นี่เป็นรีวิวที่อั้นเอาไว้เกือบครึ่งปี เพราะว่าได้ลองผลิตภัณฑ์ตัวนี้มาตั้งแต่ตอนไปงานเปิดตัวใหม่ของ IPSA ที่โตเกียวเมื่อช่วงปลายพฤศจิกายนของปีก่อน และพึ่งจะเปิดตัวในไทยในวันที่ 5 พฤษภาคมนี้นี่แหล่ะ ซึ่ง IPSA : Essence Lotion Ultimate เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาเติมพอร์ตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับบนที่เน้นเรื่องริ้วรอยของแบรนด์ให้ครบขึ้น และวันนี้จะมาบอกเล่าเทคโนโลยีเบื้องหลัง และความเห็นจากการทดลองใช้ของปูเป้นะฮะ

แต่ก่อนที่จะไปถึงตัวรีวิวก็ขอเกริ่นเรื่องงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบคร่าว ๆ ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ไปที่บ้านของ IPSA ในโตเกียวและสถาบันวิจัยของเครือชิเซโด้ที่โยโกฮาม่าเลย  ได้ไปเห็นอุปกรณ์แปลก ๆ และนักวิจัยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ IPSA ซึ่งมาอธิบายและสาธิตเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ และปูเป้ก็ได้รับคำตอบในหลายสิ่งที่มีคำถามในใจมานานจากการไปทริปในครั้งนี้

โดยในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ไปเข้าร่วมครั้งนี้มีการสื่อสารในเรื่องของ Cellular Senescence และ SASP ที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมชราของเซลล์ เนื่องจากส่วนผสมใหม่ที่เป็นตัวชูโรงในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ต้องการพูดถึง ซึ่งสองคำนี้ในบ้านเรายังไม่ได้ถูกพูดถึงกันนักในหมู่ผู้บริโภคทั่วไป แต่ค่อนข้างเป็นคำใหญ่ในคอมมูนิตี้ความงามของประเทศจีนที่เป็นตลาดใหญ่และสำคัญของแบรนด์  ดังนั้นก่อนที่จะเข้าไปสู่รีวิวก็อยากจะอธิบายเรื่องนี้เพื่อความเข้าใจในหลักพื้นฐานพอหอมปากหอมคอก่อน

Cellular Senescence & SASP

ปูเป้สรุปและถอดความส่วนหนึ่งมาจากบรรยายของ Dr. Judy Campisi ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Aging ที่อธิบายว่า Cellular Senescence หรือกระบวนการเสื่อมของเซลล์เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันเยอะมากในช่วงที่ผ่านมา เพราะกระบวนการนี้เป็นภาวะอันซับซ้อนที่เซลล์ถูกกระตุ้นโดยความเครียดและปัจจัยลบจนก่อให้เกิดการเสื่อมถอยที่ก่อให้ก่อความชราและโรคต่าง ๆ มากมาย  

Source : Strategies for targeting senescent cells in human disease. Nat Aging. 2021 Oct;1(10):870-879. doi: 10.1038/s43587-021-00121-8.

แต่ในอีกด้านนั้น Cellular Senescence ก็เป็นกระบวนการตอบสนองทางชีวภาพที่จำเป็นต่อการพัฒนาตัวของตัวอ่อน การสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และควบคุมเซลล์ในสิ่งมีชีวิตระยะเริ่มต้น ที่ทำให้คนอายุน้อยเป็นมะเร็งในสัดส่วนที่น้อย   เรียกได้ว่ากระบวนการ Cellular Senescence เป็นผลจากการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่คอยควบคุมให้คนเด็กหนุ่มสาวนั้นแข็งแรง แต่เมื่อเราแก่ตัวลงผลในด้านลบของมันก็ค่อยเผยออกมาในรูปของความเสื่อมถอยและโรคภัยไข้เจ็บมากมาย

