหม่ยังมีเนื้อสัมผัสให้เลือก 4 แบบ ตามพื้นฐานการแบ่งสภาพผิวโดยอิงระดับน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวเป็น 4 ระดับ จึงทำให้เข้าใจง่ายขึ้น  และมีการเพิ่มส่วนผสมที่ตรงกับระดับมันบนผิวด้วย

โดยในสูตร 1 และ 2 สำหรับระดับน้ำมันบนผิวเยอะ จะมีโอกาสเกิด Lipid Peroxidation ที่ทำให้เกิดการหมองคล้ำหรือสิวได้มากกว่า ก็ใส่สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดผลกระทบตรงนี้ให้มากขึ้นอย่าง  Scutellaria Baicalensis Root Extract และ/หรือ Thymus Serpyllum Extract มาให้

สำหรับสูตร 3 และ 4 ที่มีระดับน้ำมันบนผิวน้อย จำเป็นต้องเสริมกรดไขมันเข้าไปให้ผิว จึงมีการเพิ่มน้ำมันสกัดจากพืชอย่าง Rosa Canina Fruit Oil และ/หรือ Sesamum Indicum Seed Oil เข้าไป

สำหรับขั้นตอนในการใช้นั้น ต้องอธิบายก่อนว่าโดยพื้นฐานแล้ว ME หรือ Metabolizer ของ IPSA นั้นถูกทำมาโดยมีแนวคิดการเป็น Simple Skincare ที่รวบขั้นตอนของเซรั่มที่มีสารแอคทีฟที่ตอบโจทย์ตามปัญหาของผิว (ME SENSITIVE สำหรับผิวบอบบางระคายเคือง / ME สำหรับการดูแลผิวพื้นฐาน / ME ULTIMATE e สำหรับคนที่ต้องการดูแลมากเป็นพิเศษ)  และการเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีระดับการเคลือบที่เหมาะกับผิวของแต่ละคน (การแบ่งระดับน้ำมันบนผิวเป็น 4 ช่วง) โดยขั้นตอนที่ง่ายที่สุดคือ เลือกตัวทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว + ME ตามปัญหาผิวและน้ำมันบนผิว + กันแดดในตอนกลางวัน คือจบแล้ว


แต่หากมีความต้องการดูแลผิวที่มากขึ้น หรือมีตรวจสภาพผิวด้วยเครื่อง IPSALYZER แล้วพบว่าสภาพผิวมีปัญหาในมิติอื่นๆ  ก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเสริมเพื่อจัดการปัญหานั้น ๆ ไปซึ่งเรียกว่า Skincare Recipe หรือตำรับความงามเฉพาะบุคคล อย่างในรูปด้านบนนี้คือ Skincare Recipe ของปูเป้ ที่มีสภาพผิวแบบผสม มีระดับน้ำมันบนผิวปานกลาง และมีปัญหาในด้านอื่นตามวัย และไลฟ์สไตล์แย่ ๆ อย่างการนอนดึกและการกินอาหารขยะ

ซึ่งเมื่อตรวจพบว่ามีเซลล์ผิวเสื่อมสภาพสะสมอยู่เยอะ เคราตินมีความกระด้าง ก็จะใช้ IPSA : Clear Up Lotion เพื่อขจัดเคราตินเสื่อมสภาพที่สะสมออกไป  ถ้าผิวมีการบวมน้ำ การขับของเสียไม่ค่อยดี ก็เพิ่ม IPSA : Serum 0 ที่เสริมความแข็งแรงของหลอดท่อน้ำเหลือง  ถ้ามีปัญหาเรื่องโทนผิวหมอง เหลืองหรือแดงคล้ำ ก็ค่อยเพิ่ม IPSA White Process Essence OP ที่มีส่วนผสมช่วยต้านโปรตีนคล้ำเหลืองและเสริมการไหลเวียนโลหิต  และถ้าผิวเริ่มมีปัญหาริ้วรอยที่ชัดขึ้น ขาดความยืดหยุ่น คืนตัวช้า ก็ไปเสริมด้วย IPSA : Targeted Effects Advenced G 

ซึ่งผลิตภัณฑ์พวกนี้สามารถเพิ่มเข้าหรือลดออกได้ตามสภาพผิวที่เปลี่ยนไป  ถ้าไม่ได้มีปัญหาก็ไม่จำเป็นต้องใช้  บางอย่างอาจจะจำเป็นต้องใช้เสริมอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงวัยอันควร

ส่วนคนที่อยากนำ IPSA : ME ULTIMATE e ไปใช้ร่วมกับสกินแคร์อื่น ๆ ที่ตัวเองมีอยู่ สามารถนำไปใช้ในขั้นตอนของมอยซ์เจอไรเซอร์ได้เลยโดยเลือกสูตรตามระดับน้ำมันบนผิว

