ถึงเวลาของ PuPe’s Favorite ประจำปีอีกครั้ง และปูเป้ต้องขอบคุณทุกข้อความที่แสดงความสนใจว่าเมื่อไหร่ของปี 2019 จะออกมาเพราะว่าอั้นเอาไว้รอจดลิสต์ไปช็อปปิ้งแล้ว ปูเป้ดีใจมาก เลยนะครับที่ได้รับความไว้วางใจ เชื่อใจ ว่าสิ่งที่เราเลือกมันต้องเป็นของดีแบบดี๊ดีจริง แต่ในขณะเดียวกันเราก็แอบรู้สึกกดดันเหมือนกันนะ

ทุก ครั้งในแต่ละปีที่ผ่านไป มาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่เรารู้สึกว่ามันดีมาก เราถูกใจ มันจะถูกตั้งเอาไว้สูงขึ้นเพราะเทคโนโลยีใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ก็ทำมาได้ดีกว่าเดิม และนอกเหนือจากตัวผลิตภัณฑ์ที่คัดเลือกมาแล้วนั้น วิธีการนำเสนอก็พยายามทำมันด้วยมาตรฐานที่สูงขึ้นเสมอ โดยเฉพาะการถ่ายรูปที่พยายามให้มันดูออกมาดีที่สุด แม้ว่าจะมีคำถามและเสียงเรียกร้องว่าอยากเห็นว่าจะมีผลิตภัณฑ์บางกลุ่มที่เราจะมาแนะนำเป็นพิเศษไหม แต่สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ การทำ PuPe’s Favorite มันคือความชอบของเรา ตัวตนของเรา ของตัวปูเป้เอง ถ้าเรารู้สึกว่าในปีนั้นมันไม่เจออะไรที่เด็ดหรือถูกใจจริง ในบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ เราก็จะไม่พยายามทำให้มันมี เราก็จะโบ๋ ข้ามไปเลย จึงเป็นเหตุผลที่บางปีอาจไม่มีผลิตภัณฑ์ประเภทอายครีม หรือกันแดดใหม่ หรืออื่น มาแชร์ เพราะเรายังไม่เจออะไรที่เราถูกใจเทียบเท่าหรือมากไปกว่าตัวเดิมที่เราใช้อยู่  ผลิตภัณฑ์ที่เราชอบคือความชอบของเรา ไม่ใช่การพยายามเอาใจคนดู หรือเอาใจลูกค้า

ปกติทุกครั้งปูเป้มักจะเริ่มต้นด้วยการ Recap ว่าในปีนั้นมีเรื่องราวอะไรสำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิต บทเรียนอะไรที่เราเรียนรู้ มีเรื่องราวอะไรที่อยากจะมาบอกเล่า แต่ปีนี้ตัดสินใจไม่พูดดีกว่า เพราะมันคงจะยาวไปมาก แต่อยากจะบอกว่า ไม่ว่าทุกคนจะผ่านอะไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา เราเข้าใจ และเราอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน และเราในฐานะคนที่มีเสียงดังหน่อย มีคนที่ติดตามเราจะใช้ช่องทางที่เรามีในการเผยแพร่ความคิด แนวคิด เพื่อที่จะจุดประกาย สร้างความตระหนัก และหวังว่ามันจะช่วยผลักดันสังคมให้ไปสู่หนทางที่สุดท้ายแล้วมันทำให้เราได้อยู่ในสังคม ในเมือง ที่เป็นมิตรกับเรามากขึ้น

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้ต่อไป แล้วก็ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้กับปูเป้ด้วยเช่นกันครับ  ยังไงหวังว่าทุกคนจะอ่านหรือรับชม PuPe’s Favorite 2019 ด้วยความสุข และขอให้เครื่องสำอางช่วยโอบกอดปลอบโยนและมอบพลังให้เราทุกคนก้าวไปสู่อนาคตอย่างมีความหวัง

รักและห่วงใยเสมอ / PuPe_so_Sweet


รูปแบบ Video ก็ทีนะฮะ

VDO : Part 1
– Introduction
– Makeup Remover
– Facial Cleanser
– Toner / Water Lotion / Treatment Essence
– Everyday Serum
– Facial Oil

VDO : Part 2
– Moisturizer
–  Eye care
– Anti-Aging
– Whitening
– Leave-on Mask
– Sunscreen
– Facial Mist

VDO : Part 3
– Hydrating Mist
– Base Makeup
– Body Care
– Hair Care

Makeup Remove

Bioderma :Hydrabio H2O (500ml = 950 BAHT) จำได้ว่าเคยซื้อมาจากฮ่องกงเมื่อหลายนานมากมาแล้ว แต่ไม่ได้ใช้ เก็บลืมจนต้องโละแจกชาวบ้าน พึ่งได้มาลองตอนนี้และพบว่าถ้าไม่นับเรื่องที่มันมีผสมน้ำหอมมาหน่อย แต่มันให้ฟีลหลังเช็ดที่ชุ่มชื้นผิวมากกว่าสูตรชมพู ซึ่งเหมาะกับผิวที่ขาดความชุ่มชื้นได้ง่ายอย่างเรามากทีเดียว (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Preview ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

THREE : Balancing Cleansing Oil R (185ml = 1,900 BAHT) สูตรใหม่ของออยล์ล้างหน้าในดวงใจของใครหลายคน แม้โทนกลิ่นจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยและในใจเราจะชอบกลิ่นของสูตรเก่ามากกว่านิดหน่อยตรงที่กลิ่นซิตรัสมันเด่นกว่านิดนึง แต่โดยรมมันก็ยังเป็นกลิ่นที่ทำให้เรารู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ใช้ แถมสูตรใหม่มีเนื้อออยล์ที่นุ่มละมุนกว่า มีความเป็นธรรมชาติมากถึง 100% และผ่านมาตรฐานเครื่องสำอางออร์แกนิคที่ออกโดย ECOCERT ด้วย ออยล์ตัวนี้ทำออกมาให้ใช้คู่กับโฟมล้างหน้าสูตรใหม่ของเขาได้อย่างลงตัวมาก (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Preview ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Facial Cleanser