กระบวนการเสื่อมของเซลล์จึงเป็นเหมือนดาบที่มีคมสองด้าน ในด้านที่ดีของ Cellular Senescence มีประโยชน์กับเราดังที่กล่าวมาข้างต้น และเมื่อมันทำงานของมันเสร็จก็จะถูกจัดการด้วยระบบภูมิคุ้มกันของเราเพื่อให้ทุกอย่างอยู่ในภาวะสมดุล แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น และถูกกระตุ้นจากปัจจัยลบ จะเกิดการสะสมของ Senescent Cell เพิ่ม หลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ และทำให้เซลล์รอบ ๆ เกิดความผิดปกติไปด้วย

ส่วน SASP (Senescence-Associated Secretory Phenotype) อ่านว่า แซสพ์ คือโมเลกุลที่เซลล์หลั่งออกมา  ไม่ว่าจะเป็น Cytokine เอย Growth Factor เอย Protease เอย และอีกมากมาย ซึ่งส่วนมาก (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) ก่อให้เกิดการอักเสบ (Infammation) ที่เรารู้กันดีว่าก่อให้เกิดการเสื่อมชราและความเสียหาย แต่ในทางตรงกันข้ามกระบวนซ่อมแซมต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นไม่มีสัญญาณที่กระตุ้นการอักเสบเหล่านี้เช่นกัน

Source : Inflammation and aging: signaling pathways and intervention therapies Signal Transduct Target Ther. 2023 Jun 8;8(1):239.

ดังนั้นแนวทางในการหยุด SASP ทั้งหมดเพื่อชะลอโรคและความชราจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และการยับยั้ง Senescence Cell ทั้งหมดก็ไม่ได้แปลว่าจะเกิดผลดี เพราะการทดสอบที่ทดลองเอา Senescence Cell ออกจากบาดแผลก็พบว่าทำให้การเยียวยาบาดแผลช้ากว่าปกติ   แต่หากมีการสะสมของ Senescence Cell มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะมีการผลิต SASP ที่กระตุ้นการอักเสบสะสมเรื่อย  ๆ จนทำให้เกิดการเสื่อมชราจากการอักเสบ ที่เรียกกันว่า Inflammaging

เหตุผลที่เรื่องของ Cellular Senescence และ SASP ถูกพูดถึงกันมากในระยะหลังเพราะว่ามันนำมาสู่แนวทางใหม่ในเรื่อง Senolytics หรือการหาวิธีเลือกจัดการเฉพาะ Senescent Cell ที่ต้องการเพื่อหวังผลที่แน่นอน และ Senomorphics ที่เลือกเฉพาะ SASP บางส่วนที่ต้องการจัดการ  (ซึ่งการใช้ Exosome ในการเป็นระบบนำส่งสารชีวโมเลกุลไปยังอวัยวะหรือเซลล์เป้าหมายก็เป็นแนวทางที่ได้รับความสนใจกันอย่างมาก และเป็นที่พูดถึงกันในวงการความงาม) แต่อย่างไรก็ดีปัจจุบันเรายังต้องการศึกษาและทำความเข้าใจอีกมากในเรื่องนี้ครับ

บทความเชิงวิชาการที่รวมความเข้าใจในปัจจุบันให้พอเห็นภาพกว้าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ Cellular senescence: the good, the bad and the unknown ซึ่งกดลิ้งไปลองอ่านกันดูได้ครับ

Product’s Formula

ในแง่ของส่วนผสมหลักและเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ IPSA : Essence Lotion Ultimate (150ml / 3,200 BAHT)  นั้นจะมีหลายตัว แต่ไฮไลท์ที่แบรนด์ชูก็คือ Myrothamnus Flabellifolia Leaf/Stem Extract ส่วนผสมใหม่ล่าสุดที่พึ่งเคยเห็นใช้เป็นครั้งแรกใน IPSA และในเครือ Shiseido ทั้งหมด เป็นสารจากพืชที่ได้ชื่อว่าเป็น Resurection Plant เพราะเป็นพืชในท้องถิ่นที่มีความแห้งแล้งยาวนานถึง 7 เดือน แต่เมื่อเจอฝน ใบที่ดูเหี่ยวแห้งเหมือนตายแล้วจะฟื้นกลับคืนมาเป็นใบเขียวได้อีกครั้ง  ปูเป้ได้ก้านของพืชชนิดนี้มาเมื่อเอาไปแช่น้ำ จากสภาพที่เหมือนแห้งตายแล้ว กลับมาฟูเป็นใบเขียวภายในวันเดียวเลยล่ะ

