
ส่วนตัวปูเป้เคยกิน Scotch Aora ซึ่งเราชอบมากเลยนะ แต่ว่าตัวใหม่นี้มันต่างไป ส่วนประกอบหลัก ๆ ในนี้ก็มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ คอลลาเจน กับโคเอนไซม์ Q10 แล้วก็สารสกัดจากซีบัคธอร์น ซึ่งปูเป้ไปหาข้อมูลมาให้เกี่ยวกับส่วนผสมหลักสามชนิดที่ว่านี้

การรับประทานคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลที่ทำการศึกษานั้นอยู่ที่ 5,000 – 10,000 มิลลิกรัม โดยกลุ่มทดสอบที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีเป็นต้นไป จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่องความชุ่มชื้นและความนุ่มของผิวได้มากกว่ากลุ่มอายุที่น้อยกว่า 30 ปี ซึ่งไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อมองในเชิงสถิติ
ส่วนตัวปูเป้กินคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลมาได้สามปีกว่า ๆ แล้วล่ะ โดยกินวันละ 5,000 มิลลิกรัม บางทีก็กินไปถึง 10,000 ก็มี แต่จะไม่กินมากกว่านี้แล้วเพราะมองว่าการศึกษามันทำมาแค่นี้ก็กินแค่นี้พอ โดยส่วนตัวพอใจกับผลที่ได้ของการกินคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลนะ ผิวมันจะนุ่มและชุ่มชื้นมากขึ้น ผิวหน้าจะไม่ค่อยค่อยรู้สึกหรอก (เพราะทาเยอะ) แต่ผิวตัวจะรู้สึกได้ชัด (เพราะเราบำรุงผิวตัวน้อยกว่าผิวหน้า) แต่กว่าจะรู้สึกได้ก็ไม่ใช่กินแค่3 วัน 7 วัน นะจ๊ะ ต้องกินติดต่อกันเกือบเดือนขึ้นไปเลยล่ะ
ที่เน้นว่าต้องเป็นคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล เพราะว่าผลิตภัณฑ์คอลลาเจนนั้นสามารถสกัดจากพวก หมู วัว หรือไก่ก็ได้ ซึ่งมีราคาถูกกว่า แต่ว่าโครงสร้างคอลลาเจนจากสัวต์เหล่านี้จะถูกย่อยและตแกตัวได้ยากกว่าคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล ทำให้การดูดซึมจึงได้ไม่ดีเท่านั่นเอง
(เนื่องจากคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลนั้นแพงกว่า ผู้ผลิตที่ใช้คอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลมักจะนำมาเป็นจุดขายโดยการระบุที่ชัดเจนว่าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก บลา ๆ ๆ อะไรก็ว่ากันไป แต่หากผลิตภัณฑืที่มีส่วนผสมแต่ไม่ระบุว่ามาจากแหล่งใดก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นคอลลาเจนที่ได้จากหมู วัว ไก่ก็ได้)

การศึกษาที่ทำในประเทศไทยโดย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อปี 2009 ผสม Coenzyme Q10 เข้ากับสารแอนติออกซิแดนท์อื่น ๆ กับแร่ธาตุและ Glycosaminoglycans เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์พบว่าริ้วรอยเล้ก ๆ และความหยาบกร้านของผิวดีขึ้น แต่ก็ยากที่จะสรุปว่านี่เป็นผลที่ได้จาก Coenzyme Q10 เป็นหลักรึเปล่า แต่อย่างไรก็ดีการกิน Coenzyme Q10 ก็มีประโยชน์ในแง่ของสุขภาพอื่น ๆ ด้วย
(Source : Coenzyme Q10, The combined use of oral and topical lipophilic antioxidants increases their levels both in sebum and stratum corneum., An oral nutraceutical containing antioxidants, minerals and glycosaminoglycans improves skin roughness and fine wrinkles.)

ผลของ Sea Buckthorn มีคุณค่าทางอาหารสูง มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 15 เท่า และยังประกอบไปด้วยวิตามินอีกหลายชนิด กับกรดอะมิโน รวมไปถึงสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ แคโรทีนอยด์ โพลีฟีนอล และไลโคปีน เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงในแถบอเมริกาและยุโรปเนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่สูงมากจนถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน Super Fruit เลยทีเดียว ทำให้มีการนำมาใช้ในวงการความงามกันอย่างแพร่หลาย เช่นเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมไปถึงมีการนำน้ำมันสกัดและสารสกัดจาก Sea Buckthorn มาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวอีกด้วย
ทว่าการศึกษาผลของการรับประทาน Sea Buckthorn เพื่อความงามของผิวนั้นมีอยู่ไม่มาก ส่วนตัวปูเป้หาเจออยู่อันเดียวคือเขาบอกว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ผสมคอลลาเจนกับสารสกัดของ Sea Buckthorn และ Bluberry จะช่วยลดผลกระทบของรังสี UV ที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้ แถมยังลดการแสงออกของ MMP-1 และ MMP-9 (เอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายโครงสร้างโปรตีน ซึ่งในที่นี้คือพวกคอลลาเจนในผิว) และเพิ่มการทำงานของ Superoxide Dismutase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เป็นแอนติออกซิแดนท์ของเซลล์ตามธรรมชาติอีกด้วย แต่การศึกษานี้ทำในสัตว์ทดลอง ทำให้โดยรวมแล้วเราก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเท่าไหร่ว่ามันกินกับคนแล้วจะได้ผลขนาดไหน แต่ด้วยคุณค่าทางอาหารและสารประกอบที่มีคุณค่าใน Sea Buckthorn นั้นมีมากมาย ในอนาคตคงมีการศึกษาใหม่ ๆที่ทำให้เราได้รู้ถึงศักยภาพที่ผลไม้สีส้มนี้สามารถทำได้มากขึ้น
(Source : Remedial Prospective of Hippophae rhamnoides Linn. (Sea Buckthorn), UV radiation-induced skin aging in hairless mice is effectively prevented by oral intake of sea buckthorn (Hippophae rhamnoides L.) fruit blend for 6 weeks through MMP suppression and increase of SOD activity.)