THREE : Balancing Foam R (150ml = 1,600 BAHT) ตอนที่เห็นว่าโฟมสูตรใหม่ของกลุ่มบาลานซิ่งเป็นแบบปี้มโฟมสำเร็จที่ใช้สารทำความสะอาดแสนจะอ่อนโยนเราแทบจะก้มกราบ สิ่งนี้แหล่ะที่เรารอมานาน จะใช้หลังจากออยล์ก็ลงตัวดี ผิวจะนุ่มลื่นเหมือนไขปอกแต่ไม่แห้งตึง จะใช้ล้างหน้าเดี่ยว ในตอนเช้าก็ช่วยให้รู้สึกตื่นสดชชื่นแจ่มใส เลิฟ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Preview ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

d program : Urban Damage Care Foaming Wash (150ml = 850 Baht) เป็นโฟมล้างหน้าแบบปั้มโฟมสำเร็จที่ดีมากอีกหนึ่งตัว เรื่องความอ่อนโยนกับผิว ไม่แห้งตึงเห็นผลแน่นอน กลิ่นอ่อน ด้วยน้ำมันผิวส้มแบบบางมาก ส่วนเรื่องจะล้างมลภาวะออกได้ดีแค่ไหนเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผิวเราแฮปปี้กับสิ่งนี้ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Preview ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

FreePlus : Mild Soap A (100g = 630 BAHT) เคยเห็นทัวร์จีนรุมกวาดตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ได้ซื้อกลับมา พอได้ลองก็เข้าใจว่าเออทำไมมันขายดี เพราะเนื้อโฟมบีบมากระจายตัวกับน้ำได้ง่าย ให้ฟองปริมาณกำลังดี ล้างออกได้ฟีลที่รู้สึกไม่ลื่นผิว แต่ไม่แห้งตึง นุ่ม กำลังดี ไม่มีน้ำหอม อ่อนโยนกับทุกสภาพผิวที่แท้ทรู (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Simple : Water Boost Micellar Facial Gel Wash (150ml = 279 BAHT) เจลล้างหน้าแบบมาตรฐานตัวนี้เหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวที่มีปัญหาขาดน้ำ ไม่มีน้ำหอมด้วย เราลองแล้วชอบตัวนี้มากกว่าสูตรสีเขียวล่ะ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Preview ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Clinique For Men : Super Energizer Anti-Fatigue Exfoliating Powder Cleanser (50g = 1,420 BAHT) ผงล้างหน้าตัวนี้มีความคล้ายผงล้างหน้า Fresh Pressed แบบซองมาก (คือไม่เห็นส่วนผสมเป็นเปอร์เซนต์ที่แน่นอน จึงไม่สามารถฟันธงได้ว่ามันเหมือนกันเด๊ะ แต่ถ้าหลับตาใช้บอกตรง ว่าเราแยกไม่ออก ซึ่งรูปแบบขวดนี้อาจจะไม่ได้พกพาไปเดินทางไปท่องเที่ยวง่ายเหมือนแบบซอง แต่ในแง่ของสิ่งแวดล้อมมันก็ลดปริมาณขยะโดยไม่จำเป็น แถมราคาต่อปริมาณที่ได้ก็เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าสตางค์กว่ามาก เป็นผงล้างหน้าที่ดี แอบมีความเป็นสครับเบา หลังจากผสมน้ำ ใช้แล้วผิวรู้สึกสดใสดี และล้างออกโดยให้ความรู้สึกที่สะอาดโดยไม่ดึงน้ำมันผิวออกมากเกินไป ปราศจากน้ำหอม 100% ตามสไตล์ของแบรนด์นี้ ผู้ชาย ผู้หญิง LGBT Non-binary ใช้ได้หมดจ้าาาาา

Toner / Water Lotion / Treatment Essence

POLA : BA Lotion (120ml = 7,200 BAHT)ในบรรดาโลชั่นน้ำที่ลองมาหลายตัว ตัวนี้เป็นหนึ่งในชิ้นที่มีราคาสูงติดเป็นอันดับต้น เลย แต่ในทางกลับกันก็เป็นตัวที่ใช้ปริมาณต่อครั้งเพียง 2 ปั้ม และได้ความชุ่มชื่นฉ่ำผิวและคุณภาพผิวที่ดูอิ่มเอิบได้เด่นสุดเหมือนกัน เนื้อใสแต่มีบอดี้และเข้มข้น ใช้เวลาในการประคบกับผิวอยู่นานกว่าโลชั่นตัวอื่น  คือถ้ามีเงิน และไม่อยากใช้ขั้นตอนเยอะ แต่ได้ผิวที่อิ่มเอิบชุ่มชื้นดูดี เรามักจะผายมือไป POLA ขอแค่สลัดภาพจำว่าเป็นแบรนด์ป้า ในอดีตทิ้งไป เขามีเทคโนโลยีสกินแคร์เด็ด เยอะเลยนะ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