ข้อมูลจากการไปร่วมงานแถลงข่าวที่โตเกียวบอกว่า สารตัวนี้ช่วยลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับ NF-κB (Nuclear Factor-kappa B) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวสำคัญที่ควบคุมการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับ SASP

NF-κB เป็นโมเลกุลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบ ซึ่งจะถูกกระตุ้นจากหลายปัจจัย อย่างเช่นมลภาวะ รังสี UV โดยจะส่งสัญญาณให้เซลล์ผลิต SASP ออกมา  ซึ่งทางแบรนด์ก็เคลมว่าส่วนผสมตัวนี้ยังมีคุณสมบัติในการแสดงออกของ MMP-1 ซึ่งเป็นหนึ่งใน SASP อีกด้วย ซึ่งส่วนตัวปูเป้มีความเห็นว่า กลไกที่เกี่ยวกับการอักเสบของเซลล์ และเอนไซม์ MMP-1 เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วใน วงการเครื่องสำอาง การโยงเรื่อง SASP จึงดูเป็นการเชื่อมโยงกับเทรนด์เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารในเชิงการตลาดครับ

ส่วนผสมตัวนี้ใหม่มากในเครือชิเซโด้และส่วนตัวยังไม่สามารถหาข้อมูลหรือสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องได้เลย และยังไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นมากนัก  แต่ส่วนตัวเดาว่าส่วนผสมตัวนี้คือ MYRAMAZE® ที่ผลิตโดยบริษัท Rahn AG ซึ่งเคลมถึงคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์ มอบความชุ่มชื้นสูงและยาวนาน เพราะในพืชตัวนี้มีปริมาณโพลีฟีนอลมากถึง 40% ของน้ำหนัก (Dry mass) และมีปริมาณ Trehalose ที่สูงมาก

AMINO5IN เป็นส่วนผสมที่อัพเกรดขึ้น โดยยืนพื้นจากกรดอะมิโน 5 ชนิด ซึ่งทางแบรนด์นำเสนอมาตั้งแต่ช่วงปี 2010 ซึ่งมีที่มาจากการศึกษาเกี่ยวกับกรดอะมิโนที่เครือชิเซโด้ร่วมกับมหาวิทยาลัยคิวชู ได้ค้นพบและเผยแพร่เป็นครั้งแรกว่าในผิวหนังของมนุษย์ก็มีกรดอะมิโนในรูป แบบ D-Form ซึ่งพลิกความเชื่อที่มีมาก่อนหน้านั้นว่าในมนุษย์เรามีแต่กรดอะมิโนแบบ L-Form โดยในผลิตภัณฑ์ใหม่มีการเพิ่มส่วนผสมของสารสกัดมาอีกสองชนิด  

Arginine HCL เป็นส่วนผสมที่เคลมถึงคุณสมบัติในการต้านไกลเคชั่นที่ทำให้โปรตีนผิวเสื่อมและเหลืองคล้ำ มีข้อมูลจากแหล่งอื่นในการศึกษาชิ้นนึงมีการทดสอบโดยใช้ Arginine กับ Meglumine พบว่าลดการเกิด AGEs ได้เมื่อเทียบกับครีมที่ไม่มีสารดังกล่าว  นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่ชี้ว่าเมื่อทาลงไปบนผิวแล้วจะเพิ่มปริมาณ Urea ในผิวชั้นหนังกำพร้าได้ซึ่งทำให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น 

Betaineหรือ Trimethylglycine เป็นส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นและช่วยปรับลดความเหนอะหนะของผลิตภัณฑ์ได้

Glutamic Acid ในที่นี้มีความเป็นไปได้ว่าอาจหมายถึง D-Glutamic Acid เนื่องจากเครือชิเซโด้ได้ตีพิมพ์การศึกษาที่ชี้ว่า D-Glutamic Acid นั้นเสริมการฟื้นตัวของชั้นปราการปกป้องผิวได้ ด้วยกลไกการบล็อค Glutamate Receptor เพื่อลดความผิดปกติของระดับแคลเซียมในเซลล์เคราติโนไซด์ซึ่งการศึกษาชี้ว่าสัมพันธ์กับการพัฒนาตัวอย่างเป็นปกติของผิวชั้นนอก

