สวัสดีจ้า ถึงจะมาช้า แต่ก็มาแล้ว กับสกินแคร์และวิธีปฏิบัติตัว ที่เราใช้ในตอนกลางวัน และช่วยลดโอกาสเกิดสิวในช่วงที่เราต้องออกนอกบ้านและต้องใส่มาส์กซึ่งมีแนวโน้มว่าเราคงต้องทำกันไปอีกนาน แถมช่วงนี้ PM2.5 กำลังมาซ้ำด้วย
บทความนี้ปูเป้ทำขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลที่เราอ่าน และการทดสอบ ทดลองกับตัวเองว่าแบบไหนที่เวิคร์ และไม่เวิคร์ ตั้งแต่ช่วงต้นปีมาจนถึงตอนนี้ เราถึงเอามาแชร์ให้อ่านกัน เรามาดูกันดีกว่าเราจำเป็นต้องเข้าใจอะไรบ้างเพื่อปรับการใช้สกินแคร์และการดูแลตัวเองในขณะที่เราต้องใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากันฝุ่น PM2.5
ย้ำว่า สิ่งที่เรานำมาแสดงให้ดู คือเราอยากให้เห็นเป็นตัวอย่าง เป็นแนวคิดว่า ลักษณะของผลิตภัณฑ์ คุณสมบัติเนื้อผลิตภัณฑ์ ที่เราเลือกใช้เป็นยังไง มีเทคนิคในการใช้ประมาณไหน คุณสามารถเอาไปปรับหาผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะใกล้เคียง หรือเอาเทคนิคไปใช้ได้เลย  ในส่วนของเมคอัพ เราใช้แค่แป้งฝุ่นเป็นหลักอ่ะจ้า เราแนะนำว่าช่วงนี้งานผิวไปก่อน เพราะเมคอัพที่เคลือบหรือปกปิดมาก ก็เพิ่มโอกาสมากตามไปด้วย

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า การใส่มาส์กหรือหน้ากากอนามัยเนี่ย มันเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากปกติให้กับผิว เพราะพื้นที่ใต้มาส์กจะมีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ความชื้น การปิดเคลือบทับ การเสียดสี

ซึ่งความอบชื้น อุณหถูมิที่เปลี่ยนไปมาระหว่างการอบร้อนตอนใส่ และตอนถอด นั้นไม่ต่างอะไรกับตอนที่เราเดินจากข้างนอกที่ร้อนชื้นเข้าสู่ห้องแอร์เย็น ๆ มันเป็น stress หรือความเครียดต่อผิว ทำให้ผิวอ่อนแอลงและเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น  สภาพแวดล้อมภายใต้หน้ากากยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่อาจจะไม่ได้เป็นมิตรกับผิวอีกด้วย

แต่ในขณะเดียวกัน การคลุมปิดก็สร้างสภาพแวดล้อมแบบการ occlusion ที่มากขึ้น สกินแคร์เนื้อเข้มข้น หรือเคลือบผิวมากหน่อยที่เคยใช้ได้ปกติตอนไม่มีการใส่มาส์กอาจจะไม่เวิคร์กับคุณอีกต่อไป

ท้ายที่สุด ตัวมาส์กเองก็จะมีการเสียดสีกับผิวหนังในขณะที่เราขยับ หรือพูด ซึ่งวัสดุแต่ละอย่างก็มีผลตรงนี้ต่างกันไป ซึ่งตรงนี้ทำให้เกิดการระคายเคือง ที่สะสมไปเรื่อย ๆ ทำให้ผิวอาจอ่อนแอลง และนำไปสู่การเกิดการอักเสบของผิวที่ง่ายขึ้น

สรุปสั้น ๆ คือสภาพแวดล้อมภายใต้หน้ากากทำให้ผิวอ่อนแอลง สะสมสิ่งสกปรกได้ง่ายขึ้น เกิดระคายเคือง การอักเสบได้ว่ายขึ้นตามมา และผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่เคยใช้ตามปกติอาจจะรู้สึกเหนอะหนักหนึบผิวจนทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น

จากที่ลองใช้มาส์กมาในหลายวัสดุ เราพบว่า

1. หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง แบบนี้ก่อปัญหาน้อยสุด เราเลือกแบบที่ค่อนข้างนุ่ม และเราแนะนำว่าถ้าไม่ได้ขาดแคลนหรือขัดสนจริง ๆ ไม่ควรใช้ซ้ำ ควรมีชิ้นสำรองติดกระเป๋าเอาไว้ ถ้าคุณทำกิจกรรมเยอะและหน้ากากค่อนข้างชื้น มีเหงื่อมาก เราแนะนำว่าให้เปลี่ยนใหม่ในระหว่างวันจะดีที่สุด