D program : Acne Care Lotion(125ml = 1,190 Baht) หนึ่งในสุดรักปีก่อน และปีนี้ก็ยังต้องให้อีก เพราะหมดแล้วต้องซื้อซ้ำ โลชั่นบาง ที่เสริมความแข็งแรงของผิว ต้านการอักเสบ เหมาะสำหรับผิวเป็นสิวง่ายแบบเรา และด้วยความที่มันไม่มีน้ำหอม เรามักจะใช้มันเป็นเบสโลชั่นในการผสมกับน้ำมันบำรุงผิวเพื่อจำลองการใช้สกินแคร์แบบ Bi-Phase ที่เราชอบล่ะ  (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Fresh : Black Tea Kombucha Facial Treatment Essence ( 150ml = 2,900 Baht) ช่วงไหนมลภาวะมาหนัก นี่คือสิ่งที่เราจะใช้เพื่ออัดความชุ่มชื้นเพื่อลดผลกระทบจาก PM2.5 ใช้เงินเข้าสู้ด้วยการเทใส่แผ่นมาส์กอัดเม็ดแล้วโปะมันเข้าไป ผิวจะฉ่ำน้ำสดชื่นสุด (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

IPSA : Clear Up Lotion 2 (150ml / 1,600 BAHT) ตอนที่เราไปตรวจสภาพผิวก่อนที่จะลองเซรั่มตัวใหม่ของ IPSA พบว่าสภาพผิวคือเละเทะมากอันเป็นผลจากไปท้องร่วงเสียน้ำจนเกือบช็อคที่เชียงราย ไหนจะทั้งงาน ทั้งเรื่องปวดหัว นอนไม่เป็นเวลา พนักงาน IPSA ยืนยันเลยว่ายังไงตอนนี้คุณปูเป้ต้องใช้เบอร์ 2 ค่ะ เก็บเบอร์ 1 สำหรับผิวผสมถึงมันเอาไว้ก่อนนะคะ เราก็ทำตาม ใช้เบอร์ 2 คู่กับ IPSA Serum 0 เพียง 2 สัปดาห์ผ่านไปกลับมาตรวจสภาพิว โอ้โห ภาพขยายจากกล้องเห็นชัดเลยว่าเนื้อผิวเราดีขึ้นจริง ความชุ่มชื้นพุ่งแบบเราเองยังตกใจ เพราะสิ่งที่เปลี่ยนมีแค่โลชั่นนี้กับเซรั่ม นอกนั้นเราใช้ทุกอย่างเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม มันทำให้เราตระหนักจริงๆ นะว่าเออ ด้วยวัย 37 ใกล้จะ 38 เต็มที ผิวเราต้องการน้ำมันหล่อเลี้ยงมากกว่าเดิมจริง

Everyday Serum

fresh : Vitamin Nectar Glow Juice Antioxidant Face Serum (15ml = 1,200 BAHT) มันคือเซรั่มแบบ Bi-Phase ที่ไม่ต้องเขย่า เพราะเขากระจายส่วนของน้ำมันในรูปของหยดเล็ก เอาไว้ก่อนแล้ว สิ่งนี้เป็นเหมือนคอกเทลวิตามินและสารแอนติออกซิแดนท์สำหรับใช้ประจำวัน เนื้อดีม๊ากกกกก กลิ่นสดชื่นม๊ากกกกกกกก  ใช้แล้วตื่น ใช้แล้วมีความสุข  ถ้ามีเงินเหลือแบบใช้ทิ้งขว้างได้ก็อยากจะโชลมทั้งร่างด้วยสิ่งนี้ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

The Ordinary : Marine Hyaluronics (30ml = 8US$)  มันคือคอกเทลสารกลุ่มน้ำตาลเชิงซ้อนที่มาจากสาหร่ายและแบคทีเรียใต้ทะเล ผสมเข้ากับกรดอะมิโนและสารกลุ่ม Natural Moisturizing Factor อีกหลายตัว ทั้งหมดมีคุณสมบัติในการเติมความชุ่มชื้นเป็นอย่างดี ซึ่งข้อดีที่เราชอบมากคือมันไม่หนืด ไม่หนึบผิวแบบพวกไฮยาลูโรนิคแอซิดเข้มข้น จะใช้โดยตรงกับผิวหรือผสมเข้ากับโลชั่นน้ำ หรือเซรั่มอื่น ที่เราชอบก็ได้

MizuMi : One-Drop Power Hydrate Serum (25ml = 890 BAHT) เป็นเซรั่มให้ความชุ่มชื้นอีกตัวหนึ่งที่ให้ความชุ่มชื้นได้ดีและเลเยอร์กับสกินแคร์ได้ง่าย ไม่หนึบเกินและไม่หนักผิวไป ใช้ได้แม้กับผิวรอบดวงตา ตรงไหนที่มักจะแห้งกร้านได้ง่าย หรือทายาแต้มสิวแล้วมีลอก เอาไปแตะ เติมได้เลย (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Facial Oil

PAÑPURI : REVIVE ArunaYouth™ Complex Bakuchiol Age Delay Night Oil (30ml = 3,200  BAHT) จริงๆ เราแอบตัดสินใจอยู่นานว่าจะยัดมันอยู่ในหมดน้ำมันบำรุงผิวหรือ Anti-Aging ดี เพราะว่าแอคทีฟหลักของมันคือ Bakuchiol ที่เรากำลังอินมาก เพราะมันช่วยทั้งเรื่องของริ้วรอย ต้านแบคทีเรีย ลดสิวไปได้ด้วยในตัว  เนื้อออยล์ตัวนี้เบลนด์มาดี มีสารต้านการระคายเคือง และน้ำมันที่เสริมคามแข็งแรงของผิว และกลิ่นหอมบางๆ ผ่อนคลายมาก ทาง PAÑPURI ชวนเราไปนวดหน้าด้วยออยล์ตัวนี้ สาดแบบไม่ยั้ง กลับถึงบ้านล้างหน้าตอนกลางคืน โอ้โห ผิวหน้าสมูทเนียนขึ้นแบบรู้สคกได้ถึงความแตกต่าง ตอนออกจากบ้านลูบหน้าล้างหน้ามันไม่ใช่แบบนี้ ประทับใจมากจริง (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