Hydroxyproline เป็นกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของคอลลาเจน ทางแบรนด์เคลมถึงการช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจน จากการพยายามลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นก็พอจะมีการศึกษาที่ชี้ว่า การทาครีมที่มีส่วนผสมของ 0.5% Hydroxyproline นั้นทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นได้เมื่อเทียบกับตัวควบคุม แต่ข้อจำกัดของการศึกษานี้คือไม่ได้ทำการเทียบกับ Placebo การที่ริ้วรอยดูตื้นขึ้นอาจจะมาจากคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นที่ทำให้ผิวดูอิ่มฟูก็ได้

Serine เป็นส่วนผสมที่เคลมถึงคุณสมบัติในการเสริมการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน มีข้อมูลการศึกษาที่อธิบายกลไกเอาไว้ว่า กรดอะมิโนตัวนี้มีคุณสมบัติในการจับกับแคลเซียม ซึ่งผลกับระดับแคลเซียมที่ทำให้การยึดเหนี่ยวของโปรตีน Desmocollin และ Desmoglein ที่มีส่วนสำคัญในการยึดโครงสร้างของเซลล์เคราตินนั้นคลายตัวออก  มีการศึกษาที่ชี้ว่าเมื่อนำ Serine  มาพ่วงกับ Arginine จะเสริมการแทรกผ่านชั้นผิว และการละลายในไขมันได้มากขึ้นอีกด้วย

Iris Florentina Root Extract  สารสกัดจากรากของต้นไอริสนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกในเซรั่มของ Ultimune รุ่นสองของ Shiseido เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ที่มาของสารสกัดตัวนี้นั้นมาจากการศึกษาเพื่ออธิบายกลไกเรื่องความเสื่อมชราของ Stem Cell ในชั้นผิวด้วยเทคนิคการตรวจจับที่ชิเซโด้พัฒนาขึ้นเอง และพบว่ารูปทรงของ Stem Cell ของผิวอย่างเซลล์ Fibroblast ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจน อีลาสติน ไฮยาลูโรนิคแอซิด และโมเลกุลที่สำคัญต่อโครงสร้างชั้นผิว ที่มีความอ่อนเยาว์นั้นจะมีรูปทรงแขนของเซลล์ (Dendrite) เหยียดยืด ต่างจากเซลล์ที่เสื่อมชราที่แขนของเซลล์เหล่านี้จะหดสั้นกว่า  เซลล์ที่ชรานี้ยังผลิตสารที่ส่งผลลบต่อเซลล์ที่ยังแข็งแรงอ่อนเยาว์อยู่ให้ผลิตเอนไซม์ที่ไปทำลายคอลลาเจนและโครงสร้างผิวให้มากขึ้น การผลิตคอลลาเจนและโมเลกุลที่สำคัญน้อยลง จนทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและสูญเสียความยืดหยุ่นเต่งตึง

การศึกษานี้ยังพบอีกว่า Stem Cell ที่อยู่รอบ ๆ ต่อมไขมัน (Sebaceous Gland) แม้จะมีปริมาณที่ลดลงตามวัย แต่ยังคงสภาพที่สมบูรณ์และมีอยู่กันอย่างหนาแน่นกว่าในผิวส่วนอื่น (นี่อาจเป็นอีกเหตุผลที่คนผิวมันดูแก่ช้ากว่าคนผิวแห้งก็เป็นได้ต่อมไขมันขั้นผิวที่อยู่ใต้รูขุมขนจึงเป็นเหมือนแหล่งสำรอง (reservoirs) เซลล์ที่แข็งแรงและเป็นเป้าหมายสำคัญของเทคโนโลยีสกินแคร์ เพราะการส่งส่วนผสมสำคัญให้ลงไปในผิวชั้นที่ลึกได้โดยมีระยะทางที่สั้นที่สุด คือเอามันแทรกลงไปในรูขุมขนและส่งผ่านชั้นผิวในรูขุมขนที่อุดมไปด้วยต่อมไขมันนั่นเอง  การค้นพบนี้เผยความเข้าใจกลไกที่สำคัญของผิว และได้รับรางวัลชนะเลิศในงาน IFSCC Congress ซึ่งเป็นงานใหญ่ยักษ์ของวงการวิทยาศาสตร์ด้านผิวพรรณและความงาม เมื่อปี 2018 เลยล่ะ