IPSA : ME ULTIMATE e ให้ผลในแง่ของการมอบคุณภาพผิวที่เราพึงพอใจในหลายมิติ ช่วยให้โทนผิวดูกระจ่างขึ้น และมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้นที่ดี และตอบโจทย์ความต้องการของผิววัย 30+ อย่างเรามากกว่าเมื่อเทียบกับ ME สูตรขวดสีขาว (แต่เขาก็ยังกั๊กส่วนผสมบางอย่างเพื่อสร้างความแตกต่างเอาไว้ ทั้งที่จริง ๆ ก็ใส่มาได้ อย่างเช่นพวก Erythritol ที่ช่วยเสริม Skin Barrier ในกลไกที่พิเศษไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน ซึ่งมีอยู่ใน ME Sensitive ทุกสูตรหรือแม้แต่ใน ME บางสูตร)

Tips สำหรับการปรับใช้ ME ULTIMATE e

โดยธรรมชาติแล้ว ระดับการผลิตน้ำมันในตอนกลางวันจะมากกว่าเพราะอุณหภูมิที่สูงกว่าตอนกลางคืน   และในตอนกลางคืนผิวจะสูญเสียความชุ่มชื้นได้มากกว่าในตอนกลางวันเนื่องจากวงจรการทำงานของผิวจะมีการผัดเปลี่ยนมากที่สุดในยามกลางคืน (และถ้าเรานอนดึกื นอนไม่พอ หรือไม่ยอมนอน ผิวจะเสียความชุ่มชื้นมากจนดูเหี่ยว กร้าน รูขุมขนกว้าง)  นี่ยังไม่นับว่าห้องปรับอากาศจะค่อนข้างแห้งก็ซ้ำเติมหนักเข้าไปอีก

ในกรณีของปูเป้เป็นคนที่มีผิวผสม ในตอนกลางวันที่อากาศร้อนชื้น การใช้เบอร์ 1 หรือ 2 นั้นเหมาะกับผิวและสภาพอากาศ มีความบางเบา สบายผิว  แต่ในตอนกลางคืนนั้นจำเป็นต้องใช้เนื้อที่เข้มข้นขึ้นของ เบอร์ 3 หรือ 4 ถึงจะเคลือบผิวมากได้มากพอ (คนที่ผิวแห้งมาก หรือคนที่ผิวมันมาก ๆ อาจจะไม่มีปัญหาแบบนี้) ปูเป้จึงอยากแนะนำการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับคนที่มีเงื่อนไขแบบเดียวกันนี้ ซึ่งมี 2 ทางเลือกคือ

1. เลือกใช้  ME ULTIMATE e สองสูตรแยกกันสำหรับกลางวัน และกลางคืน

2. เลือกใช้ ME ULTIMATE e สูตรที่บางเบาและใช้กับผิวในตอนกลางวันได้สบาย ๆ และใช้สูตรเดียวกันนั้นในตอนกลางคืน แต่หาผลิตภัณฑ์เนื้อครีม หรือออยล์ ที่เหมาะกับผิวหรือมีใช้อยู่แล้ว ทาทับไปเพื่อเพิ่อการเคลือบผิวเก็บกักความชุ่มชื้นให้มากขึ้น โดยเน้นจุดที่แห้งกร้านง่ายเป็นพิเศษ  ส่วนตัวปูเป้เลือกวิธีนี้เพราะมองว่าเราจะได้ส่วนผสมหรือสารสำคัญที่แตกต่างเพิ่มไปจากครีมหรือออยล์ที่เอามาทับด้วย

อีกแนวคิดนึงคือการเลือกใช้ ME ULTIMATE e สูตร 1 เป็นขั้นตอนของเซรั่ม และค่อยทาตามด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์ตัวโปรดที่เราใช้อยู่ ปูเป้แนะนำแบบนี้ให้กับแฟนเพจที่สนใจ ME ULTIMATE e  สูตรใหม่มาก แต่ตอนนี้เขามีครีมบำรุงที่เขาชอบอยู่แล้วและไม่อยากเลิกใช้ครับ

Conclusion

โดยสรุปแล้ว IPSA : ME ULTIMATE e มีการเพิ่มส่วนผสมใหม่ 2 ตัว ซึ่งเสริมการดูดซับออกซิเจนให้ผิวมีพลังในการทำงานมากขึ้น และส่วนผสมใหม่ที่ช่วยเสริมการสร้างคอเลสเตอรอลที่สำคัญต่อการพัฒนาตัวของเซลล์เคราตินจึงทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยมีเนื้อสัมผัสให้เลือกเป็น 4 แบบตามระดับน้ำมันผิวที่เราคุ้นเคยมากกว่า  นอกนั้นก็เหมือนกับสูตรเดิมที่ช่วยเสริมเรื่องความกระจ่างและความใสของผิว กับความยืดหยุ่นชุ่มชื้น และต่อต้านริ้วรอยได้