THREE : Balancing SQ Oil R (30ml = 4,500 BAHT) สูตรใหม่ไม่ได้มีแค่น้ำมันและกลิ่นที่หอมผ่อนคลายชวนหลับ แต่ใส่แอคทีฟที่ช่วยต่อต้านริ้วรอยมาด้วย ที่สำคัญคือกลิ่นชัดกว่าเดิมซึ่งเราชอบมาก (เพราะคิดว่าเดิมมันอ่อนไปหน่อย) ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ทำให้เราทดลองใช้ออยล์เป็นขั้นตอนแรกก่อนลงโลชั่นน้ำ และเราต้องแปลกใจที่มันกลับไม่ทำให้ผิวเหนอะหรือหนักจนเลเยอร์สกินแคร์ได้ยากแบบที่คิดเอาไว้ แต่กลับได้ผิวที่นุ่มและสบายหน้ามาก (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Preview ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Kiehl’s : Cannabis Sativa Seed Oil Herbal Concentrate (30ml = 49US$) น้ำมันกัญชงอันอุดมไปด้วย CBD ซึ่งหาซื้อได้อย่างถูกกฏหมายในอเมริกา และที่น่ายินดีคือไทยเองก็ผ่านกฏหมายให้ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอางได้แล้วเพียงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้นถึงจะขายได้ ดังนั้นเราอยากจะบอกว่าคนที่มีผิวอักเสบง่าย เป็นเซปเดิร์ม หรือมีปัญหาทั้งสิวและผิวที่ไม่แข็งแรงไปพร้อมกัน น่าจะรักน้ำมันตัวนี้มากเลยล่ะ ยังไงรอดูนะว่าแบรนด์ไทยแบรนด์ไหนจะมีมาให้พวกเราเลือกใช้เป็นแบรนด์แรก สำหรับใครที่อยู่อเมริกาและมีสภาพผิวดังที่กล่าวมาขอให้ลองจ้า กลิ่นอาจจะไม่ค่อยหอมเท่าไหร่แต่เรายอมอ่ะ เวิคร์มากในยามผิวมีปัญหา

Facial Moisturizer

BIODERMA : Sébium Sensitive (30ml = 890 BAHT) สิ่งที่เราชอบคือมันเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวง่าย ที่เซ็ทตัวแบบไม่มันวาว แต่เคลือบผิวให้ความชุ่มชื้นได้โอเคเลยล่ะ คือคนกังวลเรื่องความมันของผิวแต่ก็มีปัญหาผิวขาดน้ำไปด้วยตัวนี้จะเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ที่ตอบโจทย์ทั้งสองอย่าง และช่วยลดสิวเม็ดเล็ก ได้ ด้วยตัวเอง และใช้ร่วมกับยารักษาสิวอื่น อย่าง Differin ได้ด้วย (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

CLINIQUE : clinique iD™ (125ml = 1,900 BAHT) เป็นการหาวิธีขายมอยซ์เจอไรเซอร์สูตรที่มีอยู่เดิมเอามาเพิ่มเติมบูสเตอร์ได้อย่างชาญฉลาด ทั้งในแง่ของคอนเซปต์ บรรจุภัณฑ์ และส่วนผสม ส่วนตัวเราชอบบูสเตอร์สีขาว กับสีม่วง กับเบสเนื้อเจลลี่ใส แต่ขวดนี้เป็นขวดที่เราได้มาจาก New York และมีสกรีนชื่อเราที่ข้างขวดด้วย จึงเป็นขวดที่เราอยากเอามาอวด (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Preview ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Fresh : Lotus Youth Preserve Dream Night Cream (50ml = 2,250 BAHT) เป็นครีมที่เราใช้โดยไม่แคร์ส่วนผสมอะไรเลย แค่ลองปาด กลิ่นหอมพีชแบบที่เรารัก ผสานกับเนื้อครีมที่ชุ่มชื้นและเซ็ทตัวให้รู้สึกสบายผิวในยามค่ำคืน เป็นการจบขั้นตอนการบำรุงผิวก่อนเข้านอนที่ฟินจริง แค่นี้ก็ควักใช้จนหมดกระปุกแล้ว

Eye Care

Clarins : Hydra-Essentiel Moisturizing Reviving Eye Mask (30ml = 1,850 Baht) มาส์กบำรุงความชุ่มชื้นแบบเร่งด่วนใน 10 นาทีแล้วเช็ดออก หรือจะทาหนาหน่อยใช้เป็น Overnight Mask ก็ได้ แต่ส่วนตัวเราใช้มันเป็นอายครีมตามปกติทั้งเช้าและก่อนนอนเลย มันช่วยให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นดีโดยไม่หนักหรือมันเลื่อมเกินไป ช่วยให้ตาไม่ค่อยคล้ำมากนักแม้จะมีตารางการเข้านอนที่ไม่วินัยเท่าไหร่เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง แถมยังเป็นบรรจุภัณฑ์แบบหลอดที่ใช้สะดวกและสะอาดกว่าแบบกระปุก ในปริมาณที่มากกว่าอายครีมทั่วไปถึงเท่าตัว (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

KANEBO : Wrinkle-Lift Serum (20ml = 4,900 BAHT) เซรั่มเนื้อครีมเข้มข้นสำหรับจุดที่ต้องการดูแลเรื่องริ้วรอย แต่ส่วนตัวเราพบว่ามันใช้เป็นอายครีมได้ดีมาก มันพลิกผิวรอบดวงตาที่เหี่ยวกร้านในช่วงที่ผิวแห้งจากการเริ่มกลับเข้าฟิตเนสและชอบเข้าซาวน่าและห้องสตรีมเพื่อคลายกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Anti-Aging / Healing