ทางศูนย์วิจัยของชิเซโด้จึงเอาความเข้าใจที่ค้นพบใหม่นี้มาทำการสกรีนส่วนผสมและพบว่าสารสกัดจากรากต้นไอริสนั้นสามารถไปทำงานในส่วนนี้เพื่อไปทำให้เซลล์แข็งแรงไปลดผลกระทบจากเซลล์ที่เสื่อมชรา  ผลก็คือช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น ผิวทำงานในแบบที่ควรเป็น ซึ่งจะช่วยให้สารสำคัญอื่น ๆ ที่เราทาลงไปและจำเป็นต้องให้เซลล์ไปผลิตนั่นผลิตนี่ ทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง ส่วนผสมนี้ถูกจดสิทธิบัตรเอาไว้แล้วตามระเบียบ

Gardenia Florida Fruit Extract   เป็นสารสกัดจากผลของ Gardenia Jasminoides ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าช่วยต่อต้านริ้วรอยด้วยการกระตุ้นการสร้าง Collagen-I  จากการหาข้อมูลเพิ่มเติมก็เจอการศึกษาชี้ว่าสารสกัดจากพืชชนิดนี้อุดมไปด้วยสารชีวเคมี ซึ่งตัวสำคัญตัวหนึ่งอย่าง Crocin ก็มีข้อมูลที่ชี้ว่าสามารถเสริมการแสดงออกของยีน Collagen-I  มีข้อมูลที่ชี้ว่าช่วยปกป้องเซลล์จากการต้านอนุมูลอิสระ และกลไกต้านการอักเสบ  บังมีการการศึกษาจากญี่ปุ่นที่ชี้ว่าสารสกัดจากพืชนี้มีคุณสมบัติในการต้านไกลเคชั่นของโปรตีนผิว โดยสารสำคัญคือ Genipin และ Crocetin  ซึ่งฟังดูดีแต่ยัง ต้องมีการศึกษาแบบ In-Vivoในมนุษย์อีกในอนาคต

ส่วนผสมสำคัญในสูตรยังมีสองตัว อย่าง Sapindus Mukorossi Peel Extract ส่วนนี้ทางแบรนด์เคลมว่าเสริมการแสดงออกของ PAD1 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทางเครือ Shiseido ได้ศึกษาและพบว่าเกี่ยวข้องกับการผลิต Natural Moisturizing Factor  และได้ยื่นจดสิทธิบัตรเอาไว้  นอกจากนี้ในข้อมูลยังชี้ว่าส่วนผสมทางเขาพัฒนาขึ้นเองอย่าง Aqua In Pool ( PEG/PPG-17/4 Dimethyl Ether & PEG/PPG-14/7 Dimethyl Ether) ที่เป็นส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นในสูตร ก็มีคุณสมบัติในการกระตุ้น PAD1 เช่นกัน

ตัวสุดท้ายคือ Sophora Angustifolia Root Extract  เป็นส่วนผสมที่เคยมีใน ME Ultimate สูตรเก่าและถูกถอดออกไปในสูตรปัจจุบัน  ตัวนี้เคลมถึงคุณสมบัติในการต้านเอนไซม์ Elastase เพื่อช่วยคงความยืดหยุ่นของผิวตามที่เคยระบุเอาไว้ในเอกสารจดสิทธิบัตร  ส่วนข้อมูลจากภายนอกก็มีการศึกษาที่ชี้ว่าสารสกัดตัวนี้มีคุณสมบัติในการเป็นไวท์เทนนิ่งได้ด้วยกลไกลดการผลิตเมลานินและลดการส่งผ่านเมลานิน