วัสดุของหน้ากากแต่ละยี่ห้อก็มีผลด้วยเช่นกัน บางยี่ห้อใช้แล้วมีปัยหา บางยี่ห้อก็ไม่มี ตอนนี้เราใช้ยี่ห้อนี้แล้วรู้สึกว่าค่อนข้างแฮปปี้และสายรัดก็นุ่มดี แต่ราคาจะแรงกว่าหน้ากากอนามัยปกติหลายเท่าอยู่นะ

2. หน้ากากผ้า จะเสียดสีกับผิวและก่อปัญหามากกว่าแบบบน ยิ่งซักใช้ไปเรื่อยๆ ผ้ายิ่งหยาบขึ้น ถ้าซักแล้วบีบเอาน้ำยาซักออกไม่หมดอย่างแท้จริง ก็จะระคายเคืองผิวด้วย

3. หน้ากากโพลียูรีเทนแบบ PITTA ใส่สบาย ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ไม่ช่วยปกป้องเราจากไวรัสเชื้อโรคอะไรเลย ใส่ไว้กันโดนด่าล้วน ๆ ถ้าเอามาซักแล้วบีบเอาน้ำยาออกไม่หมด ก็เจอปัญหาเหมือนหน้ากากผ้า

4. หน้ากาก N95 หายใจไม่ออกโว้ย จะตายเพราะขาดใจตายก่อนจะตายเพราะติดโควิด ไม่ใส่!!!

ขั้นตอนของการบำรุงผิวนั้น ปูเป้ลองหาข้อมูลและได้เข้าใจว่า ทางญี่ปุ่นเป็นสังคมที่มีคนใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน (แม้จะไม่มีเรื่องโควิด) และในช่วงหน้าร้อนก็จะมีปัญหาในเรื่องของปัญหาผิวที่ใส่หน้ากากอนามัยที่มาพร้อมกับอากาศร้อนก็ไม่ต่างอะไรกับที่คนในบ้านเรากำลังเจอกัน จึงเป็นเหตุผลที่จะใช้แบรนด์ญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา

ปูเป้สรุปคุณสมบัติสำคัญที่ควรพิจารณาเพื่อนำมาเลือกสกินแคร์ดังนี้

1. มีเนื้อทางที่บางเบา ไม่หนึบ ไม่หนืดผิว ไม่เคลือบผิวหรือหนักผิวเกินไป โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องถูกปิดใต้หน้ากาก

2. มีส่วนผสมที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิว พวก Niacinamide / Ceramide / Bifida Ferment Lysate

3. มีส่วนผสมที่ช่วยลดการระคายเคืองหรือลดการอักเสบของผิว

4. สำหรับคนเป็นสิวง่าย ควรมีส่วนผที่ช่วยต้านแบคทีเรีย

5. ไม่ควรมีกลิ่นที่ชัดหรือแน่นไป เพราะมันจะอบอวลใต้หน้ากาก

ก่อนที่จะลงสกินแคร์ก็ต้องทำความสะอาด และการทำความสะอาดก็จะแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน และล้างออกรู้สึกสะอาดไม่ทิ้งอะไรลื่น ๆ เพื่อที่จะไม่รบกวนการลงสกินแคร์ในขั้นตอนต่อไป

ตัวที่เราแนะนำคือ FreePlus : Mild Soap A ที่ใช้ได้สำหรับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวบอบบางด้วย ไม่มีน้ำหอม (คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว)

แต่ถ้าใครอยากได้ตัวที่มีกลิ่นหอมสดชื่นและล้างออกโดยไม่ทำให้ผิวแห้ง เราแนะนำ PAÑPURI : ArunaYouth Complex Glycogen Cleansing Powder 

ยังมีผลิตภัณฑ์ความสะอาดที่ดีอีกมากมาย คุณใช้สิ่งที่คุณล้างแล้วสะอาด ไม่แห้งตึง สบายผิว ที่ตัวเองชอบได้เลย

สำหรับคนเป็นสิวง่าย โลชั่นน้ำที่เราใช้ก็คือ d program : Acne Care Lotion เพราะเนื้อบางเบา ไม่มีความหนึบบนผิว มีส่วนผสมที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิวด้วย H-Stabilizing A สิทธิบัตรเฉพาะของเขา ลดการระคายเคือง ต้านแบคทีเรีย และมีคุณสมบัติเป็นไวท์เทนนิ่งเบา ๆ ไปในตัว (คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว)