Clinique : Fresh Pressed Clinical™ Daily and Overnight Boosters With Pure Vitamins C 10% + A (Retinol) (Medium Pack [Vit A x2 + Vit C x2] = 3,600 BAHT / Small Pack  [Vit A x1 + Vit C x1] = 1,800 BAHT)สองส่วนผสมที่ได้รับการยอมรับที่สุดในวงการสกินแคร์อย่าง Vitamin C กับ Retinol ในความเข้มข้นที่คาดหวังผลได้จริง ทั้งเรื่องริ้วรอย ความกระชับ ความกระจ่างใสของผิว แต่มันก็เป็นสกินแคร์ที่ผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจสักหน่อย โดยเฉพาะตัว Retinol ที่อาจจะต้องปรับตัวในการใช้กันบ้างเพราะมันมีโอกาสระคายเคืองผิวได้ง่ายกว่าส่วนผสมอื่น   ราละเอียดในการใช้เราอยากให้อ่านเพิ่มเติมจากรีวิวล่ะ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

CLINIQUE : Fresh Pressed™ Repair Clinical MD Multi-Dimensional Age Transformer – Revolumize  (50ml = 3,600 BAHT) มอยซ์เจอไรเซอร์รุ่นนี้ออกมาพร้อมกัน 2 สูตร แต่จากที่ลองแล้วส่วนตัวชอบใช้ Revolumize มากกว่า เพราะหลังจากจัดฟันเสร็จ แก้มหายไปเยอะมาก เราอยากได้ความอิ่มเอิบของผิว ซึ่งสิ่งนี้ตอบโจทยืเรามากกว่าอีกสูตรนึงล่ะ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

IPSA : Serum 0 (50ml = 3,500 BAHT) เซรั่มสำหรับคนขยัน เพราะสิ่งนี้โดยลำพังมันจะแค่เสริมเรื่องความแข็งแรงของระบบลำเลียงเพื่อขจัดของเหลวส่วนเกินใต้ผิวอันจะเสื่อประสิทธิภาพลงจากวัยที่เพิ่มขึ้นและความเสียหายจากรังสี UV จำเป็นต้องทำคู่กับท่านวดเป็นประจำทุกครั้ง ซึ่งปกติปูเป้เป็นคนที่นวดกดจุดเพื่อไล่น้ำเหลืองลดการบงมน้ำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอใช้เซรั่มตัวนี้คู่กับท่านวดของเขาซึ่งทั้งง่ายและใช้เวลาน้อยกว่าปกติที่เคยทำ แต่กลับรู้สึกได้เลยว่าอาการบวมน้ำใต้ผิวลดลง กรอบหน้าเราชัดขึ้น และผิวสดใสขึ้น (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

LANCOME : Advanced Genifique Youth Activating Concentrate (30ml = 3,200 BAHT , 50ml = 4,700 BAHT) สูตรใหม่ล่าสุดของ Genifique ที่เพิ่มสารสกัดจากแบคทีเรียชนิดดีและสารกลุมน้ำตาลที่เสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน เพื่อคืนสมดุลของ Microbiome บนผิวให้ผิวเราแข็งแรง อ่อนเยาว์ และสุขภาพดีขึ้นมากกว่าสูตรเดิม คือสูตรเดิมก็ดีอยู่แล้วนะ แต่ลังโคมต้องอัพเกรด เพราะถ้าไม่อัพเกรดน้องนุชที่มาทีหลังจะเด่นกว่าในทันใด

Biotherm : Life Plankton Elixer น้องนุชสุดสวยขวดนี้คือ Advanced Genifique สูตรเก่าเอามาเพิ่ม Life Plankton 5% แถมยังยัดไฮยาลูโรนิคมาทั้งขนาดเล็กและใหญ่ เรียกได้ว่าถ้าพี่สาวอย่างลังโคมไม่ปรับสูตรใหม่ก็เรียกได้ว่าแพ้ย่อยยับไม่ต้องขายของกันเลยทีเดียว  แต่ถึงน้องนุชขวดนี้จะไม่ได้ชื่อว่ามี Probiotic + Prebiotic หลากชนิดที่สุดแบบ Genifique สูตรใหม่ แต่ Life Plankton นี่แหล่ะคือ Probiotic ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ Biotherm อย่างแท้ทรู ขวดนี้วางขายในต่างประเทศตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2019 แล้ว ส่วนในไทยได้ข่าวว่าขายในไตรมาสแรกปี 2020 จ้า 

แต่สรุปง่าย คือเทคโนโลยีใน Genifique เดิมมันก็ลดเรื่อง Reactive Skin ช่วยเสริมผิวแข็งแรง ลดการระคายเคืองอยู่แล้ว Life Plankton 5% ก็เป็นตัวแม่ในการต้านการอักเสบและเยียวยาผิวบวกเข้าไปอีก บอกได้เลยว่าศึกสองพี่น้องร่วมบ้านลอรีอัลนี้สูสีแบบกินกันไม่ลง

Whitening / Brightening

Eucerin : UltraWhite+ Spotless Spot Corrector (5ml = 1,155 BAHT) ตั้งแต่ใช้ไวท์เทนนิ่งมา ตัวนี้เป็นตัวที่จุดด่างดำจากเมลานินได้ดีที่สุดเท่าที่เราเคยลองมาเลยล่ะ คือจางลงแบบรู้สึกได้เลย ส่วนตัวไม่มีปัญหาเรื่องผิวหมองเท่าไหร่ จะมีเรื่องรอยสิวและพวกกระมากกว่า ตัวแต้มแบบนี้จึงตอบโจทย์เราที่สุด เราใช้แต้มตรงที่เป็นสิวอักเสบมาก ด้วยเพื่อป้องกันการเกิดรอบดำหลังการอักเสบ ซึ่งช่วยได้มาก รอยดำจากสิวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าก็จางลงไวเลยล่ะ