Ingredients : Water, Dipropylene Glycol, Glycerin, PEG-8, PEG/PPG-17/4 Dimethyl Ether, 1,2-Hexanediol, Isodecyl Neopentanoate, PEG-32, PEG-6, Phenoxyethanol, PEG-150, Carbomer, Dimethicone, Glyceryl Diisostearate, PEG/PPG-14/7 Dimethyl Ether, PEG-10 Dimethicone, Butylene Glycol, Potassium Hydroxide, Acrylates/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer, Disodium EDTA, Lauryl Betaine, Hydroxyproline, Arginine HCI, Betaine, Serine, Propanediol, Sodium Polyacrylate, Gardenia Florida Fruit Extract, Iris Florentina Root Extract, Sapindus Mukorossi Peel Extract, Myrothamnus Flabelliolia Leaf/Stem Extract, Ascorbic Acid, Citric Acid, Sodium Benzoate, Sophora Angustifolia Root Extract, Tocopherol, Glutamic Acid.

Usage & Result

การใช้ IPSA : Essence Lotion Ultimate นั้นสามารถใช้ได้ทั้งการเทลงบนฝ่ามือในปริมาณที่พอเหมาะ ส่วนตัวปูเป้ใช้ขนาดประมาณเหรียญ 5 – 10 บาท แล้วประคบให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ซึ่งวิธีนี้จะให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำและนุ่มผิว หรือจะเทลงบนสำลีและลูบเกลี่ยให้ทั่วอย่างเบามือ  ซึ่งวิธีนี้จะให้สัมผัสที่ชุ่มชื้นแบบสดชื่นและมีความบางเบากว่า อยากแนะนำให้ลองดูทั้งสองแบบว่าลองแล้วชอบแบบไหน ก็ใช้ตามที่ตัวเองชอบได้เลยครับ

ต้องบอกว่าเนื้อสัมผัสของ IPSA : Essence Lotion Ultimate นั้นทำมาได้ดีมาก ๆ คือมีเนื้อที่เข้มข้นเหมือนเซรั่ม ชุ่มฉ่ำเหมือนโลชั่นน้ำ  มอบผิวสัมผัสในตอนท้ายที่นุ่มผิวโดยไม่ทิ้งความหนึบเหนียวหรือมันวาว  ซึ่งโดยปกติแล้วส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นมีแนวโน้มจะทิ้งความหนึบเหนียวบนผิว และเมื่อพยายามลดความเหนียวด้วยการใช้ออยล์หรือซิลิโคนก็อาจทิ้งความวาวมันเหนอะหนะได้ถ้ามากเกินไป  แต่ตัวนี้ทำมาได้ลงตัวมาก ๆ และคิดว่าเนื้อสัมผัสแบบนี้ใช้ได้กับสภาพผิวที่หลากหลาย และน่าจะถูกใจกลุ่มผู้ใช้ไม่ว่าจะเพศไหนครับ  ผู้ชายที่โกนหนวด ตัวนี้ใช้เป็น after shave พร้อมบำรุงผิวไปได้เลยก็ได้เหมือนกัน

นอกจากนี้ยังมีข้อดีที่สูตรมีความอ่อนโยนกับผิว ปราศจากส่วนผสมของสี น้ำหอม แอลกอฮอล์ที่ทำให้ผิวแห้ง  ปูเป้เจอปัญหาผิวระคายเคืองจนเกิดตุ่มรูขุมขนอักเสบเมื่อช่วงก่อนหน้าทำรีวิวนี้ไม่นานตามที่โพสเอาไว้ใน Facebook Page  แต่แม้ผิวจะพัง ก็ยังใช้คงผลิตภัณฑ์ IPSA : Essence Lotion Ultimate และ  IPSA : ME Ultimate e ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่เสริมความแข็งแรงของผิวตัวอื่น ๆ จนกลับมามีสภาพที่ดีขึ้นได้ในเวลาไม่นานครับ