อีกตัวหนึ่งคือ FreePlus : Moist Care Lotion 1 จะเน้นเรื่องการให้ความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง ต้านอนุมูลอิสระ แต่เนื้อบางเบาและไม่เซ็ทตัวแบบหนึบผิว

ใครมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติคล้ายกันก็ใช้ไปได้เลย

เซรั่มหรือบูสเตอร์ที่เข้ามาเสริมคุณสมบัติในการดูแลผิวให้มากขึ้น ก็จะเน้นที่มีเนื้อบางเบาเป็นหลัก

Paula’s Choice : 10% Niacinamide Booster เพราะ Niacinamide จะเสริมความแข็งแรงของผิว ลดการอักเสบของสิว เสริมคุณสมบัติในการเป็นไวท์เทนนิ่ง มีเนื้อที่เบามากเหมือนน้ำ เอาไปหยดใส่กับโลชั่นน้ำในขั้นตอนก่อนหน้าได้เลย

The Ordinary : Marine Hyaluronics เป็นตัวเสริมความชุ่มชื้นแบบเข้มข้น โดยที่ไม่มีความหนึบผิวเลย แต่กลิ่นจะตุ่ยเล็กน้อย สามารถใช้เดี่ยวๆ ลงบนผิว หรือผสมเพื่อยกระดับการให้ความชุ่มชื้นในโลชั่นน้ำที่ใช้ในขั้นตอนก่อนหน้าได้

IPSA : White Process Essence OP เราจะบอกตามตรงว่าในแง่ของการมอบโทนผิวและความใสของผิว ปัจจุบันนี้ตัวแพ้ Shiseido : White Lucent ที่พึ่งออกมาใหม่ในปีนี้ แต่เหตุผลที่เราใช้ IPSA เพราะมันมีเนื้อที่เบาบาง อ่อนโยนมาก ไม่มีน้ำหอม สี มีแอลกอฮอล์น้อยกว่า 0.2% ทำให้สามารถที่จะใช้ได้กับทุกสภาพผิวอย่างปลอดภัย (คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว)

Eucerin : UltraWhite Spotless Spot Corrector ตัวลดเมลานินที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยใช้มา รอยดำสิว จุดด่างดำ กร ฝ้า ที่อยู่ตื้น ๆ จางลงไวมาก เราแนะนำตัวแต้มเพราะสารสำคัญเยอะสุด เห็นผลสุด มันมีแอลกอฮอล์อยู่ แต่เราแต้มมันเฉพาะจุดเพียงบาง ๆ จึงไม่ก่อปัญหาอะไร ไม่มีน้ำหอม และเนื้อบางมาก เราแนะนำให้แต้มก่อนลงเซรั่ม

d program : Thermo Defense Serum เป็นตัวที่ออกมาในช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่นเมื่อปีก่อน เขาเคลมว่าตัวนี้จะช่วยคงความแข็งแรงของผิว ปกป้องผิวจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ร้อน-เย็น ได้ ส่วนตัวเรามองว่ามันเป็นเซรั่มที่ให้ความชุ่มชื้นโดยที่มีเนื้อที่บาง ไม่หนึบ และปกป้องการเสียความชุ่มชื้นได้ในระดับหนึ่ง ตัวนี้ประหลาดอย่างหนึ่งคือให้ลงเป็นขั้นตอนแรกก่อนลงโลชั่นน้ำ

Klaire : Anti-Pollution Essence ตัวนี้ลดการอักเสบของผิวดีมาก เสริมความแข็งแรงของผิว และมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากการเกาะติดของมลภาวะด้วย ตัวนี้จะใช้เป็นเซรั่ม หรือจะใช้แทนขั้นตอนของโลชั่นน้ำไปเลยก็ได้ จะมีบอดี้เล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่าบางเบาอยู่ดี เหมาะกับช่วงนี้มี PM2.5 กำลังเริ่มกลับมาถล่มอย่างมาก (คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว)

ขั้นตอนของการเคลือบเก็บกักความชุ่มชื้น หรือมอยซ์เจอไรเซอร์ ตรงนี้อยากให้เน้นส่วนที่อยู่นอกหน้ากากเป็นหลัก เพราะว่าใต้หน้ากากมันจะมีความอบ และความชื้นอยู่แล้ว เราไม่อยากให้มันมาเคลือบผิวมากไป

d program : urban damage care concentrate เคลือบผิวให้ความชุ่มชื้นโดยที่เนื้อไม่หนักข้น สบายผิว ใช้ได้แม้กับผิวที่ค่อนไปทางมัน ปกป้องผิวจาก PM2.5 ด้วย

d program : Whitening Clear Emulsion จะเป็นตัวเนื้อกลาง ๆ ผิวธรรมดา ผิวผสม ผิวค่อนไปทางแห้งเล็กน้อยใช้ได้