IPSA : White Process OP (20ml = 2,200 Baht / 50ml = 4,500 Baht) นอกจากเรื่องของเมลานิน ตัวนี้จะเด่นเรื่องการลดโทนเหลืองและโทนแดงของผิวที่ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ซึ่งสารไวท์เทนนิ่งที่ใช้ตัวนี้ไม่ซ้ำกับตัวแต้มที่พูดถึงก่อนหน้านี้ เราจึงใช้มันคู่กันและเสริมกันได้เป็นอย่างดี ให้ผลที่ครบวงจร  ถ้าสกินแคร์ขั้นตอนอื่น ๆที่ใช้อยู่มี Niacinamide จะเสริมกันไปได้อีก เลิศมาก (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

BK : Acne Expert Bright(30g = 389 Baht) แบรนด์ของคนไทยที่ทำสูตรตัวนี้ออกมาได้น่าประทับใจ เรียกได้ว่าสินค้าทั้งหมดที่เขาส่งมาให้ลอง ตัวนี้แหล่ะคือช้างเผือก มันเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับทุกสภาพผิวแม้แต่ผิวบอบบาง (ผิวมันอาจจะใช้แค่ตอนกลางคืนเป็นไนท์ครีม หรือทาในปริมาณที่น้อยหน่อย) ซึ่งมีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบของผิว ลดการเกิดรอยสิว และช่วยลดรอยสิวได้ในตัว ในราคาเบา กับบรรจุภัณฑ์แบบหลอดปั้มที่สะอาดดี  เป็นอีกตัวที่เราแนะนำรัว ในปีนี้ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Leave-on Mask

fresh : Rose Deep Hydration Sleeping Mask (2 x 35ml = 2,050 BAHT) ปีนี้ส่วนใหญ่ใช้กรรมเก่าของบรรดามาส์กที่ซื้อตุนเอาไว้ซะมากกว่า ตัวที่ได้ลองใหม่ในปีและใช้บ่อยจริง ในปีนี้คือมาสก์กุหลาบเวอร์ชั่นสำหรับยามขี้เกียจตัวนี้ เพราะว่าเราชอบใช้ในวันที่แบบไม่เอาแล้ว เหนื่อย ง่วง ขี้เกียจ อยากรีบปีนขึ้นเตียงนอน แต่จะไม่ทาอะไรเลยตื่นมาหน้าจะเหี่ยวแห้งมาก ตัวนี้เหมาะมาเพราะแค่ซับหน้าให้แห้งหลังล้างหน้า ปาดส่วนเนื้อเจลน้ำกุหลาบลงบนผิวแล้วปาดส่วนเนื้อครีมล็อคความชุ่มชื้นเอาไว้ ผิวฉ่ำเอาอยู่ทั้งคืนตื่นมาผิวเด้งสดใสไม่เหี่ยวแห้ง แถมยังหอมสบายอีกด้วย (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Face Sunscreen

Eucerin : UltraWhite+ Spotless Day Fluid UVA/UVB SPF30 (1,890 Baht = 50ml) เราใช้ตัวนี้บ่อยมากในยามที่ไม่ต้องลองผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งอื่นๆ เพื่อทำรีวิว เพราะมันทำให้ชีวิตเราง่าย รวบทั้งขั้นตอนของมอย์เจอไรเซอร์และกันแดดและไวท์เทนนิ่งในขั้นตอนเดียวในวันที่ไม่ต้องออกไปเจอแดดจริงจัง ออกจากบ้านไปงาน ไปอีเวนต์ ไปยิม กลับจากยิม ตัวนี้พอแล้ว ไม่แห้งจนแมทไม่สบายผิว แต่ก็ไม่หนักไปจนมันเลื่อม สารกันแดดครบและเสถียรด้วย มีน้ำหอมแต่เราโอเคกับกลิ่นนี้นะ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

d program : Allerdefense Essence SPF 46 PA+++ (40ml = 990 Baht) เมื่อไหร่ที่ค่ามลพิษในอากาศขึ้นสีส้ม ก็ถึงเวลาที่ต้องหยิบสิ่งนี้มาใช้ปกป้องผิว มันได้ผลจริง และสิ่งที่ค่อนข้างแปลกใจคือปกติกันแดดเนื้อเขย่า แบบนี้เราใช้แล้วมักจะเป็นสิวอุดตันถ้าใช้ติดต่อกันทุกวัน แต่ตัวนี้กลับไม่ก่อปัญหาให้เราแฮะ ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื้อเอสเซนซ์บางและทึบน้อยกว่าเนื้อครีม และใช้คู่กับไพรเมอร์สีพีชเพื่อช่วยดรอบความขาวให้กลมกลืนกับผิวได้ง่ายกว่าเนื้อครีม จึงเป็นออพชั่นสำหรับคนที่ผิวอาจจะไม่ขาวมากและใช้เนื้อครีมไม่ไหว (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Kiehl’s : Ultra Light UV Defense Aqua Gel SPF50 PA++++ (30ml = 1,400 BAHT)ในที่สุดแบรนด์สุดที่รักก้ได้เนื้อกันแดดแบบเจลมาใช้สักที เอาจริง มันมีออพชั่นอื่นจากแบรนด์ในเครือที่ก็เนื้อคล้าย กันนี่แหล่ะ แถมไม่มีน้ำหอมเหมือนกันด้วย ในราคาที่ถูกกว่าหน่อย แถมยังเคให้ Favorite ไปแล้วด้วย แต่เรารักคีลส์ไง ยังไงเราก็อยากอุดหนุนแบรนด์ที่เรารักอยู่ดี