การกำหนดสูตรใหม่นี้คิดมาอย่างดีแล้วว่ามันจะให้คุณสมบัติในการบำรุงผิวที่ดีพอสำหรับคนที่ต้องการดูแลทั้งปัญหาเรื่องริ้วรอย ความกระจ่างใส ชุ่มชื้น และให้ผิวมีการทำงานที่ดีด้วยตัวของมันเอง แต่ก็มีพื้นที่เหลือให้กับการใช้ร่วมกับเซรั่มหรือทรีตเมนต์ที่โฟกัสในเรื่องการต่อต้านร้ิวรอยและคืนความยืดหยุ่นของผิวสำหรับคนที่ต้องการดูแลตรงนี้มากเป็นพิเศษอย่าง IPSA : Targeted Effects Advanced G โดยที่สารสำคัญไม่ซ้ำกันเลย และสิ่งที่ถูกตัดออกไปใน ME ULTIMATE e  คือส่วนผสมที่ต้านการคล้ำเหลืองของโปรตีนเพื่อไม่ให้ไปซ้ำซ้อนกับคุณสมบัติเด่นของผลิตภัณฑ์ IPSA : White Process Essence OP ซึ่งถ้ามองในมุมของผู้ใช้ก็จะว้า~~~า เสียดาย  แต่ถ้ามองในแง่ของผู้พัฒนาและกำหนดทิศทางในเชิงการตลาด ถือว่าทำการบ้านมาดีมาก 

นี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปูเป้ชอบที่สุดของ IPSA ทั้งในแง่ของส่วนผสมที่เป็นเทคโนโลยีเด่น ๆ ของเครือชิเซโด้ วิธีใช้ที่เข้าใจง่าย นำไปใช้ร่วมกับสกินแคร์ที่มีอยู่ได้สะดวก และมีราคาไม่แรงจนเกินไป เมื่อเทียบผลิตภัณฑ์ในระดับเคาน์เตอร์แบรนด์ของเครือเดียวกัน และการไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมนั้นนอกจากจะลดความเสี่ยงจากการระคายเคืองไปได้ ยังไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นน้ำหอมไม่ถูกใจอีกด้วย

ปูเป้มองว่าในระยะหลัง IPSA เริ่มกลับมาสู่รากฐานของการเป็น Simple & Customizable Skincare ที่เป็นแก่นหลักของแบรนด์มากขึ้น หลังจากที่เคยเป๋ไปทำ Premiere Line ที่เหมือนการฉีก DNA ของแบรนด์ไปอยู่พักนึง และคิดว่าถ้าคุณยังไม่เคยลอง IPSA มาก่อน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีมากที่คุณจะลองเพราะว่าแบรนด์ค่อนข้างนิ่งในแง่ของคอนเซปต์ และการสื่อสารก็เข้าใจง่ายขึ้นมาก

ใครที่สนใจ เราแนะนำให้ไปลองตรวจสภาพผิวที่เคาน์เตอร์ IPSA ก่อนจะดีที่สุด เพราะสิ่งที่พิเศษของ IPSA คือระบบการดูแลผิว มากกว่าผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่ง การตรวจผิวเราจะได้เห็นความจริงที่วัดค่าออกมาได้ และจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับค่าที่ตรวจวัดได้ และเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องคุณภาพผิวในแต่ละมิติก็จะดีขึ้นจริง ๆ ล่ะ

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

***Sponsored Item***

IPSA : ME ULTIMATE e
Price :  50ml / 3,700 BAHT
Skin Type : All Skin Type
Outstanding :  Hydration / Clarity / Brightening / Anti-Aging / Anti-Oxidant / Fragrance-Free

ÍPSA : ME ULTIMATE e
FORMULA
GENTLENESS
SENSORY
RESULT
PUPE LOVE IT
PROS
  • สูตรใหม่ยังคงส่วนผสมเดิมที่ทำให้เรารัก แต่เพิ่มเนื้อสัมผัสที่หลากหลายขึ้น ส่วนผสมใหม่ก็มีเบื้องหลังเทคโนโลยีที่น่าสนใจ
  • ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม มีเพียงสูตรเบอร์ 4 เท่านั้นที่ผสมสีเหลืองเล็กน้อย
  • ใช้ง่าย มีเนื้อสัมผัสให้เลือกตามระดับน้ำมันบนผิว ให้ผิวมีความกระจ่างใส และมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้นกำลังดี
CONS
  • จริง ๆ แล้วเขาสามารถใส่สารสำคัญมามากกว่นี้ เพื่อยกระดับการเสริม Skin Barrier ได้มากกว่านี้อีก แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเหตุผลทางการตลาดในการสร้างความแตกต่างของ ME แต่ละประเภท
4.4Overall Score