ส่วนตัวปูเป้ลองใช้ Essence Lotion Ultimate หมดไปขวดนึงแล้ว รู้สึกว่าตัวนี้ตอบโจทย์สภาพผิวที่เปลี่ยนไป ซึ่งแห้งและมีสัญญาณของริ้วรอยมากขึ้นตามช่วงวัย เอสเซนส์โลชั่นที่มอบความชุ่มชื้นและชดเชยน้ำมันพร้อมนำพาส่วนผสมของสารบำรุงผิวที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีเฉพาะ จึงนำไปเสริมพลังเข้ากับสกินแคร์ที่ใช้อยู่ได้เป็นอย่างดีเลยครับ ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่ม Ultimate ในส่วนของสกินแคร์ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 ชิ้นครับ ซึ่งอิมัลชั่นที่ยืนพื้นในขั้นตอนการบำรุงผิวสำหรับปูเป้มานานหลายปีคือ ME Ultimate e เพราะให้การบำรุงเสริมคุณภาพผิวในหลายมิติ  และตอนนี้ก็มี Essence Lotion Ultimate มาเสริมทัพเพิ่มเข้าไป  ส่วน Ultimate Cream อันนี้สำหรับคนที่ลง ME Ultimate e แล้วการบำรุงรุงยังไม่เข้มข้นพอ ผิวมีแนวโน้มแห้งมาก ๆ  ต้องการอะไรที่เข้มข้น ก็จะผายมือไปที่อันนี้ครับ

Conclusion

โดยสรุปแล้ว IPSA : Essence Lotion Ultimate เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมาได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะเนื้อสัมผัสที่น่าประทับใจมาก และส่วนผสมหลักที่ใช้ก็ต้องบอกเลยว่าผิดคาด เพราะนอกเหนือจากส่วนผสมหลักและสารให้ความชุ่มชื้นที่คาดหวังว่าจะพบอยู่ในกลุ่ม Ultimate อยู่แล้ว ทางแบรนด์ได้เอาสารสกัดจากรากไอริสที่แต่เดิมเคยถูกสงวนเอาไว้แต่ในผลิตภัณฑ์เซรั่มของแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมและเพรสทีจในเครือเท่านั้น มาอยู่ในเอสเซนส์โลชั่นตัวนี้ด้วย เรียกได้ว่าถ้ามองในแง่ของสารแอคทีฟ นี่เหมือนกับเป็นการเอาเซรั่มของแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมของเครือมาอยู่ในร่างของโลชั่นน้ำให้สมกับชื่อ ที่ไม่ใช่แค่โลชั่นน้ำแต่มอบสารบำรุงเทียบกับเซรั่มบำรุงผิว

IPSA : Essence Lotion Ultimate วางจำหน่ายในราคา 3,200 บาท ปริมาณ 150 มิลลิลิตร สำหรับใครที่สนใจสามารถหาซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ IPSA ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และใน Central Online รวมถึงช่องทางออนไลน์ของแบรนด์อย่าง Lazada ซึ่งมีโปรโมชั่นดี ๆ อยู่เรื่อย ๆ ด้วยล่ะ  ยังไงก็สามารถติดตามข่าวสารของทางแบรนด์ได้ทาง Facebook : IPSA Thailand ด้วยนะฮะ

สำหรับคำถามว่า “จะแพ้มั้ย” “ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?” เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง

***Sponsored Item***

IPSA : Essence Lotion Ultimate
Price : 150ml / 3,200 BAHT
Skin Type : All Skin Type
Outstanding : Hydration, Light-Weight Nourishment , Anti-Aging, Antioxidation

IPSA : Essence Lotion Ultimate
FORMULA
GENTLENESS
SENSORY
RESULT
PUPE LOVE IT
PROS
  • เนื้อสัมผัสดีเยี่ยม สารบำรุงเลิศ สมชื่อเอสเซนส์โลชั่น
  • อ่อนโยนกับทุกสภาพผิว แม้ตอนปูเป้ผิวพังก็ยังใช้ต่อได้
  • สำหรับผู้ชายที่ไม่ชอบใช้อะไรเยอะ และไม่ได้มีปัญหาผิวอะไรมาก นี่เป็นกึ่งออลอินวันโลชั่น เซรั่ม และอิมัลชั่นบางเบาสำหรับคนผิวมันถึงมันมากได้ในตัว
CONS
  • ส่วนผสมสำคัญบางตัวยังไม่มีข้อมูลจากแหล่งอื่นมาสนับสนุนคุณสมบัติที่ทางแบรนด์เคลมไว้
4.3Overall Score

Related Posts