Lip Care

CLINIQUE : Moisture Surge  Lip Treatment (10ml = 700 BAHT) ได้ลองตอนไปนิวยอร์ค กับไฟลท์บินรมต่อเครื่องเกือบ 24 ชั่วโมง ตัวนี้ช่วยให้ปากไม่แห้ง ชุ่มชื้นได้ตลอดไฟลท์ ติดค่อนข้างทนเลยล่ะ

Curel : Moisture Lip Care Balm (4.2g = 850 YEN) ตัวนี้จะคล้ายๆ ลิปบามนีเวียเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่เราเคยให้ Favorite ไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่อันนี้จะมีความเข้มข้นและเคลือบผิวมากกว่าอีกหน่อย อยู่ทน อยู่นาน โดยไม่ดูเลื่อมมันจนเกินไป ไม่มีรส ไม่มีกลิ่นด้วย ยังไม่มีขายในไทยจ้า

Hydrating Mist

Eucerin : Hyaluron Mist Spray (150ml = 550 BAHT / 50ml = 220 BAHT) เอาไว้ใช้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แบบชุ่มชื้นจริงจัง มีขายนานแล้วแต่เราพึ่งเคยมาใช้เมื่อต้นปีนี้ แล้วก็ชอบมันมากเลย

FreePlus : Mild Shower (165g = 690 BAHT / 50g = 260 BAHT) ลูกรักในไตรมาสสุดท้ายของปี ด้วยละอองที่แสนละเอียด และกระป๋องที่แม้แต่คว่ำขวดก็ยังฉีดได้ สเปรย์นี้จึงไม่ได้มีแค่สำหรับผิวหน้า แต่กับส่วนไหนก็ได้ของร่างกาย แม้แต่จุดที่ปกติเราทาไม่ถึงอย่างแผ่นหลัง เห็นสเปรย์ฝอยละเอียด น้ำใสๆ ไม่หนึบนี้ แต่มันให้ความชุ่มชื้นดีมากจริง อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอมอีกเช่นเคย

Base Makeup

THREE : Pristine Complexion Veil (30g = 1,600 ABHT) เป็นเมคอัพเบสสีพีชที่ไม่ทึบ เน้นการปรับโทนผิว ซึ่งเหมาะมากในการกลบความขาวของสารกันแดดแบบ Physical โดยไม่รู้สึกว่าทำให้หน้าดูหนาหรือดูเป็นการแต่งหน้า ใช้ง่ายแม้แต่คนที่ไร้ทักษะในการแต่งหน้าแบบเรา

KANEBO : The Primer (27ml = 4,200 BAHT) นี่คือนิยามของ My skin but better!!! เป็นไพรเมอร์ที่กดมาตอนแรกก็แอบตกใจ ทำไมเนื้อมันดูแน่นขนาดนี้ มันต้องไม่เวิคร์กับเราแน่เลย แต่พอปาดไป อุ๊ โอ๊ะ อู้ว โอ้ววววว มันกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับผิว มันทำให้รูขุมขนที่ดูบานเบิกเลือนหายไป มันทำให้สีผิวที่หมองดูสดใสขึ้น แต่ทั้งหมดนี้คือดูเป็นผิวมาก เป็นธรรมชาติ และใช้ง่ายมาก เอามือปาด   ก็กลืน  เป็นสิ่งที่เราใช้เวลาต้องการความกริบของผิวเป็นพิเศษอย่างเวลาไปงานสำคัญหรือไปล่าผู้ชาย 

IPSA : Ultimate Face Powder (8g = 3,200 BAHT / Refill = 2,600 BAHT)เป็นแป้งอัดแข็งเทพที่ไปลองอันไหนก็ยังไม่แฮปปี้ ไม่มีรองพื้น ไม่ปกปิด แต่แค่ปัดผิวก็จะดูดีขึ้นอ่ะ คือร่องรอยจุดตำหนิจุดด่างดำยังอยู่ครบ แต่พื้นผิวโดยรวมมันดูดี ไม่มันแต่ก็ดูไม่แห้งดูไม่แป้ง เป็นตัวจบหลังลงกันแดด หรือลงไพรเมอร์ที่ดีมาก สำหรับเราคือแค่นี้พอแล้ว ระหว่างวันมีน้ำมันออกมาก็จะดูไม่ค่อยหมอง ใช้ทิชชู่ซับเบาๆ ก็จะกลับมาดูสดใสเหมือนเดิม

Body Care

KANEBO : Body Lipid Wear (150ml = 2,000 BAHT) คือเรารักกลิ่นอันแสนจะเป็นเอกลักษณ์ของ KANEBO ตั้งแต่เขาเปิดตัวแบรนด์แล้ว ตัวครีมทาหน้า Night Lipid Wear ก็เป็นหนึ่งในมอยซ์เจอไรเซอร์เนื้อครีมที่เราชอบ ด้วยเนื้อสัมผัสที่หลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกับผิว คิดมาตลอดว่าถ้าสามารถทาสิ่งนี้ทั้งตัวได้ก็คงจะฟินไม่น้อย แล้วในที่สุดความฝันของเราก็เป็นจริง ครีมบำรุงผิวกายนี้ใช้เทคโนโลยีและส่วนผสมของครีมบำรุงผิวหน้ามาปรับเนื้อสัมผัสนิดหน่อยแล้วใส่หลอดมาให้เราบีบทาตัวได้อย่างจุใจ และมันดีมาก เป็นไอเทมที่ทำให้เรารู้สึกเป็นลูกคุณหนูยุคใหม่ หวานใสแต่เข้มแข็ง ไม่ไร้เดียงสา เป็นแม่นางเนื้อหอมผิวนุ่มผมยาวสลวยสูง 168 เซนติเมตร ทาทั้งตัวกลิ่นก็ไม่ฉุนจนปวดหัว ตื่นมาดมตัวเองในชุดนอนก็หอมอ่อน ๆ ผ่านการทดสอบทาง 18+ มาแล้วว่ารสไม่ขมจ้า (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Deep-Review ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Origins : Gloom Away Grapefruit Body Soufflé (200ml = 1,850 BAHT) เราเคยใช้เมื่อนานมากแล้วตั้งแต่สมัยอยู่มหาลัย (ก็เกือบ 20 ปี) พอดีเห็นมันลดราคาทางออนไลน์ 60% เลยรีบหวดมาเพราะร่างกายและจิตใจกำลังต้องการอะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี และมันก็เตือนความทรงจำว่าทำไมเราถึงรัก Body Care ของแบรนด์นี้ กลิ่นเกรปฟรุ๊ตที่มีสดใสแซมความหวานเหมือนขนมที่ทำให้อารมณ์ที่หม่นหมองก็รู้สึกดีขึ้น กลิ่นมันชวนอารมณ์ดีมาก ๆ อ่ะ