สำหรับกันแดดโดยส่วนตัวปูเป้จะใช้ในวันที่แดดแรงจัดมากจริง ๆ ถ้าแดดไม่แรงมาก จะใช้การกางร่ม หลบแดดเป็นหลัก

เหตุผลที่เราเลือกที่จะไม่ทากันแดดและหลบแดดแทนถ้าไม่เจอแดดหนักมาก เพราะเราถือว่าความเสียหาย อนุมูลอิสระ พอลดได้ด้วยสารบำรุงที่เราลงไปก่อนหน้า แต่ถ้าเป็นสิว การอักเสบของสิว ก่อปัญหาให้เราแบบเห็นชัดกว่า เราถือว่าเป็นการยอม trade-off กัน ในเวลาที่ไม่ปกตินี้

Eucerin : Sun Serum Double Whitning SPF50+ PA+++ ถ้าใช้ตัวนี้คือจะลงแค่โลชั่นน้ำผสมบูสเตอร์ และทาตัวนี้แทนมอยซ์เจอไรเซอร์ไปเลยสำหรับคนผิวค่อนไปทางมัน เพราะมีความเคลือบผิวในระดับหนึ่งจากคุณสมบัติในการทนน้ำทนเหงื่อ วันที่เราออกไปยิมตอนบ่ายจะทาตัวนี้

– ถ้าต้องออกจากบ้านไปอีเวนต์ ไปซื้อของ อยากได้กันแดดที่สบายผิว และแทนขั้นตอนของมอยซ์เจอไรเซอร์ ก็ยังคงใช้ Biore : UV Kids SPF50+ PA++++ อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกฮอล์ กันน้ำและเหงื่อกรุบกริบ

จุดที่มักแห้งกร้านมากกว่าส่วนอื่น หรือส่วนที่ไม่ได้อยู่ใต้หน้ากาก ก็สามารถบำรุงได้ตามปกติ อย่างรอบดวงตา ช่วงเดือนนึงที่ผ่านมาเราลองใช้ Clarins : Total Eye Lift ที่เขาส่งมาให้ สิ่งที่เราถูกใจอย่างนึงคือ 1 ปั้ม ให้ปริมาณที่กำลังดีในการใช้ เพราะบางตัวที่เคยใช้กดมาทีนึงให้มาเยอะราวกับเรามีดวงตาที่สามอยู่กลางหน้าผาก

เรารู้สึกว่าปัญหารอยคล้ำใต้ตามีน้อยเมื่อเทียบกับการพักผ่อน การนอนที่แย่ของเรา หลังจากทามันจะเซ็ทตัวเป็นฟิลม์ ตึง ๆ เงา ๆ เล็กน้อยเพื่อช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน เราไม่ค่อยชอบการเซ็ทตัวแบบนี้เท่าไหร่ในตอนแรก แต่ถ้าตบแป้งฝุ่นก็กลบได้ แต่พอใช้ไปนาน ๆ เข้าก็รู้สึกว่า texture ผิวรอบดวงตามันละเอียดดีขึ้น ก็ถือว่าเราพอใจนะ อันนี้เอามาเล่าให้ฟังเผื่อใครจะสนใจ

เหตุผลที่เราไม่อยากให้คุณพยายามทาอะไรที่มันเคลือบผิวมากไปตอนออกจากบ้าน เพราะว่าพอถึงจุดนึงที่คุณเข้าที่ทำงาน ในสถานที่ ๆ คุณสามารถถอดหน้ากากได้ ถ้าผิวคุณรู้สึกว่ามันแห้งหรือได้รับความชุ่มชื้นไม่พอ เราสามารถเติมความชุ่มชื้นในระหว่างวันได้

เพื่อให้เติมความชุ่มชื้นในระหว่างวันโดยรู้สึกสบายผิว ไม่หนักไป เราแนะนำให้ใช้ทิชชู่สะอาด นุ่ม ๆ ซับความชื้น เหงื่อ หรือความมันบนผิวออกก่อน แล้วค่อยลงสเปรย์ลงไปด้วยจ้า

ถ้าผิวหน้าคุณมีความมัน แต่รู้สึกว่าผิวต้องการความชุ่มชื้น ตัวที่เราคิดว่าเหมาะคือ Institut Esthederm : Cellular Water Mist เพราะใช้ไฮยาโมเลกุลเล็กและมีเนื้อที่ไม่หนึบ ไม่เคลือบผิวเพิ่ม ไม่เพิ่มความรู้สึกเงามันบนผิว