Neutrogena : Hydro Boost Body Gel Cream Fragrance-Free (453g = 8.99US$) เพื่อนเคยหอบ Hydro Boost แบบทาตัวมาให้จากอังกฤษ ซึ่งเราคิดว่ามันโอเคทุกอย่างเลยนะ เว้นแต่กลิ่นน้ำหอมมันเยอะเกินไปมากจนเวียนหัว พอเราเห็นว่าเวอร์ชั่นอเมริกาเป็นแบบ Fragrance-Free ไม่มีน้ำหอม ก็รีบหวดมาอย่างไว เนื้อสัมผัสดี ไม่เหนอะ ฉ่ำผิว ชุ่มชื้น แนะนำมาก ๆ อยากให้มีขายในไทยจัง

Vaseline : Expert Care Sensitive Skin Rescue Lotion (200ml = 225 BAHT) โลชั่นเนื้อเข้มข้นที่จะเรียกว่าครีมก็ไม่ผิดนักนี้เหมาะสำหรับคนที่ผิวแห้งถึงแห้งมากและเริ่มมีการระคายเคืองผิว ไม่มีน้ำหอม และสารสกัดจากข้าวโอ๊ตจะช่วยต้านการอักเสบของผิว แม้แต่ผิวเด็กก็ใช้ได้นะ (คลิกที่นี่เพื่ออ่าน Preview ของผลิตภัณฑ์ตัวนี้)

Aveeno : Skin Relief Moisturizing Lotion (354ml = 499 BAHT) สูตรนี้จะเข้มข้นกว่าสีเขียวที่เราเคยให้ Favorite ไปเมื่อหลายปีก่อน และมีรูปแบบของสารสกัดจากข้าวโอ๊ตถึงสามชนิด เหมาะสำหรับผิวแห้ง แห้งมาก และเริ่มมีอาการคัน กลิ่นออกตุ่ย ๆ นิดนึงเพราะไม่น้ำหอม แต่ถ้าผิวคุณอ่อนแอ น้ำหอมก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับผิวหรอก

Hair & Scalp Care

ปีนี้ทาง PAÑPURI ออกผลิตภัณฑ์หลายตัว และมีกลุ่มดูแลเส้นผม หนังศีรษะใหม่หมด ตอนแรกเขาส่งกลุ่ม REVIVE มาให้คือมันดีกับเส้นผมเรานะ แต่มันไม่ตอบโจทย์หนังศีรษะของเราที่มีปัญหาเรื่องอาการคัน มีน้ำมันสะสมบนหนังศีรษะไว ไม่สระผมทุกวันจะคัน แต่สระทุกวันก็จะรู้สึกแห้งเป็นรังแค เราเลยบอกว่าจริง ๆ กลุ่ม Balance น่าจะตอบโจทย์เรามากกว่าและมันก็ตอบโจทย์เราจริง ๆ ในทุกแง่เลย เพราะผมทั้งนิ่ม ลดอาการคันไปได้มาก และรังแคก็ลดลง หนังศีรษะรู้สึกมีสมดุลดีขึ้น  และโทนกลิ่นก็เป็นแนวซิตรัสกับตะไคร้ที่เราชอบ เหมือนได้เข้าสปาทุกวันที่สระผม อาจจะมีอะไรเย็น ๆ หัวหน่อยโดยเฉพาะขั้นตอนของ PAÑPURI : Balance Pre-Wash Treatment (100ml = 950 BAHT) ที่เป็นเหมือนน้ำส้มสายชูที่เอาไว้ดีท็อกซ์เส้นผมและหนังศีรษะ PAÑPURI : Balance Scalp Detox Clarifying Hair Cleanser (185ml = 850 BAHT) เป็นแชมพูสีคาราเมลฟองน้อย อ่อนโยน ไม่มีซิลิโคนแต่ผมก็ไม่ฝืดจนสางไม่ได้ ใช้ PAÑPURI : Balance Scalp Detox Clarifying Hair Conditioner(125ml = 850 BAHT) ใช้เฉพาะเส้นผมทิ้งไว้ 2 นาทีก่อนล้างออกผมจะยิ่มนุ่มและลื่นขึ้นไปอีก 

เราใช้ร่วมกับสเปรย์บำรุงหนังศีรษะแบบไม่ต้องล้างออกสำหรับคนมีปัญหารังแคของ Aveda ที่หอบตุนมาจากนิวยอร์คเพราะในไทยไม่มีขายแล้ว  และแฮปปี้กับขั้นตอนทั้งหมดนี้มาก ก็อยากให้ทาง PAÑPURI ลองทำสเปรย์หรือโทนิคสำหรับใช้บำรุงหนังศีรษะแบบไม่ต้องล้างออกสำหรับคนเป็นรังแคบ้าง อยากได้ที่ชุ่มชื้น แต่ไม่หนัก ไม่หนึบประมาณนี้ฮะ