ตัวที่ให้ความชุ่มชื้นที่ดีอีกตัวหนึ่งคือ Eucerin : Hyaluron Mist Spray ยิ่งพ่นเติมจะยิ่งเพิ่มการเก็บกักได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตัวนี้จะเคลือบผิวมากกว่าตัวก่อนหน้านิดหน่อย

ถ้าอยากได้ตัวที๋ฉ่ำผิวหน่อย เคลือบผิวในระดับหนึ่ง เพิ่มคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว ต้านการระคายเคือง เราแนะนำให้ลอง Free Plus :Mild Shower

สเปรย์บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นสูงและกลบความรู้สึกแห้งไม่สบายผิวได้อยู่หมัด ก็คือ Curel : Deep Moisture Spray แต่จะรู้สึกลื่น ๆ ผิวหน่อย

Luxes : 2 Second Detox เป็นเซรั่มในรูปแบบสเปรย์ สารบำรุงอยู่ในรูปแบบไลโปโซม ซึมเข้าผิวดีมาก ช่วยต้านการระคายเคืองผิว ฟื้นฟูผิว เสริมการต้านอนุมูลอิสระ ตัวนี้เราใช้เป็นตัวบำรุงผิวตอนที่หน้ายังเป็นรูเป็นสะเก็ดหลังยิง E-Matrix เพื่อช่วยให้ความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวด้วย โดยที่เราไม่ต้องเอามือมาลูบมาทาหน้าโดยไม่จำเป็น ในแง่ของความปลอดภัยมันก็ค่อนข้างเซฟเลยล่ะ

แต่ส่วนตัวสำหรับเราเองเราว่าราคามันแรงไป แต่ถ้าคุณทุนหนา และไม่อยากได้แค่เติมความชุ่มชื้น แต่เหมือนเติมเซรั่มบำรุงผิวในระหว่างวันได้ ก็เป็นอีกตัวนึงที่ดีให้เลือกใช้

หลังจากกลับมาถึงบ้าน เราแนะนำให้รีบเช็ดทำความสะอาดเมคอัพ ล้างหน้า เพื่อไม่ให้หมกหน้านานเกินไป

ช่วงที่ผ่านมาเราใช้ IPSA : Luminizing Clay เป็นประจำ สัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง หลังล้างหน้าสะอาดแล้ว โดยทาในลักษณะเป็นวงกลมให้ทั่วใบหน้า จะเป็นสครับผิวเนื้อละเอียด หลังจากนั้นก็พอกทิ้งไว้ 5 นาที เพื่อดูดเอาน้ำมันส่วนเกิน ทำความสะอาดผิว แล้วก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด (ในรูปเป็นแพคเกจเก่านะ เราซื้อมาจาก IPSA Outlet Store ใน LINE ปัจจุบันนี้เปลี่ยนแพคเกจเป็นหลอดสีขาวแล้ว)

ส่วนตอนกลางคืนเราก็บำรุงจัดเต็มได้ตามปกติ หรือเพื่อช่วยฟื้นฟูในส่วนของที่อาจจะต้องตัดบางอย่างไปในตอนกลางวัน สามารถใช้พวก BHA / AHA หรือ Retinol หรือตัวที่ลดการอุดตันเพื่อช่วยประคองผิวให้อุดตันได้น้อยลง ในเวลากลางคืนเป็นหลักมากกว่า ตอนกลางวันขอเน้นเบา ไม่เยอะขั้นตอน ไม่ระคายผิวเป็นหลัก

ถ้ามีการอักเสบ มีหัวสิว หัวหนองเกิดขึ้นแล้ว แนะนำให้ใช้แผ่นแปะสิวเพื่อปกป้องผิวบริเวณนั้นไม่ให้สกปรก หรือมีการเสียดสีมากขึ้นจนอักเสบจ้า มีติดกระเป๋าไว้เปลี่ยนแผ่นใหม่ในระหว่างวันด้วยก็ดี

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็จะเป็นการลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาผิว หรือช่วยแก้ปัญหาได้ส่วนหนึ่ง สิวอาจจะโผล่ขึ้นมาได้บ้างประปราย คนที่เป็นสิวง่ายจะเข้าใจดี แต่เราจะรู้วิธีจัดการอย่างถูกต้องและประคองผ่านสภาพที่ไม่ปกตินี้ไปได้โดยที่ไม่ทิ้งความเสียหายมากจ้า

(รูปจากกล้องหน้าไอโฟน ปรับแค่ White Balance นิดหน่อย แต่ไม่มีรีทัชลบรอยหรือลบสิวจ้า)